รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 216
บทที่ 216 หลินเวยมี่ คุณหนีไม่พ้นหรอก
สีหน้าของรั่วหรานเคร่งขรึม แววตาของเธอแลดูผิดหวังในทันที “คุณไม่ควรพูดแบบนี้กับฉู่หราน ถึงยังไงก็เป็นลูกของคุณ”
“อย่าพูดถึงเลย” คุณท่านแก่ฉู่พูดตอบ แววตาที่มองดูรั่วหรานเคล้าไปด้วยความรัก
ฉู่เฉินซียืนอยู่ข้างๆ ในใจของเขารู้สึกแย่มากๆ จึงเอ่ยปากพูดขึ้น “พ่อครับ น้าหราน ผมมีธุระไปก่อนนะครับ”
“แผลของเรายังไม่หายดี รีบกลับมาพักผ่อน” รั่วหรานรีบพูดขึ้น
ฉู่เฉินซีนิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นรับคำแล้วเดินจากไปด้วยความรวดเร็ว
หลินเวยมี่อุ้มเสี่ยวหลงเอาไว้แล้วเดินไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ต กำลังจะเดินเข้าไปก็ถูกเสียงร้องเรียกดังขึ้นจึงหยุดเดิน
หลินเวยมี่หันกลับไปมอง มองดูคนที่เดินมาหาตน จมูกของเธอกระชับแน่นขึ้นมา จากนั้นก็กอดเสี่ยวหลงเอาไว้แน่น
“หม่ามี้ คุณปู่คนนี้คือใครหรอครับ?” เสี่ยวหลงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกัว สีหน้าของเธอซีดขาว นานครู่หนึ่งกว่าจะดึงสติกลับมา
“คุณท่านแก่ฉู่คะ คุณมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
คุณท่านแก่ฉู่หรี่ตาลงจากนั้นมองดูเสี่ยวหลงที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ แววตาคู่นั้นมีความสงสัยเกิดขึ้น “ฉันรู้สึกว่าเราควรจะคุยกันเสียหน่อย”
หลินเวยมี่ได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเธอก็ยิ่งซีดขาวมากกว่าเดิม เธอยังจำในสิ่งที่คุณท่านแก่ฉู่เคยทำให้เธอได้เป็นอย่างดี ตอนนี้เสี่ยวหลงยังอยู่ในอ้อมกอดของเธอ เธอจะไม่ยอมให้เสี่ยวหลงย่างกายเข้าไปใกล้กับความอันตราย
“คุณหลิน เราเพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่เธอกำลังคิดหรอก” คุณท่านแก่ฉู่มองดูเสี่ยวหลงด้วยความสนใจ แววตานั้นดูอ่อนโยนขึ้นมามาก
ภายในห้องอาหาร ทั้งๆที่มีเครื่องปรับอากาศ แต่หลินเวยมี่กลับมีเหงื่อไหลออกมา เธอไม่เพียงแต่แค่กลัวคุณท่านแก่ฉู่ แต่เธอยังกลัวว่าคุณท่านแก่ฉู่จะมองออก
ดวงตาคู่นั้นของคุณท่านแก่ฉู่เหลือบมองมาทางเสี่ยวหลงอยู่บ่อยครั้ง นานครู่หนึ่งกว่าจะพูดขึ้นด้วยความพอใจ “เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนเฉินตอนเด็กๆมากจริงๆ”
เธอสั่นไปทั้งตัว กอดเสี่ยวหลงแน่น “คุณท่านเข้าใจผิดแล้วค่ะ เสี่ยวหลงเป็นลูกของฉันกับสามีที่จดทะเบียนสมรสด้วยกันอย่างถูกกฎหมาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฉู่ของพวกคุณแม้แต่น้อย”
“จริงหรอ?” คุณท่านแก่ฉู่หัวเราะในลำคอ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
“หม่ามี้ หม่ามี้กอดผมจนผมอึดอัดมากเลยครับ” เสี่ยวหลงเงยหน้าขึ้นมองหลินเวยมี่ด้วยความหงุดหงิด เวลานี้เด็กน้อยพึ่งสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติของหลินเวยมี่ “หม่ามี้ หม่ามี้ไม่สบายหรือเปล่าครับ?”
“เปล่าครับ หม่ามี้ไม่ได้เป็นอะไร” หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อปรับอารมณ์ของตนเอง จากนั้นวางเสี่ยวหลงเอาไว้ที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วพูดต่อ “ไม่ว่าคุณจะเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ช่าง แต่เขาไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่ของพวกคุณแม้แต่น้อย”
คุณท่านแก่ฉู่หัวเราะ จากนั้นโยนเอกสารหนาปึกเอาไว้ตรงหน้าของเธอ “สามีของเธอเป็นคนฝรั่งเศส แต่เด็กคนนี้กลับไม่เหมือนแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงจริงๆ”
เธอมองดูเอกสารที่ถูกโยนมาตรงหน้าตัวเอง พึ่งรู้ว่าคุณท่านแก่ฉู่เตรียมการมาเป็นอย่างดี และน่าจะรู้ว่าเสี่ยวหลงเป็นใคร?
“ฉันจะให้เธอเลือก” คุณท่านแก่ฉู่พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ออกไปจากชีวิตของฉู่เฉินซี”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว เม้มกัดปากแน่น เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
คุณท่านแก่ฉู่คลายยิ้มแล้วมองไปที่เสี่ยวหลง “เสี่ยวหลง เรียกปู่สิครับ”
ดวงตากลมโตของเสี่ยวหลงเต็มไปด้วยความสงสัย จากนั้นเด็กน้อยก็ดึงชายเสื้อของหลินเวยมี่ “หม่ามี้ เขาคือคุณปู่ของเสี่ยวหลงหรอครับ?”
หลินเวยมี่รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว รู้สึกหายใจด้วยความลำบาก เธอรู้ดีว่าคุณท่านแก่ฉู่จะเอาเสี่ยวหลงมาเป็นหมากเพื่อข่มขู่เธอ
“หลินเวยมี่ เธอมีตัวเลือกนี้แค่ตัวเลือกเดียว ออกไปจากชีวิตของฉู่เฉินซี หรือไม่ฉันก็จะเอาเด็กคนนี้ไป เพราะถึงยังไงเด็กคนนี้ก็เป็นทายาทของตระกูลฉู่” คุณท่านแก่ฉู่พูดอย่างไม่อ้อมค้อม บอกในสิ่งที่เขาต้องการออกมาอย่างชัดเจน
คำพูดนี้เหมือนบีบให้หลินเวยมี่จนมุม ออกไปจากชีวิตของฉู่เฉินซี หรือจะเสียเสี่ยวหลงไป
เธอขมวดคิ้วแน่น ไม่ว่ายังไงเธอก็จะไม่มีวันยอมให้เสี่ยวหลงไปอยู่กับคนพวกนี้ เสี่ยวหลงเป็นลูกของเธอ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิแย่งไป
“ทำไมฉันต้องออกไปจากชีวิตของเขาด้วยคะ? หรือว่าคุณปิดบังอะไรไว้?” เมื่อห้าปีที่แล้ว บางทีเธออาจจะคิดว่าเป็นเพราะเรื่องสายเลือด แต่เวลานี้เธอกลับไม่รู้สึกแบบนั้น เพราะคุณท่านแก่ฉู่แลดูไม่สนใจเสี่ยวหลงมากขนาดนั้น
สามารถพูดได้ว่า ท่าทีของเขานั้นเรียบเฉยมาก
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรรู้”
“ฉันมีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง ฉันต้องการเจอรั่วหราน” หลินเวยี่ทำสีหน้ายืนยัน
คุณท่านแก่ฉู่หัวเราะในลำคอ ที่เขามาหาหลินเวยมี่ ก็เพื่อที่จะหยุดไม่ให้พวกเขาเจอกัน แล้วเขาจะปล่อยให้หลินเวยมี่ได้เจอกับรั่วหรานตามที่ต้องการได้ยังไง?
“ดูท่าเธอคงไม่อยากตัดสินใจ ถ้าอย่างนั้นฉันจะตัดสินใจแทนเธอเอง”
เมื่อเขาพูดจบ พ่อบ้านหลีก็เดินมาทางเสี่ยวหลงในทันที
หลินเวยมี่เบิกตากว้าง “เดี๋ยวก่อน!”
“ฉันรู้แล้วว่าฉันควรทำยังไง”
“ดีมาก หวังว่าเธอจะรักษาคำพูดของตัวเอง ไม่อย่างนั้น……”
คุณท่านแก่ฉู่ไม่ได้พูดต่อ แต่หลินเวยมี่รู้ดีว่าเขาจะพูดอะไร เขารู้แล้วว่าเสี่ยวหลงเป็นใคร เขาสามารถสั่งให้คนมาเอาตัวเสี่ยวหลงไปได้ตลอดเวลา
หลินเวยมี่ขมวดคิ้วเป็นปม มองดูพวกเขาเดินออกไป มือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ เส้นประสาทของเธอเกร็งไปหมด
“หม่ามี้ พวกเขาเป็นใครกันแน่หรอครับ?” เสี่ยวหลงยังคงทำหน้าสงสัย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหลินเวยมี่ถึงต้องตกใจขนาดนี้
“คนไม่ดีครับ พวกเขาเป็นคนไม่ดีครับ ถ้าเสี่ยวหลงเห็นคนพวกนี้อีกต้องหนีไปให้ไกล เข้าใจไหมครับ?” หลินเวยมี่พูดด้วยที่สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
เสี่ยวหลงพยักหน้ากึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ จากนั้นก็รีบจับชายเสื้อของหลินเวยมี่เอาไว้
“แต่ทั้งๆที่บอกว่าเป็นคุณปู่ของเสี่ยวหลงนี่ครับ”
“พวกเขาไม่ใช่ใครทั้งนั้นครับ” หลินเวยมี่ทำหน้านิ่งแล้วกอดเสี่ยวหลงเอาไว้ จากนั้นก็รีบออกไปจากร้านอาหาร
เธอพาเสี่ยวหลงมายังคอนโดของเย่หนิง เย่หนิงมองดูท่าทีลับลับล่อล่อของหลินเวยมี่ แล้วรีบช่วยเธออุ้มเสี่ยวหลงเอาไว้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หลินเวยมี่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆให้ฟัง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ “เย่หนิง ฉันควรจะทำยังไงดี? คุณท่านแก่ฉู่รู้แล้วว่าเสี่ยวหลงเป็นใคร”
“อย่าพึ่งเป็นกังวล” เย่หนิงพูดปลอบ สีหน้าของเธอเผยความลังเลออกมา “ไม่อย่างนั้นเธอก็หลบหน้าฉู่เฉินซีก่อน”
หลินเวยมี่กำหมัดแน่น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง เมื่อห้าปีก่อนเธอยังมีความสามารถในการสู้กับคุณท่านแก่ฉู่ แต่ตอนนี้เธอมีเสี่ยวหลงแล้ว แล้วเธอจะสู้กับคุณท่านแก่ฉู่ยังไง? อีกอย่างเธอก็ไม่สามารถเอาตัวเสี่ยวหลงไปบังหน้าเพื่อความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้
“ดูท่าแล้ว ฉันต้องกลับไปกับเธอแล้วจริงๆ” หลินเวยมี่ถอนหายใจยาวๆ นอกจากสิ่งนี้แล้วเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะหลบหน้าฉู่เฉินซียังไง เมื่อคิดถึงสีหน้าจริงจังของเขาเธอก็หนาวสะท้านไปทั้งใจ
เธอไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธฉู่เฉินซียังไงดีแล้ว เขาจริงจังกับเธอมากขนาดนี้ จริงจังจนเธอรู้สึกปวดใจ
หลายวันมานี้หลินเวยมี่เชื่อฟังคำพูดของเย่หนิง ไม่รับสายฉู่เฉินซี ส่วนฉู่เฉินซีกลับไปรอเธอตรงหน้าคอนโดทุกคืน และยังโทรหาเธอไม่หยุด
หลินเวยมี่นั่งเงียบๆอยู่ในห้องรับแขก ฟังเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น สำหรับเธอแล้ว เสียงนี้ทำให้เธอหวาดกลัว
มีข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“รับโทรศัพท์ ไม่อย่างนั้นผมจะบุกเข้าไป”
ดวงตาของเธอจ้องเขม็ง จากนั้นวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ทว่าคิดไม่ถึงว่าระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์จะดังขึ้น ราวกับมือถูกเผือกร้อนลวก มือของเธอสั่น แล้วโยนโทรศัพท์ออกไป
โทรศัพท์แหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นอีก
ภายในห้องนั้นเงียบมาก ราวกับความตาย เธอได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจของตนเอง
“ติ๊ด”
เสียงกุญแจหมุน เธอรีบตั้งสติแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปตรงประตู
เดวิดเปิดประตูห้องแล้วยืนอยู่ตรงหน้าประตู เขามองดูหลินเวยมี่ จากนั้นเอ่ยถาม “สีหน้าของคุณดูแย่มาก ไม่ได้พักผ่อนหรอ?”
“อื้ม” หลินเวยมี่โล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นหันหลังไปหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนพื้น
“พี่สะใภ้สวัสดีครับ”
เสียงชั่วร้ายดังขึ้น ทำให้หลินเวยมี่นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง
“เมื่อกี้ตอนขึ้นมาเจอเฉินพอดี เลยพาเขาขึ้นมาด้วย”เดวิดอธิบาย
สีหน้าของหลินเวยมี่ซีดขาวขึ้นมาในทันที มองดูฉู่เฉินซีที่ยืนอยู่ด้านหลังเดวิด เขายืนแสยะยิ้มอยู่ตรงหน้า แววตาของเขาเคล้าไปด้วยความเย้ยหยัน คล้ายกับว่ากำลังหัวเราะเยาะกับท่าทีปัญญาอ่อนของเธอ
“ทำไมพี่สะใภ้ถึงไม่ระวังแบบนี้ ถึงขั้นทำให้โทรศัพท์ตกแตก?” ฉู่เฉินซีคลายยิ้ม จากนั้นยืนอยู่ตงหน้าของเธอ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นประกอบโทรศัพท์ให้เรียบร้อยแล้วยื่นให้กับเธอ
สีหน้าของหลินเวยมี่ไม่สู้ดี เธอไม่ยอมรับโทรศัพท์ เอาแต่ยืนจ้องฉู่เฉินซี
“เป็นอะไรครับ?” เขายิ้มแล้วถามขึ้น จากนั้นยัดโทรศัพท์เข้าไปในมือของเธอ “โทรศัพท์ใช้สำหรับรับสาย ไม่ใช่โยนทิ้ง พี่สะใภ้จำได้รึยังครับ?”
คำพูดของเขาเหมือนคำพูดข่มขู่ แววตานั้นเต็มไปด้วยความดุร้าย เหมือนกำลังต่อว่าที่เมื่อกี้เธอโยนโทรศัพท์ทิ้ง
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นรับโทรศัพท์มาด้วยสีหน้ารีบเย
“เฉิน คืนนี้กินข้าวด้วยกันที่นี่สิ”เดวิดยิ้มแล้วพูดขึ้น
“ครับ” ฉู่เฉินซียิ้มแล้วเดินผ่านตัวเธอไป จากนั้นนั่งลงบนโซฟาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเดวิด
หลินเวยมี่สูดลมหายใจเข้า จากนั้นเดินไปยังห้องครัวด้วยความรวดเร็ว
เธอหั่นผักด้วยหัวใจที่กระวนกระวาย ทว่ายังคงสัมผัสได้ว่าเขาเอาแต่จ้องมองมาที่เธอ
ทันใดนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้น เธอรีบเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ ทำให้เผชิญหน้ากับสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของฉู่เฉินซี จากนั้นมองดูรอบๆ ไม่รู้ว่าเดวิดไปที่ไหนแล้ว
“พี่สะใภ้ ทำไมไม่รับสายผม? ทำไมต้องหลบหน้าผมด้วย?” ฉู่เฉินซีขยับเข้าไปใกล้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย
“เปล่า โทรศัพท์เสียมั้งคะ” หลินเวยมี่ตอบไปมั่วๆ จากนั้นก้มหน้าลงหั่นผักต่อ
“ทำไมต้องหลบหน้าผมด้วย?”
ฉู่เฉินซีถามอย่างไม่อ้อมค้อม นัยน์ตาของเขามีเส้นเลือดบางๆ ความรู้สึกไม่มั่นใจบางอย่างในใจมีมากขึ้นเรื่อยๆ
“เปล่า”
“แล้วทำไมถึงไม่รับสายผม? หื้ม? กลัวอะไร?”
หลินเวยมี่ขมวดคิ้ว อยากจะเดินหนี แต่เหมือนว่าเขารู้ว่าเธอจะทำอะไร จึงกอดเธอเอาไว้ในอ้อมกอดของเขา
“อย่าคิดจะหนี หลินเวยมี่ คุณหนีไม่พ้นหรอก”
สีหน้าของหลินเวยมี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ปล่อยฉัน!”
“ฉู่เฉินซี ช่วยให้เกียรติฉันหน่อยได้ไหม?”
“เกียรติงั้นหรอ? เกียรติและศักดิ์ศรีของผมถูกคนเหยียบย่ำจนป่นปี้ไปนานแล้ว ผมรักคุณมากขนาดนี้ แต่คุณกลับเย็นชากับผม เกียรติและศักดิ์ศรีของผมจะไปทวงคืนจากใครได้?”
หลินเวยมี่รีบผลักเขาออกไป ปากของเธอเจ็บแปล๊บขึ้นมา ถูกเขากัดอีกแล้ว เขากำลังแก้แค้นเธอชัดๆ
ผู้ชายที่ใจแคบอย่างเขา เอาแต่ใช้วิธีนี้ในการลงโทษเธอ