รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 296 จับตามอง
พอฟังคำขอของไป๋เจี๋ย เซียวจิ่งสือก็ผงกศีรษะรับปาก
ถึงแม้เขาอยากจะดูแลหลินหว่าน แต่ถึงยังไงก็เป็นผู้ชาย ทำอะไรได้ไม่เหมือนผู้หญิง ในเมื่อไป๋เจี๋ยคิดจะทำความดีลบล้างความผิด งั้นทำไมเขาจะไม่ส่งเสริมเล่า?
ไป๋เจี๋ยเดินตามหลังเขามาอย่างดีใจ ตรงไปโรงพยาบาลด้วยกัน
ได้เข้าใกล้ชายหนุ่มที่ทั้งหล่อและร่ำรวยขนาดนี้ ต่อให้ใช้วิธีแบบนี้ เธอก็ยังดีใจมากอยู่ดี
พอมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล ไป๋เจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองสำรวจไปรอบๆ บังเอิญเห็นว่ามีชายคนหนึ่งอยู่ด้านข้างแอบจับตาดูพวกเขาอย่างมีพิรุธ
ผู้ชายคนนั้นพอเห็นว่าเธอหันมาเห็นเข้าก็รีบแกล้งทำเป็นคนที่มาติดต่อกับทางโรงพยาบาล เขานั่งยองๆ เล่นมือถืออยู่ข้างกำแพงที่ไม่ค่อยเป็นจุดสนใจ
ไป๋เจี๋ยฉุกคิดขึ้นได้ ถึงแม้เธอจะเป็นแค่นักแสดงตัวเล็กๆ แต่ก็เห็นเรื่องราวใหญ่น้อยมามาก ดูท่าผู้ชายคนนี้คงเป็นพวกปาปารัสซี่ที่คิดจะตามมาแอบถ่ายรูปเป็นแน่
ดวงตาเธอเป็นประกายวาบ แกล้งทำเป็นสะดุดหกล้มกับพื้น ดูจากท่าทางเจ็บปวดคงล้มไม่เบานัก
“มีอะไรเหรอ?” เซียวจิ่งสือขมวดคิ้ว หันมามองเธออย่างหงุดหงิดรำคาญ ขยับแว่นดำบนใบหน้า
เขามัวสนใจอาการบาดเจ็บของหลินหว่าน จนไม่มีกะใจจะมาเสียเวลาไปกับเธอ แค่เดินสะดุดก็ล้มซะขนาดนี้ เห็นเขาเป็นคนโง่นักรึไง?
คนเดินผ่านไปผ่านมาหน้าประตูโรงพยาบาล จู่ๆ ก็มีผู้หญิงสวยคนหนึ่งล้มลงบนพื้น ความสนใจของทุกคนจึงถูกดึงดูดไป มองทั้งสองคนอย่างแปลกใจ
ไป๋เจี๋ยขบริมฝีปาก ตวัดสายตามองปาปารัสซี่นัดแวบหนึ่งอย่างเร็ว แกล้งทำเป็นเจ็บซะมาก “ฉ…ฉันดูเหมือนจะยืนไม่ขึ้นค่ะ”
“อย่าทำเสียเวลาน่า เร็วสิ” เซียวจิ่งสือล้วงมือทั้งสองในกระเป๋ากางเกง มองดูเธอด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปประคองเลยแม้แต่น้อย
เรื่องเสแสร้งแกล้งทำแบบนี้เขาเห็นมานักแล้ว ที่นี่คนเยอะ สายตาผู้คนก็แยะ อย่าว่าแต่จะเข้าไปประคองเลย ตอนนี้ไม่ทิ้งเธอเดินหนีไปก็ดีเท่าไหร่แล้ว
ไป๋เจี๋ยกำหมัดแน่น ดิ้นรนพยายามจะลุกขึ้นมา แต่เท้าซ้ายดูเหมือนจะไม่มีแรงยกไม่ขึ้น เหมือนใช้การไม่ได้แล้วอย่างนั้น
เธอเจ็บจนน้ำตาคลอ พูดเบาๆ ว่า “ช่วยฉันด้วยค่ะ ฉันยืนไม่ขึ้นจริงๆ ”
พอเห็นสาวสวยท่าทางน่าสงสารขอให้ชายสวมแว่นดำช่วยพยุงเธอขึ้น ก็ทำให้คนมามุงดูมากขึ้น วิพากษ์วิจารณ์เซียวจิ่งสือ เสริมแต่งจนแทบจะได้หนังเรื่องหนึ่ง
พอเห็นว่าทั้งสองกลายเป็นจุดสนใจ เซียวจิ่งสือก็ข่มความโกรธยื่นมือให้เธอ “รีบลุกขึ้นมาสิ!”
“ขอบคุณค่ะ” ไป๋เจี๋ยดีใจจนยิ้มออกมา ยื่นมือออกคว้าแขนเขาไว้ ยันร่างให้ลุกขึ้นยืน
ช่างภาพที่จ้องอยู่ด้านข้างเห็นเรื่องทั้งหมด พริบตาที่คนทั้งคู่สัมผัสกัน ก็กดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว
เสียงแชะจากกล้องถ่ายภาพดังขึ้น ถ่ายภาพวินาทีที่ชายหญิงอยู่ร่วมกัน ในภาพเป็นคนสองคนยืนเคียงคู่ มือของไป๋เจี๋ยวางอยู่บนไหล่ของเขา ดูเหมือนว่าเข้าโรงพยาบาลไปด้วยกัน กริยาท่าทางใกล้ชิดสนิทสนม
ไป๋เจี๋ยเล็งทิศทางที่ตากล้องอยู่ตลอด พอเห็นเขายกกล้องขึ้นก็รู้ว่าเธอบรรลุเป้าหมายแล้ว
ภาพถ่ายความสนิทสนมของพวกเขาพอถูกส่งขึ้นเน็ต ต่อให้คนอื่นไม่เข้าใจผิดว่าพวกเขามีอะไรกัน หลินหว่านเห็นแล้วย่อมจะขัดหูขัดตาบ้างล่ะ
ขอเพียงทำให้เซียวจิ่งสือกับหลินหว่านไม่มีความสุขด้วยกัน งั้นที่เธอแกล้งหกล้มทั้งหมดนี้ก็คุ้มแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ ไป๋เจี๋ยก็อดรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่ได้ รีบเร่งขึ้นหน้ามาเดินเคียงข้างเซียวจิ่งสือ “ขอบคุณนะคะที่เมื่อครู่ช่วยดึงฉันขึ้นมา ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จะลุกขึ้นมาได้ยังไง”
ไป๋เจี๋ยพูดพลางแกล้งทำเป็นเดินเขยกขาข้างหนึ่ง
“ซื้อไม้เท้าสักอันสิ คราวหน้าไม่มีใครพยุงคุณหรอก” เซียวจิ่งสือยิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้ม ปรายตามองดูขาของเธอ
รอยยิ้มของไป๋เจี๋ยแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เธอมองดูท่าทางเฉยชาของเซียวจิ่งสือแล้ว รู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ
เธอเห็นกับตาว่าเซียวจิ่งสืออ่อนโยนกับหลินหว่านขนาดไหน มันเรื่องอะไรที่ผู้หญิงคนนั้นได้รับความนุ่มนวลเอาใจจากเขาขนาดนี้ แต่พอเป็นเธอกลับต้องเจอกับคำพูดประชดประชันแบบนี้?
ในเวลาเดียวกับที่พวกเขาเข้าโรงพยาบาล ปาปารัสซี่ที่แอบถ่ายภาพไว้ก็ได้โพสต์รูปถ่ายขึ้นเน็ต
ภาพถ่ายนี้กลายเป็นข่าวเด่นในเวยปั๋วในพริบตา ทุกคนต่างพากันพูดถึงพวกเขาว่ามีความสัมพันธ์อะไรกัน
เนื่องจากคิดมากเอาไว้ก่อน ชาวเน็ตพากันคิดว่าไป๋เจี๋ยเป็นฝ่ายเข้ามาอ่อยเซียวจิ่งสือ จึงด่าว่าเธอเสียๆ หายๆ ไม่เลิก แค่เวลาไม่กี่ชั่วโมง ไป๋เจี๋ยก็กลายเป็นชื่อที่ผู้คนรู้จักกันดี
[ไป๋เจี๋ยนี่เป็นนักแสดงตัวเล็กๆ กระมัง? เธอไปรู้จักกับคนอย่างเซียวจิ่งสือตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?]
[ใช่เลย ดูท่าว่าเธอหกล้มนะ จะอ่อนแออะไรขนาดนั้น? แค่หกล้มก็น่าจะลุกขึ้นเองได้ใช่รึเปล่าล่ะ? ช่างทำเข้าไปได้นะ แค่เรียกความสนใจได้ก็พอ]
[พวกคุณเลิกพูดถึงเธอได้แล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้เธอดังเข้าไปอีก]
เสียงวิพากษ์วิจารณ์บนเน็ตยิ่งมองไป๋เจี๋ยในแง่ร้ายเข้าไปทุกที ดูท่าว่าเธออยากดังกลายเป็นโดนด่า พาตัวให้เองกลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน ในตอนนี้เองมีคนคนหนึ่งกระโดดเข้ามา
ในเวยปั๋วเปิดใจดาว คอมเมนต์ของอี้อวิ๋นฉังข้อความหนึ่งกลายเป็นคอมเมนต์สุดฮอต
[ตอนนี้มีคนแย่งแล้ว ฉันคาดไว้อยู่แล้วเชียว]
พอเห็นโพสต์ข้อความเหมือนมีความนัยของเธอ พวกชาวเน็ตพากันถามกลับว่าเธอหมายความอย่างไร ดูไปแล้วเหมือนจะช่วยพูดแทนไป๋เจี๋ยอย่างนั้น
ช่วงเวลาพักในกองถ่าย อี้อวิ๋นฉังนั่งไขว่ห้างดูมือถือ เห็นว่าคำพูดลอยๆ แค่คำเดียวของเธอก็สะกิดความอยากรู้ของคนขึ้นมาได้ ก็รู้สึกกระหยิ่มใจจนกระตุกยิ้มที่มุมปาก หรี่ตาลงเอนกายลงพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายอกสบายใจ ปลายนิ้วแต่บนหน้าจอ ตอบคำถามชาวเน็ต
[โอ้ยโหย อันที่จริงเสี่ยวหว่านเธอดื้อรั้นเอาแต่ใจจะตายไปนิ ไม่รู้จักประคบประหงมดูแลความรักของเธอดีๆ ก็ย่อมจะมีคนฉวยโอกาสแทรกเข้ามานะสิ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง หลักการข้อนี้พวกคุณต่างก็รู้ดี เวลานานไปใครเขาจะทนนิสัยดื้อรั้นของเธอได้อีกเล่า?]
พอเธอพูดจบก็ถอนใจยาว เก็บมือถือเข้ากระเป๋าอย่างอารมณ์ดี
เพื่อให้หลินหว่านไม่สงบสุข เธอจึงทำใจดีช่วยไป๋เจี๋ยพูดซะหน่อย จะได้ให้ชาวเน็ตอเนกประสงค์พวกนี้หันความสนใจไปที่หลินหว่าน
คนเขาเป็นถึงซุปตาร์ใหญ่ของวงการบันเทิงเชียวนะ เรื่องอะไรที่ทำให้เธอฮอตได้จนสุดติ่งนะ? เชื่อว่าตอนเธอเห็นว่าตัวเองถูกพวกชาวเน็ตพูดถึงด้วยจำนวนมากครั้งขนาดนี้ คงจะดีใจมากกระมัง?
[พวกเราอย่าด่าไป๋เจี๋ยเลยนะ อันที่จริงมาคิดดูแล้วภาพถ่ายแค่ใบเดียวก็บอกอะไรไม่ได้หรอก]
[ใช่เลย รู้สึกว่าคำพูดของอี้อวิ๋นฉังมีอย่างอื่นแอบแฝงอยู่ลึกๆ ถึงฉันจะคิดไม่ออก แต่ฉันรู้สึกว่าความหมายของเธอคงไม่ใช่ดูแคลนไป๋เจี๋ยแน่]
ภายในโรงพยาบาล ไป๋เจี๋ยถือมือถือมองดูอี้อวิ๋นฉังใช้คำพูดประโยคเดียวก็ช่วยเธอจากมุมอับได้ ก็รู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาอยู่บ้าง
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าท่ามกลางคลื่นมรสุมจากลมปาก คนที่ยืนหยัดออกมาช่วยเธอกลับเป็นอี้อวิ๋นฉังที่เคยรังแกเธอมาก่อน
เธอไม่สนว่าอี้อวิ๋นฉังเกิดใจดีขึ้นมาหรือว่าฉวยโอกาสหาเรื่องหลินหว่าน สรุปแล้วคอมเมนต์ที่ด่าว่าเธอลดน้อยลงก็พอ