รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 266 ทรมาน
หลินหว่านลุกขึ้นนั่งบนเตียง นั่งนิ่งคอตกอยู่เป็นนาน ขอบตาล่างดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้นอน หลินหว่านนวดศีรษะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง อยากให้สมองทำงานอย่างมีสติกว่านี้
“โอยแย่แล้ว ขอบตาดำปี๋เลย” หลินหว่านส่องกระจกตอนแปรงฟัน ถูกเงาตัวเองในกระจกทำเอาสะดุ้งเฮือก เธอขยับเข้าชิดเพ่งมองดูผิวของตัวเองในกระจก “อ๊าๆๆๆ ตายแน่เลย!”
ถ้าไม่ใช่เพราะอีตาบ้าเซียวจิ่งสือนั่น เธอจะนอนไม่หลับได้ยังไงกัน! เธอจะไปชอบฮั่วเทียนอวี่ได้ยังไง หัวสมองเขาถูกเตะจนบื้อเป็นสมองหมูไปแล้ว!
“ว้า ผุยๆๆ” หลินหว่านคิดแบบนี้แล้วก็รีบผุยปากขับไล่ความโชคร้าย “อยู่ดีๆ แช่งเขาทำไมกันนี่” ถึงอย่างไร…สรุปแล้ว…เซียวจิ่งสือก็เป็นตาทึ่มอยู่ดี!
แต่ฮั่วเทียนอวี่ตัวดีนั่น ถึงกับกล้าใส่ร้ายเธอ บอกว่าเธอคบซ้อน…กะผีนะสิ! ไม่รู้จักดูตัวเองซะเลยว่าเป็นใครมาจากไหน ต่อให้เธอโง่เง่าเต่าตุ่น มีตาไร้แววขนาดไหน จะยอมขึ้นเรือโจรของเขาได้ยังไงกัน ฝันไปเถอะ! จริงเลยนะ!
“แต่ตาบื้อนั่นกลับเชื่อซะอีก! มันน่าโมโหแทบตายแล้ว!” หลินหว่านถูน้ำล้างหน้าอย่างขุ่นเคือง ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห “ฮั่วเทียนอวี่ คอยดูต่อไปเถอะ” เงาหลินหว่านในกระจกสายตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ท่าทางอย่างกับจะไปออกรบ
“กริ๊งๆๆ …” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“พี่หว่านเอ๋อร์ อรุณสวัสดิ์ค่ะ เช้านี้พี่จะทานอะไรดี? ฉันจะได้ไปซื้อมาให้ค่ะ” เป็นสายจากผู้ช่วย โทรมาได้จังหวะเวลาพอดิบพอดี สมกับที่คุ้นเคยการใช้ชีวิตของหลินหว่าน
“อรุณสวัสดิ์ อะไรก็ได้ อย่าให้มันเกินไปเป็นใช้ได้” หลินหว่านตอบไร้อารมณ์
“พี่หว่านเอ๋อร์ หลับไม่สนิทหรือคะ?”
“อืม ก็ดีนี่”
“งั้นก็เอาเหมือนเดิมนะคะ? แล้วก็ข้าวต้มอีกหน่อยไหม?”
“ได้”
พอวางสาย หลินหว่านคิดดูแล้ว หยิบบทละครขึ้นมาอ่านเตรียมตัวสำหรับบทของเธอ ก็ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่า พอดีพลิกมาถึงฉากดราม่าของตัวประกอบหญิงกับพระเอก นางเอกแกล้งตาย พระเอกไม่รู้ความจริง จึงใช้เหล้าดับทุกข์ เห็นตัวประกอบหญิงเป็นนางเอก จึงอ่อนโยนกับตัวประกอบหญิง
ตอนนั้นอ่านถึงตรงนี้ หลินหว่านไม่ได้คิดมากอะไร แต่ตอนนี้ ในหัวเธอนึกถึงอี้อวิ๋นฉังกับเซียวจิ่งสือเป็นตัวประกอบหญิงกับพระเอกโดยอัตโนมัติ เอาเอารู้สึกตะครั่นตะครอไปทั้งตัว!
“ตัวประกอบหญิงเทเหล้าปริ่มจอกยกให้กับพระเอกอย่างเอาใจ พระเอกดื่มรวดเดียวหมด หลายจอกผ่านไป พระเอกมึนเมาอยู่บ้าง หันไปมองคนที่ยื่นจอกเหล้าให้อีกครั้ง กลับกลายเป็นนางเอกกลับมา เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมอก…”
“ดึงเข้าสู่อ้อมอก?” หลินหว่านอ่านทวนเสียงดังอีกรอบ
“…ตัวประกอบหญิงทนไม่ได้ที่พระเอกเสียใจ จึงแสร้งทำเป็นนางเอก หมายจะจูบเขา…”
“จ…จูบ จูบรึ?!” หลินหว่านทำเสียงสูงขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
พวกเขาทำอะไรกัน! หรือว่าเซียวจิ่งสือกับอี้อวิ๋นฉัง…พวกเขา…พวกเขา!
“จูบอะไรหรือคะ?” ตอนนั้นเองผู้ช่วยถืออาหารเช้าเข้ามา ได้ยินเสียงหลินหว่านพูดเสียงดัง ก็แปลกใจ เข้ามาดูเห็นหลินหว่านถือบทละคร ก็พูดอย่างเข้าใจว่า “อ้อ พี่หว่านเอ๋อร์ พี่อ่านบทอยู่หรือคะ?”
“อ๋า อ้า ใช่!” หลินหว่านพับบทละครอย่างขัดเขิน ยิ้มพลางว่า “บทละคร”
บริษัทของเซียวจิ่งสือ
“ฮัดเช้ย!” เซียวจิ่งสือจามอย่างแรง
“เจ้านาย เป็นหวัดรึครับ?” เลขาถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร นายว่าต่อซิ” เซียวจิ่งสือดึงกระดาษเช็ดมือแผ่นหนึ่ง
“ครับ อันซวี่กรุ๊ป…” เลขารายงานต่อ เรื่องโครงงานของบริษัท และเรื่องเกี่ยวกับศิลปินค่ายอื่นๆ เซียวจิ่งสือแม้จะไม่ได้ลงในรายละเอียดเหมือนอย่างผู้จัดการของศิลปิน แต่ก็ต้องทำความเข้าใจในภาพรวม
อันซวี่กรุ๊ป พอรับฟังถึงอันซวี่กรุ๊ป เซียวจิ่งสือก็อดนึกถึงฮั่วเทียนอวี่นั่นไม่ได้! เจ้าหมอนั่นมีอะไรดีนะ หลินหว่านจึงได้สนใจเขา?!
ยิ่งคิดก็ยิ่งขัดใจ อารมณ์ของเซียวจิ่งสือในตอนนี้ก็เหมือนเด็กที่ถูกแย่งของเล่นชิ้นโปรด หน้าบูดบึ้งอย่างไม่พอใจ
“เจ้านาย? ” เสียงรายงานของเลขาเบาลงไป ไม่รู้ว่าตัวเองพูดผิดที่ตรงไหน เรียกเจ้านายเสียงเบาหวิว
“พูดจบแล้ว?” เซียวจิ่งสือตอนไม่หัวเราะ ดูน่ากลัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่เขาตั้งใจจะให้เป็นอย่างนี้
“ครับ สถานการณ์โดยรวมก็มีแค่นี้ครับ ดูปกติดี นอกจาก…” ตอนแรกเลขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ต่อมากลายเป็นลังเลอยู่บ้าง
“นอกจากอะไร?” เซียวจิ่งสือหน้าบูด เขายังคิดถึงเรื่องของหลินหว่านอยู่เลย
“นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับ…ข่าวลือของคุณหลิน” เซียวจิ่งสือเคยสั่งไว้ว่าเรื่องที่เกี่ยวกับหลินหว่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต้องรายงานให้เขาทราบทั้งหมด ถึงแม้เลขารู้ว่าพูดไปเขาอาจถูกด่า แต่ไม่พูดก็คงถูกด่าเหมือนกัน จึงตัดใจพูดออกมา
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว” แน่นอนว่าเซียวจิ่งสือรู้เรื่องข่าวลือนั่น! เขานึกขึ้นมาทีไรก็จุกอกทุกที อยากจะรีบโทรหาหลินหว่าน แต่พักนี้เธอกลับตีตัวออกห่างเขา เลยทำให้เขาไม่มั่นใจนัก เงียบกันไปครู่หนึ่ง เซียวจิ่งสือก็โบกมือให้เลขาออกไปได้ เขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“สวัสดีคะ ฉันเอง ไปบริษัท? ตอนนี้เหรอ?” หลินหว่านแปลกใจอยู่บ้าง
เนื่องจากไม่มีงานอะไร ผู้ช่วยจึงไม่ต้องคอยติดตามเธอ หลินหว่านกำลังเตรียมตัวถ่ายละคร ช่วงนี้ไม่มีงานอะไร พอได้ฟังว่าเจ้านายเรียกหาเธอ ก็สงสัยอยู่บ้าง
“อ้า ไม่เป็นไร ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” เจ้านายเรียกหาต้องมีธุระอะไรแน่ หลินหว่านรีบตอบรับ
ต่อให้ไม่ได้ร่วมงานอีเวนท์อะไร ดาราก็ไม่กล้าจะปล่อยหน้าเปล่าออกข้างนอก ถึงแม้หลินหว่านจะเป็นคนสวย แต่ก็ใส่ใจกับการแต่งหน้ามาก โดยเฉพาะยังมีขอบตาดำพวกนี้อีก
“อยู่ที่ห้องทำงานของคุณแน่ะ” ผู้จัดการเห็นหลินหว่านก็เข้ามาทักทาย ชี้มือไปห้องด้านใน
“ค่ะ ขอบคุณ” หลินหว่านกวาดตามอง แล้วถามอีกว่า “ใครเหรอ? มีเรื่องอะไรน่ะ?”
“คุณเข้าไปก็รู้เองแหละ”
อ๋าย ลึกลับปานนั้นเชียว? แต่ท่าทางไม่น่าจะเป็นเรื่องร้าย ไม่อย่างนั้นผู้จัดการน่าจะพุ่งเข้าไปก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบ…” หลินหว่านเข้าไปแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นก่อน พออีกฝ่ายหันกลับมาจึงเห็นว่าเป็น…อันจี๋ถิง “คุณหาฉันหรือคะ?”
“หว่านเอ๋อร์…” อันจี๋ถิงเดินเข้ามาหาอย่างตื่นเต้น ดึงมือสองข้างของหลินหว่านไว้ พูดอย่างพลุ่งพล่านว่า “หว่านเอ๋อร์ลูกแม่…” อันจี๋ถิงเพ่งพิจดูหน้าหลินหว่านอย่างละเอียด เหมือนอยากจะค้นหาอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ยอมแพ้ มองอีกฝ่ายอย่างสงสาร มือข้างหนึ่งกุมเอาไว้ พูดกลั้นสะอื้นว่า “หว่านเอ๋อร์ แม่ผิดต่อลูก แม่ผิดเอง ทำให้ลูกต้องลำบาก ต่อไปไม่เป็นไรแล้วนะ ต่อไปแม่จะดูแลลูกเอง…”
ยังไม่ทันที่อันจี๋ถิงจะพูดจบ หลินหว่านก็ดึงตัวเองออกมา ขยับไปด้านข้าง รักษาระยะห่างจากอันจี๋ถิง มองดูอันจี๋ถิงด้วยสายตาสับสนว้าวุ่น
“หว่านเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเรื่องเมื่อก่อนแม่เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว และก็ไม่ขอแก้ตัวอะไรด้วย แค่หวังว่าต่อไป…” อันจี๋ถิงพูดด้วยท่าทีวิงวอนขอร้อง
“ต่อไปจะเป็นยังไงคะ ชดเชยให้ฉันเหรอ?” หลินหว่านชิงพูดขัดขึ้น เห็นอีกฝ่ายดวงตาเป็นประกายวาบขึ้น ก็รู้สึกหนาวเยือก “ชดเชยฉันหรือเพื่อให้คุณหายรู้สึกผิดกันแน่ ถ้าคุณคิดจะทำเพื่อฉันจริง ตอนแรกทำไมหลอกฉันว่าคุณตายไปแล้ว คุณนึกถึงฉันบ้างหรือเปล่า? เห็นฉันเป็นลูกสาวของคุณจริงๆ งั้นหรือ?”
“ระหว่างพวกเราเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องเสียแรงเปล่าหรอก” พูดจบหลินหว่านก็จากไป