รักหมดใจ ยัยหน้ารักของฉัน - ตอนที่ 219
บทที่ 219 พบเจอเพื่อนเก่า
หลินเวยมี่อุ้มเสี่ยวหลงแล้วยืนอยู่ตรงหน้าทางออกสนามบิน นัยน์ตาของเธอเปียกจนน้ำตาเล็กน้อย ยังไงที่นี่เธอเคยใช้ชีวิตมาตั้งหลายปีแบบนี้ ตอนนี้พอได้กลับมาแล้ว ความรู้สึกที่คุ้นเคยมันก็ยังกระทบเส้นประเสทของเธออยู่
เธอหลับตาแล้วสูดลมหาใจเข้า แล้วพูดด้วยเสียงค่อย “ฉันกลับมาแล้ว”
“หม่ามี้ นี่หรอบ้านเกิดของหม่ามี้?”ดวงตาแววใสอันกลมโตของเสี่ยวหลงกำลังกวาดไปรอบทิศ สีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความแปลกใจ
เย่หนิงที่อยู่ข้างๆจับใบหน้าเล็กๆของเขา “เสี่ยวหลง ผมต้องชอบที่นี่แน่นอน”
หลินเวยมี่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนๆของเย่หนิง “เย่หนิง ฉันจะจัดการทุกอย่างที่นี่ก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมลุงที่โรงพยาบาล”
พอพูดถึงเรื่องโรงพยาบาล สีหน้าของเย่หนิงจึงแสดงความทุกข์ใจออกมาอย่างมิอาจบดบังได้ จากนั้นก็ถามขึ้น “คุณจะไปพักที่ไหน? ไม่งั้นก็ไปที่บ้านผมก็ได้ อย่าไปพักโรงแรมเลย”
นัยน์ตาของหลินเวยมี่มองไปข้างนอก แสงอ่อนๆสอดส่องบนใบหน้าของเธอ จากนั้นเศษเส้นผมที่อยู่ตรงหน้าผากของเธอถูกลมพัดปลิวขึ้น เธอเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยเอ่ยพูดขึ้น “ไม่ต้องแล้ว ฉันจะกลับบ้านทีเดียว”
เธอไม่เคยนึกถึงมาก่อนว่าเธอจะยังคงกลับมา ที่นี่ได้เต็มไปด้วยความทรงจำทั้งหมดของเธอ ไม่ว่าจะเรื่องทุกข์หรือสุข แล้วยังมีความทรงจำของเธอกับฉู่เฉินซี
ทันใดนั้น เธอจึงพึ่งสังเกตเห็นว่าจริงๆแล้วเธอรู้จักฉู่เฉินซีไม่ถึงหนึ่งปี แต่เขากลับสามารถมากินพื้นที่ความทรงจำทั้งหมดของเธออย่างบ้าอำนาจ
ก็เหมือนนิสัยที่บ้าอำนาจของเขา
ในรถแท็กซี่ หลินเวยมี่มองไปยังทิวทัศน์ในเมืองตรงนอกหน้าต่าง ห้าปีได้ผ่านไปแล้ว ในเมืองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเยอะมาก บางอย่างเธอยังไม่คุ้นเคยด้วยซ้ำ เวลามันช่างเป็นอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างจริงๆ
สามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด แม้กระทั่งตอนแรกที่คิดว่าความรู้สึกหรือเรื่องที่มันสำคัญมากๆ ยังไม่ทันได้ผ่านคักกรองของสมอง กลับทำให้ทุกอย่างมันจืดจางไป
มือข้างหนึ่งของหลินเวยมี่ดึงกระเป๋าเดินทางไว้ และมืออีกข้างก็จูงเสี่ยวหลงไว้ จากนั้นก็ค่อยๆเดินอยู่ตรงหน้าประตูของบ้านจัดสรร ภายในแว่นตาดำของเธอมีบ้านที่คุ้นเคยสะท้อนอยู่ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจมากจริงๆ
นัยน์ตาก็เปรอะเปื้อนน้ำตาขึ้นมาทันที ที่นี่คือบ้าน ถึงแม้จะว่างและไม่มีคนอาศัยอยู่ แต่ก็ยังสามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของเธอ
“ที่ไหนคือที่ๆหม่ามี้เติบโตครับ?” เสี่ยวหลงเงยหน้าพลางถามขึ้น
หลินเวยมี่ตอบกลับด้วยเสียงแหบพร่า จากนั้นจูงเสี่ยวหลงเดินเข้าไปในบ้าน พอเปิดประตูออก ของข้างในยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังคงอยู่ในสภาพตอนห้าปีก่อน
เธอจึงตักน้ำมาสองถัง แล้วเริ่มทำความสะอาดโดยด่วน พอเปิดหน้าต่าง ก็รู้สึกมีกลิ่นราลอยมา จากนั้นเธอจึงมองไปตรงเตียงในห้องนอนของเธอ กลับนึกถึงคนสองคน
แค่ทุกที่มีแต่ฝุ่นเกาะเต็ม ดูๆแล้วที่นี่คงไม่มีใครมาเยือนเป็นเวลานาน
มุมปากของเธอจึงได้กระตุกขึ้นอย่างห้ามปรามไม่ได้ หลังจากที่นั่งลงตรงขอบเตียง ก็นึกถึงผู้ชายคนนั้นที่ยังคงทำให้ในใจลึกๆของเธอต้องเจ็บ เมื่อวานเธอไม่ควรพูดแบบนั้นกับเขาเลย ‘พรุ่งนี้’ ไม่อย่างงั้นเธอก็คงไม่ต้องคอยโทษด้วยตัวเองในใจแบบนี้
แค่คนอย่างฉู่เฉินซี ถ้าเขารู้ว่าเธอกลับมา จะมาไล่ตามง้อเธออีกไหม?
ความคิดแบบนี้ของเธอพึ่งจะผุดออกมา เธอก็รีบปฎิเสธทันที ต่อให้เขาอยากจะกลับมาจริงๆ เธอก็ไม่มีทางเจอเขาอีก
หลังจากกลับมา หลินเวยมี่ก็พึ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองมีเรื่องมากมายที่ต้องสะสาง เธอต้องหาศูนย์เด็กอนุบาลที่อยู่แถวนี้ให้กับเสี่ยวหลง หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดเสร็จ เธอจึงจะไปโรงพยาบาล
พอถือกระเช่าผลไม้แล้วค่อยๆผลักประตูห้องผู้ป่วยออก เย่หนิงก็ได้ปอกแอบเปิ้ลอย่างตั้งใจ จากนั้นก็เห็นแพทย์หญิงที่ใส่ชุดกาวสีขาวกำลังก้มหน้าอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังบันทึกอะไรอยู่
“วันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้นะคะ พรุ่งนี้หมอจะมาตรวจอาการใหม่”
แพทย์หญิงพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป พอพึ่งจะสังเกตเห็นหลินเวยมี่ปรากฏตัวอย่างฉันพลัน จึงรีบหยุดฝีเท้าลง แล้วมองเธอด้วยความตกตลึง
“คุณคือ……คุณคือ” แพทย์หญิงคิดไปตั้งนาน ก็ได้เรียกขึ้นด้วยความตกใจ “คุณคือแฟนของฉู่เฉินซี?”
คำๆเดียวที่ทำให้ห้องผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยความเงียบกริบ จู่ๆก็เต็มไปด้วยแรงกดอากาศ และสีหน้าของหลินเวยมี่ก็ยิ่งขาวซีดขึ้น เธอก็นึกไม่ถึงว่าจะเจอเซียวหย่าที่นี่
ผู้หญิงที่เคยดูแลเธอมาสักระยะ อีกทั้งไม่รู้ว่าเป้าหมายของตัวเองคือฉู่เฉินซี
“ฉันชื่อว่าหลินเวยมี่ค่ะ”
“ใช่ๆ หลินเวยมี่” เซียวหย่ารู้สึกตื่นเต้นดีใจมากๆ ใบหน้าเรียวเล็กเปี่ยมลนไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันจำคุณได้อย่างแม่นยำมากๆ เพราะว่าคุณคือผู้หญิงคนแรกที่เฉินใส่ใจอย่างมาก คุณคือคนพิเศษ”
สีหน้าของหลิยเวยมี่ไม่ได้ดูดีเหมือนตอนแรก ฉู่เฉินซี่ คำๆนี้ เธอได้ตัดมันไปจากชีวิตอยู่ พอมาทำให้เธอเอ่ยถึงหลายๆรอบแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ
“ขอบคุณคุณมากๆเลยนะเซียวหย่า แต่ว่าพวกเราไม่ได้คบกันแล้ว”
หลินเวยมี่พูดแบบนี้ออกมาปุ๊บ ก็ทำให้เซียวหย่ารู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป จึงได้ยิ้มแห้งพลางตบไหล่ของเธอเบาๆ “เวยมี่ ตอนเที่ยงฉันเลี้ยงข้าวคุณนะ”
หลินเวยมี่ไม่ได้ปฎิเสธ ยังไงเธอก็ได้เจอเพื่อนที่เคยรู้จัก เธอก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน
เย่หนิงเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มอย่างขมขื่นให้เธอ จากนั้นก็ได้ยื่นแอบเปิ้ลไปให้ผู้เฒ่า
ตอนเที่ยง ผู้หญิงทั้งสองคนนี้จึงนั่งอยู่ในร้านอาหารข้างโรงพยาบาล และก็ได้เอ่ยถึงหลายปีมานี้ต้องพบเจออะไรมาบ้าง และหลินเวยมี่เองก็ได้ตั้งใจฟัง ส่วนมากเธอเป็นฝ่ายพูด
“เวยมี่ คุณเปลี่ยนไปเยอะมากจริงๆ” เซียวหย่าเอามือเท้าคางแล้วมองเธอ “คุณดูสง่าและนิ่งขึ้นเยอะ”
“คุณพูดตรงๆจะดีกว่า แบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดมากๆ แต่ว่าฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าความกดดันที่ค่อนข้างหนักหน่วงในช่วงหลายปีมานี้ กลับทำให้ฉันไม่พูดเยอะ” หลินเวยมี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
เซียวหย่าตักไอติมหนึ่งช้อน จากนั้นก็เอาเข้าไปในปาก แล้วพูดขึ้นต่อ “ตอนนั้นฉันนึกว่าพวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันซะอีก แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจริงๆ”
หลินเวยมี่หัวเราะเสียงเบา ตอนที่พวกนี้สองคนอยู่ด้วยกัน เป็นเพราะมีข้อแลกเปลี่ยนกันต่างหาก ตอนเริ่มก็ไม่ดี จะไปคาดหวังอะไรกับตอนจบล่ะ?
“ตอนนี้ฉันก็ดีขึ้นเยอะแล้ว ฉันมีลูกชายน่ารักหนึ่งคน ก็รู้สึกพอใจแล้ว”
ใบหน้าเรียวเล็กของเซียวหย่าจึงแสดงท่าทางที่อยากจะสอดรู้สอดเห็น จากนั้นก็ค่อยเอ่ยพูดขึ้น “เวยมี่ เธอยังจำได้ไหม ตอนนั้นเฉินอยากจะให้เธอตั้งท้องมากแค่ไหน?”
หลิวแวยมี่จึงขมวดคิ้วขึ้น เพราะว่าสำหรับเธอแล้ว ความทรงจำในช่วงนั้นไม่ค่อยดีมากนัก แค่จำได้ว่าทุกวันเธอต้องทนกับการดื่มยาบำรุงที่เซียวหย่าจ่ายให้
“จริงๆคุณเข้าใจผิดในตัวเฉินแล้ว” เซียวหย่าก้มหน้าลงแล้วตักไอติมต่อ “เฉินบอกฉันว่า เขาอยากจะให้เธอตั้งท้องไม่ใช่เพราะว่าชอบเด็กจริงๆ แค่อยากจะเก็บเธอไว้ข้างกายเท่านั้น เพราะว่าเมื่อครั้นมีลูกแล้ว จึงจะเป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของพวกเธอ”
“เธอมักจะไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เพราะว่าเธอไม่รักเขา ความรักที่เขามีต่อเธอนั้นลึกซึ้งกว่าที่เธอคิดไว้ตั้งเยอะ”
“จริงๆแล้วฉู่เฉินซีเป็นคนที่หัวดื้อมากๆ พวกเธอสองคนน่ะ เป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ หนึ่งตัวหัวดื้อ อีกคนหัวดื้อกว่า” เซียวหย่าส่ายหัว แล้วกินไอติมต่อ
หลินเวยมี่หันไปมองอื่น พอเห็นโลกภายนอก ในใจลึกๆกลับรู้สึกหม่นหมอง และรู้สึกทรมานเพราะแรงกดดัน
“ใช่ แข่งกันหัวดื้อ” เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และก็ได้นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ไม่หยุด แต่ก่อนสมองของเธอจะเป็นภาพของกู้จุนเฟิงมาตลอด และเวลานั้นก็ได้ทำร้ายฉู่เฉินซีอยู่หลายครั้ง
และก็ได้หลีกเลี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า และขังตัวเองไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า และก็ได้มีปัญหากับจนถึงตอนนี้ จริงๆเวลาที่ทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขนั้นไม่มากเลยสักนิด
จากนั้นก็ได้อุทานขึ้น พร้อมกับมองไปยังเซียวหย่าใหม่ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “เซียวหย่า ความรัก คำๆนี้มันเป็นสิ่งที่ยากลำบากจริงๆ”
เซียวหย่าไม่ได้ถึงกับปฎิเสธ และมีความคิดที่เห็นด้วยกับหลินเวยมี่ จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่จับจ้องไม่ได้ แต่กลับทรมานทั้งสองคน และรู้สึกเจ็บจนอยากจะไปเกิดใหม่
“ตอนนี้เธอยังติดต่อกับเขาอยู่ไหม? ฉันแค่รู้ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้แต่งงานอีก” เซียวหย่าเล่นหูเล่นตาใส่เธอ
ติดต่อ? ตอนนี้หลินเวยมี่หวาดกลัว เลยตั้งใจจะหลบเขาไว้ กล้าพูดได้ยังไงว่าจะติดต่อกับเขา
“เขายังไม่ได้แต่งงาน แต่ฉันแต่งงานแล้ว” หลินเวยมี่ยกมือที่สวมแหวนไว้
เซียวหย่ามองแหวนตรงนิ้วมือของเธอ จากนั้นก็พึมพำขึ้น “จริงๆแล้วฉันก็ยังคิดว่าพวกเธอน่าจะได้อยู่ด้วยกัน”
หลินเวยมี่เดินอยู่ในเมืองหลวงอันหรูหรานี้ และดูคนสัญจรไปมาอย่างเงียบๆ จริงๆเป็นถนนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ในใจของเธอกลับรู้สึกสงบสุขมากๆ
ตรงหน้าสนามจตุรัสมีหน้าจอใหญ่ๆกำลังโฆษณาอยู่ และมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันคุ้นเคย ห้าปีผ่านมาแล้ว ทำให้โจ่วชิงช๋วนดูโตเป็นผู้ใหญ่ไปไม่น้อย
จนกว่าตอนน้ีหลินเวยมี่ก็ตั้งใจที่จะกลับเมืองๆนี้จริงๆ
หลิวเวยมี่จึงได้รีบไปศูนย์เด็กอนุบาล เธอกลับลืมเวลาไปรับเสี่ยวหลง
หลังจากที่ลงจากรถแท็กซี่ก็รีบวิ่งเข้าไปตรงหน้าประตูศูนย์เด็กอนุบาล ยังดีที่ห้องอนุบาลยังไม่ได้เลิกเรียน
“เสี่ยวชี?” มีเสียงน่าสงสัยเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลินเวยมี่หายใจอย่างหอบหืบพร้อมกับหันไปมองผู้ชายที่อยู่ข้างหลัง สีหน้าจึงได้เปล่งประกายซึ่งความรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที
เธอนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะได้มาเจอกู้จุนเฟิง อีกทั้งยังได้มาเจอกันในศูนย์เด็กอนุบาล? นั่นเขาต้องมารับลูกของเขาแน่นอน?
นึกถึงแบบนี้ หลินเวยมี่จึงรู้สึกโล่งอกไปไม่น้อย เพราะว่าตอนนั้นความสัมพันธ์ของกู้จุนเฟิงและโจ่วซินทำให้คนอื่นรู้สึกกังวลใจอยู่ตลอดเวลา
“มารับลูกหรอคะ?” หลินเวยมี่ยิ้มขึ้นอย่างเกร็ง ไม่ถามก็ค่อยยังดี พอถามไปก็ทำให้ทั้งสองตกอยู่ในสภาวะที่เต็มไปด้วยความอึดอัดใจ
กู้จุนเฟิงเม้มปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า เขากลับรู้สึกห่างเหินมากๆ แม้กระทั่งความสนิทสนมก็ไม่มีเลยสักนิด
“ใช่แล้ว”
ทั้งสองจึงได้สนทนากันอย่างเรื่อยเปื่อยไปไม่กี่คำ ทำให้เห็นอย่างขัดเจนว่าท่าทีของทั้งสองคนดูเกร็งและไม่เป็นธรรมชาติ หลินเวยมี่จึงไอแห้งๆไปหนึ่งครั้ง แล้วตั้งใจขุดหัวข้อมาคุย
“ลูกของคุณเป็นลูกชายหรือลูกสาวคะ?”
“ลูกสาวครับ นึกไม่ถึงเลยว่าจะอยู่ในศูนย์อนุบาลที่เดียวกัน โลกกลมจริงๆนะครับ” กู้จุนเฟิงคลายยิ้มอย่างอ่อนโยน มือทั้งสองข้างจึงไปวางอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็เม้มมุมปากเบาๆ
“ใช่ค่ะ โลกกลมจริงๆ!” หลินเวยมี่พึมพำด้วยรอยยิ้ม จู่ๆก็รู้สึกโลกใบนี้มันแคบมากจริงๆ แบบนี้ก็สามารถเจอกันได้?
“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ยังไม่ถึงอาทิตย์หนึ่งเลยค่ะ”
ระหว่างที่พูด ก็มีเด็กน้อยวิ่งพุ่งออกมา และกำลังตามหาพ่อแม่ของตัวเอง
“นี่ เธอที่มาใหม่ ฉันจะให้นะ วันข้างหน้าฉันเป็นลูกพี่ของเธอ วันข้างหน้าฉันจะดูแลเธอเอง เข้าใจไหม?” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดกระโปรงก็ได้เดินมาพร้อมๆกับเสี่ยวหลงแล้วพูดขึ้นแบบนี้
และเสี่ยวหลงเองก็ทำสีหน้าที่นิ่งเฉย และขี้เกียจไปสนใจเธอ
“เอ๊ะ พ่อค่ะ วันนี้ทำไมพ่อเป็นคนมารับหนูหรอคะ?” เด็กผู้หญิงยิ้มพลางเข้าไปในอ้อมกอดของกู้จุนเฟิง
และเสี่ยวหลงเองก็ยืนอยู่ข้างๆหลินเวยมี่ พร้อมกับปรายตามองเด็กผู้หญิงคนนั้น จากนั้นสายตาของเขามองไปที่หลินเวยมี่
“หม่ามี๊ เรากลับบ้านกันเถอะ”
หลินเวยมี่ยิ้มแล้วหันไปบอกลากู้จุนเฟิง ยังไม่ทันได้พูดออกมา เด็กผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของกู้จุนเฟิงก็ตะคอกใส่เสี่ยวหลงด้วยสีหน้าที่น่าเกรงขาม “เมื่อกี้คำพูดที่ฉันบอกเธอ เธอได้ยินหรือยัง?”
เสี่ยวหลงเหลือบตามองเธอเพียงปราดเดียว แล้วพึมพำขึ้น “หม่ามี๊ ศูนย์อนุบาลที่นี่มีเด็กซื่อบื้อมากกว่าที่เก่าที่เสี่ยวหลงเคยไปเรียนอีก