รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 101 รางวัล
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะถามต่อ
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับนิกายรัตติกาลบ้างไหม”
จางเหล่ยสั่นศีรษะ
“ผมไม่ชอบมีปฏิสัมพันธ์กับนิกายอะไรพวกนี้เท่าไหร่ รู้สึกว่าพวกเขาบ้าคลั่งแล้วก็อันตรายมาก
“ผมเพียงแต่เคยได้ยินมาว่านิกายรัตติกาลเชื่อว่าตอนกลางคืนนั้นอันตรายมาก มีเพียงแค่ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากองค์เทพีตุลากรชะตาเท่านั้น ถึงจะสามารถมีชีวิตรอดจนถึงรุ่งเช้าได้
“ดังนั้นพวกเขาจึงชอบสวดมนต์ตอนฟ้าเริ่มมืด ชุมนุมกันกลางดึก และเรียกพิธีมหามิสซา[1]ของตนว่างานเต้นรำสุดเหวี่ยง…”
พูดถึงตรงนี้ จางเหล่ยก็พูดต่อด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่บ้าง
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าพิธีมิสซามันคืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าพิธีกรรมมิสซาของนิกายนี่มันออกจะแปลกนิดหน่อย”
“ถ้าคุณเคยได้ยินหลักสูตรวิธีเลี้ยงลูกกับฟังเทศน์จากหุ่นจักรกลมาก่อน ก็คงจะไม่รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องแปลกสักเท่าไหร่หรอก” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
จางเหล่ยไม่ได้ถามว่าหลักสูตรวิธีเลี้ยงลูกกับฟังเทศน์จากหุ่นจักรกลคืออะไร เขาหันกลับไปมองเมิ่งเซี่ยที่กำลังพูดคุยสนทนาอยู่กับเพื่อนสองสามคน แล้วก็พูดกับซางเจี้ยนเย่า
“ยังมีอะไรอยากถามอีกไหม”
“นอกจากตุลากรชะตา คุณยังรู้จักผู้ครองกาลองค์อื่นอีกไหม” ซางเจี้ยนเย่าถือโอกาสนี้ถามออกมาให้ชัดเจนไปเลย
จางเหล่ยย้อนนึกแล้วตอบ
“ก็ไม่มาก ตุลากรชะตาแห่งเดือนสิบสอง โพธิแห่งเดือนหนึ่ง ยังมีอีก… ตอนที่ผมอยู่เมืองหญ้าไพรได้ยินคนที่มาจากปฐมนครเล่าว่าที่นั่นมีขุนนางบางคนลักลอบกราบไหว้บูชามันดาระ[2]ผู้ปกครอง
เดือนเก้า”
ซางเจี้ยนเย่านึกถึงเรื่องที่หัวหน้าทีมเคยอธิบายให้ฟัง แล้วแสดงความคิดเห็นของตนออกมา
“เป็นไปได้ว่าที่ปฐมนคร น่าจะรวบรวมผู้ศรัทธาของผู้ครองกาลเอาไว้ครบหมดทุกองค์”
“นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ดีนักหรอก” จางเหล่ยผงกศีรษะ “สำหรับคนส่วนใหญ่น่ะ”
เขาชี้ไปทางเมิ่งเซี่ย
“ถ้าไม่มีอะไรถามอีก งั้นผมไปล่ะนะ”
ซางเจี้ยนเย่ารีบถามขึ้นมาทันที
“ทำไมคุณถึงไม่ถามถึงสาเหตุที่ผมถามคำถามพวกนี้ล่ะ”
“ยิ่งรู้มากก็ยิ่งอันตรายมาก”
พูดจบเขาก็ไม่อยู่ต่ออีก หันหลังเดินกลับไปหาเมิ่งเซี่ย
ซางเจี้ยนเย่ายังคงนั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้ทำอะไร ราวกับว่าเขาถูกตัดขาดจากบรรยากาศคึกคักรอบตัว
เขามองดูคนไปๆ มาๆ อย่างสงบเงียบ ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร
* * * * *
วันที่สอง ซางเจี้ยนเย่ายังคงไปถึงห้อง 14 ชั้น 647 ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เร็วกว่าเวลาที่กำหนดไว้สิบนาทีเช่นเคย
ไม่ได้ผิดไปจากที่คาด เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว
“เมื่อวานผมเจอพนักงานที่เป็นคนภายนอกมา” ซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามาแล้วพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงท่าทีว่าตนเองกำลังรอฟังให้พูดต่อ
ซางเจี้ยนเย่าดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง
“เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ครองกาลและผู้ตื่นรู้อยู่พอสมควร”
เขาเล่าในสิ่งที่จางเหล่ยพูดให้ฟังอีกครั้ง
“พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจนั้นอยู่ในเขตพลังของตุลากรชะตาจริงๆ ด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจพลางครุ่นคิด “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าศรัทธาในผู้ครองกาลองค์ไหน พอตื่นรู้ก็จะได้พลังพิเศษในเขตพลังที่เกี่ยวข้องกับผู้ครองกาลองค์นั้นหรือเปล่า… งั้นถ้าหากว่าก่อนจะตื่นรู้ ไม่ได้ศรัทธาผู้ครองกาลองค์ไหนเลย แล้วอะไรคือสิ่งที่จะกำหนดลักษณะของพลังพิเศษล่ะ
“อ้อ ตู้เหิงบอกว่าสิ่งที่ต้องสละแต่ละอย่างจะสะท้อนให้เห็นอย่างคลุมเครือว่าเป็นเขตพลังอะไร ดังนั้นเขตพลังก็จะแบ่งตามสิ่งที่สละออกไปอย่างนั้นเหรอ”
พูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามขึ้นมาประโยคหนึ่งทันที
“งั้นสิ่งที่เฉียวชูสละไปคืออะไรล่ะ
“ตู้เหิงกับกาโลแรนสละอะไรไปนะ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบ
“สิ่งที่สละไปนั้นไม่ใช่ว่าจะมองเห็นได้ง่ายๆ ทุกเรื่องหรอก
“ถ้าจิ้งฝ่าไม่พูดออกมา ก็คงไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เขาสละก็คือเพิ่มความกระหายทางกามารมณ์
“ตอนแรกผมตั้งใจจะสละด้วยการ ‘เป็นโสดตลอดชีวิต’ เพื่อแลกกับพลังพิเศษ แต่ไม่ได้ผล การสละแบบนั้นมันใช้ไม่ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนประหลาดใจขึ้นมาทันที
“อ้าว ไม่ใช่ว่าแค่สละอะไรไปก็ได้แล้วเหรอ นี่ยังต้องเลือกการสละให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ด้วยเหรอเนี่ย”
“ผมไม่รู้” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างซื่อตรง
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” มาคำหนึ่ง
“เพียงแค่กรณีเดียวก็คงยากจะบอกอะไรได้ ยกเว้นว่านายจะลองพยายามหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะหาการสละที่ตรงตามกฎเกณฑ์นั้นได้”
“ผมทดลองสามครั้ง ครั้งที่สองผมคิดจะสละด้วยการ ‘ไม่มีเพื่อนคบ’ แต่ก็ยังไม่ได้ผลอยู่ดี” ซางเจี้ยนเย่าพูดออกมาตามตรงอีกครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูด
“ต้องรอให้รู้จักผู้ตื่นรู้หลายคนมากกว่านี้เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความล้มเหลวและความสำเร็จของพวกเขา ถึงจะพอสรุปรูปแบบออกมาได้”
“พวกเขาไม่บอกหรอก” ซางเจี้ยนเย่าชี้ให้เห็น
“ถ้าหากว่าการสละของพวกเขาก็คือไม่อาจพูดโกหก หรือไม่ก็ต้องตอบคำถามทุกอย่างล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเธอพูดอย่างใคร่ครวญ
“หลังจากกลับมาแล้ว ฉันยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการทำเสน่ห์ของเฉียวชูไม่เหมือนเป็นพลังพิเศษ มันเหมือนเป็นสิ่งที่สละมากกว่า”
ซางเจี้ยนเย่าดวงตาวูบไหวและพูดขึ้นทันที
“นอกจากเขาแล้ว ผู้ตื่นรู้ที่เคยเห็นมาจนถึงตอนนี้ ต่างก็สามารถควบคุมพลังพิเศษของตัวเองได้ทั้งนั้น”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้ว่าจะมีพลังพิเศษอันไหนที่ส่งผลด้านที่ไม่ดีออกมาบ้าง แต่อย่างน้อยผู้ตื่นรู้ก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้หรือไม่ใช้
เฉียวชูถูกม้าฝันร้ายไล่ตามมาตลอดทาง ไม่แน่ว่าอาจจะเสียรถไปเพราะสาเหตุนี้ก็ได้ ถึงได้ใช้อุบายหลอกล่อให้อีกฝ่ายข้ามแม่น้ำไปแล้วก็ระเบิดสะพานทิ้ง ถึงได้หนีรอดมาได้
ผู้ตื่นรู้โดยทั่วไปก็ควรจะหยุดทำเสน่ห์ไปตั้งนานแล้ว
แน่นอนว่าซางเจี้ยนเย่าย่อมไม่อาจรับประกันได้ว่าพลังพิเศษที่ได้รับมานั้นจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทำเสน่ห์เองอย่างไม่เลือกหน้า’
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย “พอมองแบบนี้แล้ว เป็นไปได้ว่าการทำเสน่ห์ของเฉียวชูที่ผลจากสิ่งที่ต้องสละไป”
พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็หัวเราะร่าออกมาทันที
“ตอนที่เฉียวชูเพิ่งจะกลายเป็นผู้ตื่นรู้ ตอนนั้นเขายังอ่อนแออยู่ การทำเสน่ห์อัตโนมัติแบบที่ไม่สามารถลบล้างได้นี่ ไม่รู้ว่าทำให้เขาโดนอะไรไปบ้างน้า หึ หึ…”
“น่าอนาถจริงๆ” ซางเจี้ยนเย่าละเว้นเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างนั้น ข้ามไปยังบทสรุปโดยตรง
จากนั้นเขาก็เสริมอีก
“ก่อนจะเข้าสู่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ แล้วเอาชนะความกลัวไปทีละเรื่อง การทำเสน่ห์ของเฉียวชูอาจไม่ได้มีระยะขอบเขตกว้างขนาดนั้นก็ได้ ผลลัพธ์ก็น่าจะไม่รุนแรงแบบนั้นด้วยเหมือนกัน”
“นายกำลังคิดอะไรของนายกันเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มล้อเลียน “ตอนแรกฉันแค่จะบอกว่าเฉียวชูนั้นต้องเป็นที่ชื่นชอบของบางสิ่งบางอย่าง อย่างเช่นพวกยุง ถ้าหากว่าไปอยู่ข้างๆ เขาก็ไม่ต้องกลัวจะถูกยุงกัดแล้ว จุ๊ จุ๊ พวกนายสมัยนี้ ขอบเขตการศึกษาด้านสรีรวิทยามันขยายไปขนาดนั้นแล้วหรือไง”
โดยไม่ให้โอกาสซางเจี้ยนเย่าตอบคำถามแปลกๆ นี้ เธอก็พูดต่อทันที
“ว่ากันตามปกติแล้วเนี่ย คงไม่มีใครเลือกสิ่งที่ต้องสละเป็น ‘เพิ่มเสน่ห์ยิ่งขึ้น’ หรอก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เลือกจะสละในมุมมองของคนทั่วๆ ไป
“ดังนั้นเฉียวชูในตอนนั้นคงเลือกสละ ‘เสน่ห์’ เพื่อแลกกับพลังพิเศษ… แต่เขากลับคาดไม่ถึงว่านี่จะกลายเป็นทำให้คนนับหมื่นลุ่มหลง ทั้งคนทั้งสัตว์ก็อยากจะปล้ำเขาทั้งนั้น
“อ้อ… พูดจากประสบการณ์ที่ตัวเองเจอมานะ พอเวลาผ่านไป แรงกระตุ้นที่ทำให้ฉันอยากปล้ำเขาก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ เห็นอนาคตเลยว่าถ้าอยู่ต่ออีกซักวันสองวันหรืออีกไม่กี่ชั่วโมง พวกเราคงใช้กำลังลงมือปลุกปล้ำเขาอย่างรุนแรงแหงๆ
“นี่เป็นการสละที่… น่าอนาถจริงๆ”
“ขอบเขตการศึกษาด้านสรีรวิทยาของคุณเองก็ไม่เลวนะ” ซางเจี้ยนเย่าประเมินออกมาอย่างจริงจัง
“หือ นายว่าไงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเฉไฉแตะที่ใบหู แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “นอกจากนี้ พวกเราก็เคยถกกันมาก่อนแล้ว ดูจากสถานการณ์ในตอนนั้น หากเฉียวชูแสดงความมุ่งร้าย ผลจากการทำเสน่ห์ใส่เป้าหมายจะถูกยกเลิก พวกเพื่อนๆ ของเป้าหมายก็จะถูกกระตุ้นด้วย และหลุดจากอิทธิพลของพลังได้ในระดับหนึ่ง อ้อ… ยกเว้นพวกสัตว์กับ ‘คนไร้ใจ’ ดูเหมือนว่าจะมีข้อจำกัดอยู่มากเหมือนกันแฮะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วขณะแล้วพูด
“ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ งั้นพลังพิเศษอันที่สามของเฉียวชูก็ยังไม่ได้แสดงออกมานะสิ
“ดีแล้วที่ตอนนั้นพวกเราระวังตัวไว้”
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รู้แล้วว่าเฉียวชูมีพลังพิเศษที่ทำให้คนรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง และทำให้จดจ่ออยู่กับการทำอะไรสักอย่าง พลังอย่างแรกนั้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ส่วนอย่างหลังส่งผลแค่คนเดียว
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ หลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็ทยอยเดินเข้ามาทีละคน
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นก็ยืนขึ้นมา ปรบมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“เบื้องบนตอบกลับมาแล้ว!”
พอได้ยินว่าจะได้รับรางวัลกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลงเยว่หง หรือไป๋เฉิน รวมทั้งซางเจี้ยนเย่า ต่างก็ตาเป็นประกายกันทั้งนั้น
“หยุดเลย ไม่ต้องร้องเพลง เต้นก็ไม่ได้!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบห้ามซางเจี้ยนเย่า เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำอะไรแปลกๆ ออกมา
ซางเจี้ยนเย่าเผยสีหน้าเสียใจออกมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอมแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“รางวัลและค่าตอบแทนจะนับรวมกันแล้วแบ่งเป็นสองส่วน
“ส่วนแรกก็คือระดับพนักงานของทุกคนจะได้เลื่อนหนึ่งขั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือตอนนี้ฉันเป็นระดับ D7 แล้ว เป็นตำแหน่งหัวหน้าทีมของจริงล่ะ ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงแต่เดิมที่เป็นระดับ D2 ก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น D3 ส่วนไป๋เฉินที่แต่เดิมเป็นพนักงานอย่างเป็นทางการระดับ D1 ตอนนี้ได้เป็น D2
“D3” หลงเยว่หงร้องด้วยความตื่นเต้น “งั้นแต่ละเดือนก็จะได้แต้มส่วนร่วมเพิ่มอีก 1,000 แต้มงั้นสินะ”
นี่ก็หมายความว่าเขาจะได้รับเงินเดือนอยู่ที่ 2,800 แต้มต่อเดือน
นอกจากนี้พอเขาได้แต่งงานในปีหน้า ก็จะได้รับการจัดสรรห้องใหม่ ยิ่งเป็นพนักงานระดับสูงก็จะยิ่งได้รับห้องที่ดีขึ้น
“ถ้าจ่ายแต้มสมทบเอง ต้องอยู่ระดับเท่าไหร่ถึงจะยื่นเรื่องขอทำการดัดแปลงพันธุกรรมได้เหรอ” ใบหน้าของไป๋เฉินฉายความยินดีวาบ ก่อนจะรีบสลายมันออกไปอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วตอบ
“ฉันช่วยถามให้แล้ว ในกรณีของเธอเนี่ย ระดับ D4 ก็ได้แล้วล่ะ และถ้าหากว่าเธอเข้าร่วมในโปรเจ็คที่อันตรายมากๆ ก็สามารถทำเรื่องได้เลย แต่ว่านะ ยังไงฉันก็ยังไม่แนะนำอยู่ดี ไม่ว่าเธอวางแผนจะทำอะไร ก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะทำได้นะ”
ไป๋เฉินพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าตนเองนั้นจะไม่ทำอะไรมุทะลุหุนหันพลันแล่น
เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับมามองซางเจี้ยนเย่าอีกครั้ง
“นายไม่ดีใจเหรอ”
“ดีใจสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ช่างเถอะ ฉันไม่น่าถามเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ “ส่วนที่สองก็คือทุกคนจะได้รับแต้มส่วนร่วมคนละหนึ่งแสนแต้ม”
“หนึ่งแสนเลยเหรอ” หลงเยว่หงไม่เคยเห็นแต้มส่วนร่วมมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะฮา ฮา
“ไม่มากหรอกน่า รถหุ้มเกราะที่พวกเราปล้น ไม่ใช่สิ… ที่ได้รับกลับมา แล้วก็ปืนกลหนัก หนังงูเหล็กบึงดำ แล้วก็ข้าวของอีกสองคันรถ
“ของพวกนี้ถ้าเอาไปขายที่อื่น อย่างเช่นเมืองหญ้าไพร ราคาของมันเนี่ย แน่นอนว่าต้องพุ่งทะลุสี่แสนแต้มส่วนร่วมไปหลายรอบเลยล่ะ
“แต่ว่าพวกนายต้องคิดด้วยว่าอาวุธของพวกเรานั้นได้รับมาจากบริษัท รถจี๊ปของพวกเราก็บริษัทให้มา ตัวพวกเราเองก็เป็นบริษัทเลี้ยงดู บริษัทจะหักหัวคิวไปมากหน่อยมันก็สมเหตุสมผลอยู่แล้ว อีกอย่างนะ… พวกเราก็ได้รับค่าตอบแทนเป็นการเลื่อนระดับด้วยไม่ใช่หรือไง นี่มันยากกว่าการเก็บสะสมแต้มส่วนร่วมเสียอีก”
“ไม่หรอก นี่ไม่น้อยเลย” หลงเยว่หงไม่มีสีหน้าตัดพ้อแม้แต่น้อย
เขาอยากจะช่วยพ่อแม่กับน้องชายน้องสาวให้เปลี่ยนไปอยู่ห้องที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งต้องการแค่ราวๆ สามหมื่นแต้มเท่านั้น
สำหรับไป๋เฉินแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ที่มีความแข็งแกร่งที่สุดย่อมต้องได้รับสินสงครามจำนวนมากสุดนั้นเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกว่านี่เป็นปัญหาอะไรเช่นกัน
ซางเจี้ยนเย่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าไม่มีใครอยากฟัง
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็เปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบซองใส่เอกสารออกมาสามซอง
“มีชื่อเขียนติดเอาไว้ นี่คือของที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว พวกนายเอากลับไปได้
“ฮ่า ฮ่า บริษัทคืนนาฬิกาข้อมือกลับมาให้พวกเราด้วย ทั้งหมดนี้เป็นนาฬิกาแมคคานิกส์ มีค่ามากกว่านาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ อย่างน้อยก็ห้าหกหมื่นแต้มส่วนร่วมเลยล่ะ อ้อ พวกชิ้นส่วนที่เสียหาย บริษัทก็ช่วยซ่อมมาให้ด้วยนะ
“ใช่แล้ว หลังจากนี้อย่าลืมเอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ไปอัปเดตด้วยล่ะ ถ้าแต้มส่วนร่วมได้มาไม่ครบก็บอกฉัน อ้อ ยังมีอีก เบี้ยเลี้ยงภาคสนาม 900 แต้มของครั้งนี้จะส่งให้โดยตรง”
ระหว่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังพูด ซางเจี้ยนเย่าก็หยิบซองเอกสารที่มีชื่อเขาเขียนไว้แล้วเทของข้างในออกมา
ข้างในมีแว่นกันแดดสีดำหนึ่งอัน นาฬิกาแมคคานิกส์สีเข้มหนึ่งเรือน ลูกแก้วใสที่มีกลีบดอกไม้สีเหลืองฝังอยู่ข้างในหนึ่งลูก เครื่องบันทึกเสียงจากเมืองหนูดำหนึ่งอัน แล้วก็ลำโพงสีดำที่ด้านล่างเป็นสีน้ำเงินหนึ่งคู่
ไป๋เฉินไม่สนใจดูซองเอกสารของตนเอง เธอมองเจี๋ยงไป๋เหมียนแล้วถามอย่างกังวล
“หัวหน้า เรื่องเมืองน้ำล้อม ผลเป็นไงบ้าง”
* * * * *
[1] มิสซา (弥撒) เป็นพิธีกรรมของคริสศาสนิกชนที่รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อขอบคุณพระเยซูที่ทรงใช้พระวรกายและโลหิต ยอมพลีชีวิตเพื่อไถ่บาปแทนมนุษย์ ในนิยายเรื่องนี้ใช้แนวคิดพิธีมิสซาของศาสนาคริสต์มาดัดแปลง เป็นพิธีที่ใช้ขอบคุณผู้ครองกาลที่นิกายของตนนับถือกราบไหว้บูชา
[2] มันดาระ (曼陀罗) เป็นสัญลักษณ์ทางฮินดูและพุทธ มีความหมายแทน “จักรวาล” สัญลักษณ์ส่วนใหญ่เป็นสี่เหลี่ยม มีสี่ประตู มีวงกลมที่จุดศูนย์กลาง แต่ละประตูเป็นรูปตัว T และมีรัศมีสมดุลกัน คำนี้เขียนได้หลายแบบ เช่น Mandara, Mandala, มันดาล่า