รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 202
บทที่ 202 ความอิจฉาที่ไม่สามารถควบคุมมันได้
น้ำไหลกลมโตร่วงหล่นบนไหปลาร้า ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้ ทั้งๆที่ทั้งสองคนก็เลิกรากันไปแล้วแล้วทำไมยังต้องกลับมาข้องเกี่ยวกันอีกครั้งด้วย?
หลินเวยมี่หวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ หวาดกลัวกับความเจ็บปวดแม้จะเป็นเพียงครึ่งหนึ่งก็ตาม ความเจ็บนั่นมันทะลุเข้าไปในกระดูก เพราะฉะนั้นเธอแทบไม่อยากไปสัมผัสกับมันเลยสักนิด ไม่กล้าที่จะมีความสัมพันธ์ใดๆกับเขาเลยแม้สักนิด
เขารับรู้ได้ถึงหยดน้ำตาของเธอ ถึงได้หยุดการกระทำเอาไว้ ดวงตาคมกริบ แต่กลับว่างเปล่า ราวกับว่าดูผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ
“มันยากขนาดนั้นเลยหรอ?” น้ำเสียงเขาชัดเจน เริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เธอบ่ายหน้าหนี พร้อมพิงยานประตูอย่างหมดแรง ความรู้สึกที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจนั้นถูกแตะต้องเข้าให้แล้ว มันเจ็บปวด เจ็บปวดจนชาไปหมด
“ฉันเคยพูดแล้ว ว่าฉันเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณ”
รอยยิ้มแห่งความเย็นชาแผ่รัศมีไปทั่วห้อง นานพอควรถึงได้ยินเสียงของเขาอีกครั้ง “ไสหัวไป ไสหัวไปซะ!”
หลินเวยมี่เงยหน้ามองเขาอย่างประหลาดใจ ราวกับไม่กล้าที่จะคิดเรื่องอื่นในเวลานั้น เธอรีบวิ่งหน้าออกจากห้องทันที
หลินเวยมี่ไม่ได้ใช้ลิฟต์ แต่จงใจใช้บันไดวิ่งลงทีละชั้น ในที่สุดก็วิ่งจนหมดแรงแล้วนั่งจุมปุกกองอยู่ที่ขั้นบันได พร้อมทั้งกล้ำกลืนเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเบาๆที่ดังออกมาจากกล่องเสียง
ไม่กล้าแม้จะคิดเรื่องอื่นเลยในเวลานั้น เธอหวาดกลัวเหลือเกินถ้าคิดนู่นนี่ไปเรื่อยเดี๋ยวฉู่เฉินซีจะโผล่เข้ามาแล้วถลำลึกเข้าสู่วังวันนั้นอีกครั้ง
“หม่ามี้ ผมอยากกินน้ำมะเขือเทศ แต่หม่ามี้กลับทำน้ำสับปะรดซะงั้น” เสียงเด็กน้อยที่ดังขึ้นมาตนสามารถเรียกสติของหลินเวยมี่กลับมาได้
หลินเวยมี่มองขนมปังที่อยู่ในมืออย่างเหม่อลอย มีบ้างที่สติเลื่อนลอย เลยรีบเปลี่ยนเป็นน้ำมะเขือเทศทันที
“หม่ามี้อารมณ์ไม่ดีหรอ?” เสี่ยวหลงเอนศีรษะถาม ดวงตากลมโตสื่อความหมายสงสัยออกมา
ใบหน้าของหลินเวยมี่ดูไม่ได้เลย ราวกับไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งคืน จนดวงตามีเลือดฝอยแตกอยู่
“ป่าว เดี๋ยวหม่ามี้จะไปส่งที่โรงเรียน”
เสี่ยวหลง พยักหน้าให้ แล้วเหมือนว่าคิดอะไรออก แล้วเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องครัวแทน
ไม่นานนักก็กลับออกมา ในมือถือนมไว้หนึ่งแก้ว “หม่ามี้ ดื่มแล้วจะได้มีสตินะ”
หลินเวยมี่คลี่ยิ้มแล้วรับเอาไว้
ตลอดทางสติของเธอเลื่อนลอย ราวกับกำลังมีเรื่องบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในใจ จนพาเสี่ยวหลงไปส่งที่โรงเรียนอนุบาลได้นั้น เธอถึงถอนหายใจได้
เมื่อวานนี้เรื่องราวทั้งหมดมันเข้ามาในหัวของเธอเป็นฉากๆ ราวกับว่าเขากลายเป็นปีศาจร้ายไปในชั่วพริบตา แต่ว่าสิ่งที่เธอเกลียดที่สุดก็คือการที่หัวใจของตนเองเอาแต่รอคอยอยู่ได้
เธอขมวดคิ้วเป็นโบ ไม่อยากจะคิดเรื่องพวกนี้ต่อแล้ว ทว่าโทรศัพท์กลับดังขึ้นมา
“เวยมี่ มีเรื่องแล้ว ฉันเห็นว่าสามีของเธอมีนัดกับผู้ชายแหละ! เธอรีบมาเร็ว!”
“อะไรนะ?” หลินเวยมี่ถามอย่างประหลาดใจ เย่หนิงพูดถึงเดวิดหรอ?
“นี่ อย่ามัวแต่ถามอยู่ เธอรีบมาเร็วๆ!”
“เย่หนิง ความจริงแล้ว….”
“บ้าบอมาก ผู้ชายคนๆนี้เป็นผู้ชายทั้งแท่ง! ผู้ชาย!” เสียงเย่หนิงที่กำลังตกใจดังเข้ามาในโทรศัพท์ ไม่นานโทรศัพท์ก็ถูกตัดสายทิ้ง
หลินเวยมี่ทำปากกยื่นออก ความจริงแล้วเรื่องที่ว่าเดวิดชอบผู้ชายเธอรู้อยู่แล้ว ไม่งั้นเธอจะแต่งงานกับเสี่ยวหลงทำไม?
เพราะว่าเสี่ยวหลงต้องการภรรยาเพื่อเอามารักษาหน้าตาของตนเองเอาไว้ ส่วนเธอเองก็ต้องการให้เสี่ยวหลงมีครอบครัว การแต่งงานของพวกเขาก็ได้พึ่งพากันทั้งสองฝ่าย
มุมปากแสยะยิ้มด้วยความขมขื่น เพราะรู้สึกว่าตนเองช่างน่าสงสารจับจิต ชีวิตของเธอทุกอย่างคือการปิดบังทั้งหมด ไม่มีความเป็นจริงหลงเหลือไว้สักอย่าง
แต่ว่า เธอกลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เพราะอย่างน้อยเธอก็มีเสี่ยวหลงอยู่
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เย่หนิงทำโทรศัพท์หล่นลงบนพื้นอย่างไม่ระวัง ตอนที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั้น ประตูในห้องรับรอบกลับถูกเปิดออก เดวิดจ้องมองผู้หญิงที่ยืนเด่นหราอยู่หน้าประตูอย่างไร้ความรู้สึก สายดูถูกดูแคลน
“คุณเย่หนิง บังเอิญจริงเลย”
“เอ่อ คุณเอง บังเอิญจริงๆ” เย่หนิงหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วรีบลุกขึ้นมาอยากรีบร้อน พร้อมทั้งชี้ไปบริเวณด้านข้าง “ความจริงแล้วฉันนัดเพื่อนเอาไว้ ขอตัวก่อนนะ”
ทว่าข้อมือของเธอกลับถูกดึงเอาไว้ เดวิดมองหล่อนเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ไหนๆก็มาแล้ว งั้นเข้ามาเลยฉันจะแนะนำBoyfriendของฉันให้รู้จัก เพื่อจะได้จับจุดได้ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ใบหน้าของเย่หนิงย่ำแย่ลงถนัดตา ราวกับว่ากินแมลงวันที่ตายแล้วเข้าไปยังไงยังงั้น “แฟน…แฟนที่เป็นผู้ชายนะหรอ?”
เดวิดคว้าหมับเข้าให้ แล้วฉุดกระชากลากถูเธอเข้าห้องรับรองไปด้วย….
ตลอดทั้งวันหลินเวยมี่มีอาการเหม่อลอย จนเกือบจะทำไฟไหม้ห้องครัวที่บ้านของตัวเองอยู่แล้ว ดีที่แม่บ้านรายวันมาพบเข้า
เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น หลินเวยมี่ที่กำลังพิงอยู่ที่โซฟาถึงกลับขมวดคิ้ว แล้วลุกขึ้นมาเปิดประตูแทน
“พี่สะใภ้ สวัสดียามค่ำคืนครับ” เจกยิ้มทักทาย
หัวคิ้วของหลินเวยมี่ขมวดเป็นปม แล้วเริ่มถามขึ้นอย่างเฉยเมย “อาเล็ก ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร”
เจกเดินเข้ามานั่งลงบนโซฟาอย่างตามสบาย พร้อมทั้งหยิบแอปเปิลใส่เข้าปากพร้อมทั้งกัดหนึ่งคำ ถึงยอมพูดออกมา “คือเรื่องมันแบนี้ พี่บอกว่าให้ผมมารับคุณ”
“รับฉัน?” หลินเวยมีถามด้วบความประหลาดใจ แววตาสงสัยใคร่รู้
“ใช่สิ ไปงานเลี้ยงไง ผมคิดว่าพี่เขาคงบอกกับคุณแล้ว” เจกพูดออกมาอย่างประหลาดใจเช่นกัน
หลินเวยมี่ถึงได้สติกลับมา แล้วรีบพยักหน้าทันที “ฉันจำได้แล้ว รอฉันสักครู่นะ”
เธอรีบกระวีกระวาดขึ้นไปยังชั้นบยแล้วเลือกเดรสสีฟ้าเข้ม แล้วมวยผมขึ้น จากนั้นก็แต่งหน้าอ่อนๆแล้วลงมาทันที
เจกทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นหลินเวยมี่ “พี่สะใภ้สวยมาก”
หลินเวยมี่ยิ้มแหยให้ เจกเป็นคนตรงๆ เพราะฉะนั้นเธอเลยชินซะแล้ว
ตลอดทางที่รถมุ่งหน้าไปงานเลี้ยง เธอเพิ่งจะคิดขึ้นมา วันนั้นเดวิดก็พูดออกมาแล้ว ว่าเขาหวังว่าฉู่เฉินซีก็จะปรากฏตัวในงานเลี้ยงนี้ด้วย พอหัวสมองกลับมาคิดเรื่องเขา ใจก็เต้นเร็วหลายจังหวะทันที
เธอสูดลมหายใจเข้าออก จากนั้นก็หลับตาลง ทั้งๆที่หล่อนพูดอย่างชัดเจนแล้ว แถมตัวเธอเองก็อยู่ข้างกายของเดวิด ฉู่เฉินซีจะทำอะไรกับเธอได้?
ตอนที่ปรากฏกายในงานกับเจกนั้น เดวิดกำลังคุยสนุกสนานอยู่กับเพื่อนคนหนึ่ง หลินเวยมี่เข้าไปยืนข้างกายเขาอย่างเปิดเผย พร้อมทั้งยิ้มให้กับคนที่เขากำลังพูดคุยอยู่ ถือว่าเป็นการทักทายอย่างหนึ่ง
เดวิดโอบเอวหล่อนเอาไว้ พร้อมหันหน้าไปด้านข้าง กระซิบใส่หูเธอ “เพื่อนของเธอคนนั้นน่าสนใจมาก”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วให้เขา ไม่เข้าใจความหมายเลยด้วยซ้ำ
“ขอโทษค่ะ หมายถึงเย่หนิงหรอ…”
“ไม่ใช่” เขารีบตอบปัด สายตากำลังล้อเล่นอยู่
หลินเวยมี่ทำหน้าสงสัย เพราะคิดว่าเย่หนิงรู้ความลับของเดวิดหมดแล้วถึงได้พูดแบบนี้ออกมา แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ อยู่ดีก็รู้สึกมีสาบตาคมกริบกำลังจ้องมองเธอยู่
เลยหันกลับไปอย่างรวดเร็ว เพื่อควานหาสวายตานั้น กลับพบฉู่เฉินซีที่อยู่บริเวณมุมตึก
ใบหน้าของเขายิ้มเล็กน้อย ร่างกายของเขาดูมีเสน่ห์ ชุดเสื้อสูทอิตาลี่ที่ตัดเย็บด้วยมือ แถมยังกอดผู้หญิงอยู่อีกหนึ่งคน ผู้หญิงคนนั้นคือฐาลี่
กำลังปิดบังความหมดหวังอยู่ในใจ พยายามเก็บสายตา พร้อมทั้งก้มหน้าลง แต่กลับได้ยินเสียงเดวิดที่ดูสนใจเอามาก
“คุณฉู่อยู่ทางด้านนั้น เราไปทักทายกันหน่อยไหม?”
เขาแทบไม่รอให้หล่อนได้ตั้งตัวเลย เดวิดก็โอบเอวของแล้วเดินไปทางด้านนั้น
“คุณฉู่ ดีใจมากที่ได้พบคุณอีกครั้ง”
ฉู่เฉินซีมองพวกเขาอย่างปกติ สายตาทำเหมือนไม่ได้มองที่บริเวณเอวของหล่อน มือของเดวิดโอบเอวหล่อนอยู่ ในเวลานั้นเขาอดไม่ได้ที่จะเอามีดมาตัดมือข้างนั้นที่มันดูขัดหูขัดตาชอบกล
“สวัสดีครับ”
เป็นการทักมายธรรมดา ไม่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกใดๆได้ แต่ว่าหลินเวยมี่กลับดูออก เพราะเป็นความรู้สึกที่กำลังอดกลั้นเอาไว้
ส่วนฐาลี่เองก็จำหล่อนได้ทันที ตอนแรกก็ตกใจจนอ้าปากค้าง แต่ก็เปลี่ยนสีหน้าได้ทัน แถมทำเหมือนว่าเจอกันเป็นครั้งแรกแบบแนบเนียน
“ท่านนี้คงเป็นคุณฐาลี่ใช่ไหม? ได้ยินชื่อเสียงมานาน ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่คุณทั้งสองคนจะจัดพิธีแต่งงาน ผมยินดีที่จะพาเวยมี่ไปร่วมยินดีด้วย” เดวิดรู้สึกสนุกสนาน แต่กลับทำให้สีหน้าของคนทั้งสามคนเปลี่ยนไป
ฉู่เฉินซีจ้องมองหลินเวยมี่อย่างเกลียดชัง ความอิจฉาที่ซ่อนเร้นอยู่ในเริ่มบ้าคลั่ง เขาเรียกหล่อนว่า ‘เวยมี่’งั้นหรอ?
ส่วนหลินเวยมี่เองก็รู้สึกประหลาดใจเลยเอาแต่จ้องมองฉู่เฉินซีอยู่อย่างนั้น หล่อนกลับไม่คาดคิดเลยว่าเวลาผ่านไปห้าปีแล้ว พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันอีกหรอ? เช่นนั้นงานแต่งงานในปีนั้นก็ไม่ได้จัดขึ้นนะสิ?
แล้วเหตุผลอะไรกันที่ไม่ได้จัดงานนั้นขึ้นมา?
เหตุผลนั่นเองทำให้ฐาลี่รู้สึกเจ็บปวดจนแสดงออกมาทางสายตา งานแต่งงานห้าปีก่อนถือว่าเป็นเรื่องที่เธออับอายขายหน้าไปชั่วชีวิต
“เหมือนผมพูดอะไรผิดไป?” เดวิดคลี่ยิ้มจากเดิมที่เย็นชาอยู่เสมอ ราวกับว่ากำลังขอโทษพวกเขา เขารับรู้ถึงความรู้สึกของคนทั้งสามคนที่มันเปลี่ยนไปจากเดิม
“ไม่มี ระหว่างฉันกับเฉินเราชอบชีวิตที่เป็นแบบนี้ จะแต่งงานหรือไม่แต่งงานมันก็ไม่จำเป็นแล้วแหละ” ฐาลี่เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม แต่ใครก็สามารถฟังออกได้ว่า ที่พูดออกมานั้นมันก็แค่พูดไปงั้นให้ดูเป็นทางการเอาไว้ก่อน
“การใช้ชีวิตแบบนี้ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไร” เดวิดเอ่ยขึ้นมา ดวงตากลับอ้อยอิ่งที่ฉู่เฉินซี “ไม่ทราบว่าเรื่องที่เราคุยกันเมื่อครั้งก่อนคุณฉู่คิดดูแล้วมีความคิดเห็นประการใด?”
“ผมรู้สึกว่าไม่เลว มีเวลาว่างค่อยมาคุยกันถึงรายละเอียด” ฉู่เฉินซีตอบอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่
อยู่ดีหลินเวยมี่กลับรู้สึกถึงบรรยากาศเริ่มกดดันมากขึ้น กดดันจนหล่อนหายใจจะไม่ออกอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาของฉู่เฉินซี จนเธอไม่สามารถหลีกหนีได้เลย
“งั้น รอให้คุณฉู่ว่างแล้ว ผมจะเรียนเชิญคุณแล้วให้เวยมี่เข้าครัวทำอาหารให้ทานแล้วเราค่อยมาคุยรายละเอียดกัน”
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้ใบหน้าของทั้งสามคนซีดเผือด ไม่รู้จริงๆว่าเดวิดจงใจหรือไม่จงใจ ที่พูดประโยคนั้นออกมา ทรมานพวกเขาทั้งสามคน
ใบหน้าของฐาลี่ซีดเผือด ตอนที่หล่อนจำหลินเวยมี่ได้ในตอนนั้น พร้อมทั้งกระหวัดแขนของฉู่เฉินซีไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ทำท่าทีว่ากลัวเหลือเกินว่าคนข้างๆจะถลำลึกเข้าไปอีกครั้ง
การที่ได้เจอหลินเวยมี่ที่นี่ทั้งที่ยังไม่ทันตั้งใจเลยด้วยซ้ำ จนทำให้หล่อนเกิดอาการเคร่งเครียด
ดีที่มีบริกรยกแชมเปญออกมาเสิร์ฟ หลินเวยมี่หันตัวกลับเลยชนเข้ากับถาดเสิร์ฟแชมเปญ แชมเปญที่อยู่ในถาดหกรดบนตัวหล่อน
“เดวิดฉันขอตัวสักครู่” หลินเวยมี่ที่ขมวดคิ้วอยู่แต่น้ำเสียงดูผ่อนคลายลงเยอะ
“ไปห้องรับรองเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ” เดวิดเอ่ยขึ้น
หลินเวยมีพยักหน้าแล้วพาตนเองไปยังห้องพักรับรอง งานเลี้ยงคนชนชั้นสูงมักจะมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสองห้อง เพราะจะได้เอาไว้ใช้ในยามที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
เธอหยิบชุดราตรีอีกชุดเข้าห้องรับรอง แต่ไม่อยากกลับเข้าสู่งานเร็วเท่าไหร่ บรรยากาศด้านนอกช่างกดดันเสียจริง กดดันจนหล่อนจะหายใจไม่ออก
จากนั้นก็ถอดชุดที่เปื้อนสกปรกออกหน้ากระจก แล้วรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกพิกล เลยหน้าขึ้นมามองอย่างตื่นเต้น ด้านหลังกลับมีเงาทาบทับเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเงา ตอนนี้เธอเงยหน้าขึ้นมาตอนนั้นก็ถูกเขากอดไว้แน่น
กลิ่นกายแบบนี้เธอจำมันได้ ฉู่เฉินซี! เขาเข้ามาตั้งแต่ตอนไหน?
“อย่าส่งเสียง ฉันเอง”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะ ลมหายใจอุ่นเบารดบริเวณต้นคอของเธอ