รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 199
บทที่ 199 ตัวแสดงหลัก
หลินเวยมี่ไปถึงโรงแรมอย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่ ผู้จัดการยืนชะเง้อรอที่บริเวณหน้าประตูตั้งแต่แรกแล้ว พอเห็นหล่อนถึงกลับตาพราวขึ้นมาทันที แล้วรีบวิ่งไปคว้ามือเธอเอาไว้
“ตกลงมีเรื่องอะไรทำไมถึงได้รีบร้อนขนาดนี้?” หลินเวยมี่ถามอย่างสงสัย โดยปกติแล้วผู้จัดการก็ทำตัวเหมือนเสือดีๆนี่แหละ แล้วทำไมถึงได้ยอมอ่อนข้อให้หล่อนจนถึงขนาดนี้ได้ล่ะ?
ในใจกลับรู้สึกผิดปกติชอบกล รับสึกได้ทันที่ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ๆ
“ท่านประธานสั่งงานให้เธอ”
หลินเวยมี่ตกใจ เลยถามกลับด้วยความสงสัย “งานอะไร? ท่านประธานถึงได้สั่งงานลงมาที่ฉัน?”
หล่อนเป็นแค่หัวหน้ากระจอกงอกง่อยในโรงแรมนี้ จะไปสู้รบปรบมือกับท่านประธานได้ยังไง ถึงขนาดท่านประธานออกคำสั่งให้เธอเลยหรอเนี่ย?
“อย่าถามเลย รีบมาเถอะ”
ผู้จัดการคว้ามือเธอแล้วเดินจ้ำอ้าวไปยังห้องประชุมทันที แล้วก็ผลักหล่อนให้เข้าไปแล้วก็รีบออกมาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย….” หลินเวยมี่มองคนที่เดินห่างออกไปอย่างประหลาดใจ ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“เวยมี่นั่งสิ”
ภายในห้องประชุมมีเพียงท่านประธานคนเดียว ท่านประธานเป็นคนจีน เพราะฉะนั้นพนักงานที่ทำงานเป็นคนจีนทั้งหมด ภายในโรงแรมตกแต่งกลิ่นอายประเทศจีนอย่างชัดเจน
นี่เองถือว่าเป็นจุดเด่นในการประสบความสำเร็จของโรงแรม
แต่ว่าหล่อนก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่าท่านประธานจะเรียกหล่อนมาพบเพื่อเหตุผลใด
หลินเวยมี่หัวเราะแล้วนั่งลงบริเวณด้านหน้าของเขา แล้วก็สอบถามตรงๆ “ท่านประธาน เมื่อครู่ดิฉันได้ยินผู้จัดการแจ้งว่า ท่านให้ภารกิจกับฉันหรือคะ? ไม่ทราบว่าเป็นภารกิจอะไรกัน”
ท่านประธานได้แต่ยิ้ม พร้อมทั้งพูดเหมือนเป็นความลับอย่างจงใจ “เดี๋ยวก็รู้เอง”
ประตูห้องปะชุมถูกเปิดออก รัศมีความเย็นยะเยือกแผ่เข้ามา
หลินเวยมี่หันกลับไปมองที่ประตู ผู้ชายที่อยู่ยืนหราหน้าประตู สวมใส่ชุดขับรถบิ๊กไบค์สีดำทั้งตัว ทรงผมไดร์เป่าผมไปทางด้านหลัง ยิ่งทำให้เห็นรูปหน้าอย่างชัดเจน
“นี่เป็นภารกิจของเธอ” ท่านประธานหัวเราะหึๆ “เฉิน เข้ามาสิ คนฉันก็หามาให้แล้ว ส่วนที่เหลือนั้นพวกคุณเป็นคนจัดการกันเอาเอง”
ท่านประธานที่เพิ่งพูดอยู่นั้นก็ส่งสายตามาให้หลินเวยมี่ จากนั้นก็ออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“ฉู่เฉินซี นี่มันหมายความว่ายังไง?” หลินเวยมี่ทำหน้าบอกบุญไม่รับถามเขากลับ
“ไม่มีอะไร” ฉู่เฉินซีแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วเดินก้าวพรวดพราดเข้ามาหา จากนั้นก็ยื่นหมวกกันน็อคสีแดงให้หล่อน
“ไปกันเถอะ”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วเอาไว้และไม่ยอมรับสิ่งของนั้นไว้ เอาแต่จ้องมองเขาอย่างโมโห “ทำอะไร?”
“ลืมบอกไป ภารกิจของเธอก็คือการอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“ไม่!” หล่อนตอบโต้กลับอย่างไม่ยินดีด้วย จนหน้าดำคร่ำเครียด
“งั้นฉันสามารถไปหาประธานเธอได้เลย ท่านประธานของเธอบอกกับฉันว่า เธอเซ็นสัญญาไว้ 6 ปี ตอนนี้เหลืออีก 1 ปี หรือว่าเธอจะผิดสัญญา?”ฉู่เฉินซีคลี่ยิ้ม เขาหน้าบาน เหมือนกับจัดการหล่อนได้อยู่หมัด
หลินเวยมี่ถลึงตามองเขา จากนั้นก็หยิบหมวกกันน็อคที่อยู่ในมือเขา แล้วเดินออกไปทางด้านนอก
บริเวณด้านหน้าประตูโรงแรม มีรถบิ๊กไบค์สีฟ้าจอดขวางหน้าประตูไว้ มันก็เหมือนกับเจ้าของ ขวางโลกเหมือนกัน
“มาสิ” ฉู่เฉินซีนั่งลงบนรถบิ๊กไบค์ พร้อมกลับกวักมือเรียกหล่อน
หลินเวยมี่ขึ้นรถด้วยความโมโห พร้อมทั้งชั้มือจับเสื้อของเขาเอาไว้
“ฉันแนะนำให้ทางที่ดีที่สุดคือการที่เธอกอดฉัน ไม่งั้น ฉันไม่กล้ารับประกันความปลอดภัยของเธอได้”
“ไม่กอด!”หลินเวยมี่พูดออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัด ความโกรธอัดแน่นแสดงออกทางสายตา
ฉู่เฉินซีกระตุกยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็สตาร์รถ ตอนเริ่มออกตัวนั้นไม่ถือว่าเร็วมากนัก แต่จากนั้นก็เร่งเครื่องเร็วขึ้นตามลำดับ รถบิ๊กไบค์ขับด้วยความเร็วไปตามทางยกระดับ
อีกอย่างไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือป่าว พอผ่านไปสักพักจะเหยียบเบรกซะงั้น จนทำให้หล่อนชนด้านหลังของเขาเข้าอย่างจัง
“เฮ้ กอดฉันสิ ถ้าไม่อยากหล่นจากรถ”
น้ำเสียงของเขาลอยมาตามสายลม ร่างกายหลินเวยมี่ตัวแข็ง ขนาดที่ว่าจะขยับก็ไม่กล้าขยับ เพราะหล่อนไม่เคยนั่งรถบิ๊กไบค์มาก่อนเลย แล้วก็ไม่เคยนั่งรถบิ๊กไบค์ที่ขับเร็วขนาดนี้ จนตัวเองตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
จนตอนนี้แทบไม่ต้องคิดอะไร เลยกอดเขาเอาไว้ แล้วเอนใบหน้าแนบชิดกับด้านหลังของเขาเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงแรงปะทะจากแรงลม
ไม่รู้ว่าระยะเวลาผ่านไปนานขนาดไหน ในที่สุดรถก็หยุดลง
หลินเวยมี่ถึงกับขาอ่อนไม่มีแรงยืน เธอรีบลงจากรถด้วยใบหน้าซีดเซียวพร้อมหาต้นไม้เพื่อพยุงตนเองเอาไว้
ฉู่เฉินซีถอดหมวกกันน็อคออกอย่างเงียบเชียบจากนั้นก็จ้องมองหล่อน สายตาดูสุขุม ไม่รู้ว่าจะดูอะไรกันแน่
“สาร…เลว!” หลินเวยมี่กัดฟันพูด คำสบถด่าเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน แถมพูดออกมาด้วยอารมณ์ความโกรธล้วนๆ
ฉู่เฉินซีคลี่ยิ้มทันที แต่ไม่ได้สนใจหล่อนเลยด้วยซ้ำ จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปทางไร่ไวน์
“นี่ รอฉันด้วย”
“รีบเข้าสิ”
หลินเวยมี่รีบวิ่งตามหลังเขาไป สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย ที่นี่ลักษณะคล้ายๆกับไร่หมักไวน์เลย
“มาทำอะไรที่นี่?”หล่อนถามขึ้นมา
“เที่ยว” ฉู่เฉินซีตอบอยากเฉยเมย พร้อมกับเดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้านใน
หลินเวยมี่ทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ แล้วดึงเสื้อของฉู่เฉินซีเอาไว้ “ฉันคิดว่าเราควร…”
“Hi เฉิน คุณมาแล้ว”ชายชราผมสีขาวโพลนที่กำลังใส่ชุดยีนส์ ทักทายด้วยความสนิทสนม
ฉู่เฉินซีหันกลับมามองหล่อนอยู่แวบหนึ่ง ราวกับว่าสามารถเดาได้ว่าหล่อนต้องการพูดอะไรออกมา “รอก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
หลินเวยมี่ยืนอยู่บริเวณด้านหลังของเขาอย่างอึดอัด แล้วก็ฟังชายชราคนนั้นอธิบายวิธีการบ่มไวน์
ส่วนฉู่เฉินซีดูสนใจกับเรื่องนี้เอามา ท่าทางดูตื่นเต้น ทางด้านหลินเวยมี่เองก็เริ่มออกอาการเบื่ออย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆเปิดรูปในโทรศัพท์ขึ้นมาดู ในอัลบั้มนั้นมีรูปของเสี่ยวหลงอยู่ด้วย ทุกรูปใสซื่อไร้เดียงสาตามวัย
“ดูอะไรอยู่? ถึงได้จริงจังซะขนาดนั้น?” ฉู่เฉินซีทำท่าจะแย่งโทรศัพท์มือถือของหล่อน หลินเวยมี่ตกใจจนแทบสิ้นสติ แล้วรีบซ่อนโทรศัพท์ไว้ด้านหลังแทน
“ฉู่เฉินซี อย่าล้ำเส้น!”
“ฉันล้ำเส้นตรงไหน?” ฉู่เฉินซีเริ่มทีหน้าขรึมใส่ อย่างไม่มีความสุข
“ฉู่เฉินซี ฉันมาทำงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่ว่าคุณไม่สามารถก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉัน” หลินเวยมี่พูดด้วยท่าทีจริงจัง สายตาดูหมดความอดทน
ส่วนฝ่ามือของหล่อนเหงื่อผุดขึ้นมา หล่อนไม่อยากจินตนาการเลยว่า ถ้าฉู่เฉินซีรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเสี่ยวหลงเข้าจะเป็นยังไง
“ฮ่าๆ ยังจำหน้าที่ของเธอได้อยู่ ที่แท้ก็มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ” ฉู่เฉินซีพูดด้วยหน้าตาเคร่
เครียด สีหน้าที่แสดงออกมามาสามารถปิดบังความโกรธเอาไว้ได้สักนิด
“มันแน่อยู่แล้ว ในสายตาของฉันคุณเป็นเพียงแค่แขกของฉันเท่านั้น ดังนั้นรบกวนคุณช่วยทำตัวเป็นแขกที่ดีด้วย” หลินเวยมี่เริ่มแสดงอาการเยาะเย้ย น้ำเสียงแสดงอาการถากถางอย่างชัดเจน
ฉู่เฉินซียืนมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเธอจะปากคอเราะร้ายกว่าแต่ก่อนขึ้นเยอะ
“เธออยากจะพูดอะไรกับฉัน?” ฉู่เฉินซีถามกลับ อีกทั้งยังรู้สึกว่าที่นี่ไม่เหมาะสมในการที่จะมาพูดคุยกันได้ เลยฉุดกระชากลากถูกมือของเธอเอาไว้ แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางด้านหลังของไร่องุ่น
“ปล่อยฉันนะ!” หลินเวยมี่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ พร้อมทั้งตั้งใจเดินช้าๆ พยายามเว้นระยะห่างจากเขา
บริเวณด้านข้างของไร่องุ่นนั้นมีแม่น้ำสายเล็กๆอยู่หนึ่งสาย แม่น้ำค่อนข้างตื้นเขิน แถมน้ำในแม่น้ำยังคงสะอาดมาก
หลินเวยมี่เดินตามหลังเขาด้วยความรู้สึกอึดอัด ทั้งสองคนเดินเลียบแม่น้ำสายเล็กๆนั่นไป จนรู้สึกว่าไม่มีคนแล้ว เขาถึงได้หยุดฝีเท้าลง
“พูดมา”
“หยุดมาระรานฉันอีก คุณไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อบ้างหรือไง?” หลินเวยมี่ถามเขาตรงๆ
หลังจากที่เขาได้ฟังประโยคนั้นจบเขาถึงกับยิ้มออกมา ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี แต่ผู้หญิงคนนี้ถามได้ตรงยิ่งกว่าบรรทัดเสียอีก
“แค่นี่ก็โกรธแล้วหรอ?”
“ไม่ใช่ ฉันคิดว่ามันไม่มีอะไรจำเป็นอีก คุณก็มีชีวิตของคุณ ส่วนฉันก็มีชีวิตของฉัน แล้วจะจงใจหาเรื่องฉันทำไม? ถ้าคุณยังโกรธเรื่องในอดีต ฉันก็ต้องขอโทษคุณด้วย” หลินเวยมี่พูดออกมาตรงๆ แววตาดูชัดเจน แต่กลับไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆในดวงตานั้น
ฉู่เฉินซีมองมาทางหล่อน มุมปากกระดกขึ้น “ขอโทษงั้นหรอ?”
“ทำไม? ยังไม่พออีกหรอ? งั้นพูดมาเลยว่าจะเอายังไง?” หลินเวยมี่ยักไหล่ขึ้นด้วยความรู้สึกไม่แยแสต่อสิ่งใด
“ฉันไม่ได้บอกว่าต้องการให้เธอเป็นแบบไหน” ฉู่เฉินซีจ้องมองหล่อนอย่างเงียบๆ “ฉันก็แค่เชิญเธอให้มาเป็นเพื่อนฉันเท่านั้นเอง เธอเองที่คิดมากไป”
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง เพื่อระงับความโกรธในจิตใจตนเองเอาไว้ ทั้งหมดนี่คือการที่หล่อนคิดมากไปงั้นหรอ? ความจริงแล้วทั้งคู่เป็นแค่คนไม่รู้จักกัน
แต่ว่าการมีตัวตนฉู่เฉินซีทำให้หล่อนได้รับผลกระทบไปเต็มๆ
“ฉู่เฉินซี คุณไม่ใช่ว่าคิดหาวิธีอื่นมาแกล้งฉันใช่ไหม?”
ฉู่เฉินซีทำท่าทางตกอกตกใจ ดวงตาทอประกายความมืดมิดที่ไม่สามารถคาดเดาได้ แทบแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลินเวยมี่ทำตัวสงบนิ่ง หว่างคิ้วแสดงอาการดูถูกออกมา “ไม่อยากให้ฉันพูดออกมาใช่ไหม?”
“เธอคิดแบบนี้หรอ?”
“ฉันแต่งงานแล้ว เพราะฉะนั้นคุณเลิกคิดไปได้เลย!” หลินเวยมี่เอ่ยปากออกมาตรงๆอย่างไม่เกรงใจ มุมปากแสยะยิ้มอย่างเย็นยะเยือก
“เดวิดหรอ?ถามจริงเธอไม่รู้เลยหรอว่าในวงการเขามีชื่อเสียงยังไง?” ราวกับฉู่เฉินซีได้ฟังเรื่องตลกขึ้นมา พร้อมทั้งยื่นมือไปสัมผัสคางของเธอเอาไว้
“อะไร?” หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเขา
“เขาสนใจเฉพาะผู้ชาย เพราะฉะนั้นฉันเลยแปลกใจ ว่าทำไมคนอย่างเธอถึงไปเป็นเมียเขาได้ล่ะ อีกอย่างเมื่อสี่ปีก่อนยังคลอดลูกให้เขาอีก” ฉู่เฉินซีเขยิบเข้าใกล้หล่อน สายตามองไม่ออก ว่าอะไรซ่อนอยู่ในนั้น
หลินเวยมี่คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะรู้เรื่องราวทั้งหมด ใบหน้าแน่นิ่งทันที
“ทั้งหมดนั่นมันเป็นเรื่องที่พวกคุณคิดเองเออเอง”
“หรอ? ยังจำงานประมูลในวันนั้นได้ไหม? หลังจากนั้นเขาเชิญฉันไปกินข้าวด้วย” ฉู่เฉินซีหัวเราะออกมา ด้วยสายตาคมกริบ
ใบหน้าของหลินเวยมี่ในตอนนั้นซีดเผือดทันที “งั้นหมายความว่าอะไรล่ะ”
“เขาก็แค่เอาเธอมาเป็นไม้กันหมา เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้นแหละ” สายตาฉู่เฉินซีเต็มไปด้วยความรู้สึกกำลังเยาะเย้ยอยู่ “ความรัก การแต่งงานที่เธอต้องการ มันเป็นแบบนี้หรอกหรอ?”
หลินเวยมี่เจ็บจี๊ดที่หัวใจขึ้นมาเป็นระยะๆ จากนั้นก็แสยะยิ้ม “คุณผิดแล้วแหละ เดวิดเขารักฉันมาก เรื่องพวกนั้นมันก็แค่ข่าวลือทั้งเพ การที่เขาเชิญคุณไปกินข้าวด้วยมันไม่สามารถบ่งบอกถึงอะไรได้”
นัยน์ตาฉู่เฉินซีพร่ามัว เดวิดชอบผู้หญิงหรือผู้ชายเขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ทั้งหมดที่พูดมานั้นเขาก็อยากจะจัดการหลินเวยมี่ เพราะเคยมีข่าวพวกนี้ออกมา แต่ว่ารายละเอียดเขาก็ไม่ทราบชัดเจน
หรือว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่หลินเวยมี่พูดมาทั้งหมด ระหว่างทั้งสองคนมันคือความรักจริงๆงั้นหรอ? งานวันประมูลสินค้าวันนั้นทั้งสองคนก็ดูไม่สนิทชิดเชื้อเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถเอามาอธิบายสิ่งใดได้อยู่ดี
ในใจราวกับมีสิ่งของบางอย่างมาขวางกั้นเอาไว้จนรู้สึกไม่สบายสักเท่าไหร่ จนไม่อยากจะมองหน้าหล่อนอีก
แต่ว่าความเจ็บปวดนั้นมันไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ แต่กลับหนักหน่วงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าหลินเวยมี่เป็นของเขา เป็นของเขาแค่คนเดียวเท่านั้น!
ในใจกลับรู้สึกไม่สบายเอามาก พวกเขาแยกกันห้าปี สี่ปีก่อนหล่อนก็มีลูกกับคนอื่น หลังจากที่พวกเขาเลิกกันแล้วหล่อนก็มาเจอกับเดวิด จากนั้นก็เลยแต่งงานจนมีลูกด้วยกันงั้นสิ?
ราวกับว่าเรื่องราวความรักของพวกเขาทั้งสองคน เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บางทีอาจมีเพียงเขาคนเดียวที่รู้สึกลำบากใจ เจ็บปวดหัวใจงั้นหรอ? กับการที่ยังคงคิดถึงหล่อนอยู่เสมอ?
ทุกอย่างมันดูไม่ยุติธรรม เขารักสุดขั้วหัวใจ เจ็บก็เจ็บจนใจจะขาด แต่หล่อนกับหันไปรับรักคนอื่นแทน
แล้วหล่อนเอาความรักเรื่องของพวกเขาทั้งสองคนทำเหมือนอะไร? มีแค่เขาคนเดียวหรอที่กำลังเล่นละครฉากใหญ่อยู่หรอ?