รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 105 “นีโอฮิวแมน”
ค่ำคืนหลังจากคืนที่เขาต้องปฏิบัติภารกิจ ซางเจี้ยนเย่าใช้ลิฟต์ไปยังชั้น 478
ก่อนหน้านี้ทั้งเขาและเจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็ไม่ได้ไปถามใครเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของสงหมิงเลย รวมถึงว่าหลังเลิกงานแล้วเขามักจะไปทำอะไรที่ไหน พักอาศัยอยู่เขตอะไรบ้านเลขที่เท่าไหร่
นั่นเป็นเพราะพวกเขากังวลว่าจะไปเจอเข้ากับสมาชิกลับของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ซึ่งนั่นจะชักนำความยุ่งยากอันไม่จำเป็นมาถึงตัว หรือก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองมากเกินไป
การเสียชีวิตของเสิ่นตู้ก็เป็นบทเรียนให้เห็นแล้ว
ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงสงสัยว่ามี ‘เจ้าหน้าที่ควบคุมระเบียบ’ บางคนในเวลานั้นเป็นหนึ่งในผู้ตื่นรู้ของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’
แต่น่าเสียดายว่าหลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าแอบ ‘ลอบ’ สังเกตการณ์แล้วไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดใน ‘แผนกควบคุมระเบียบ’ ของชั้นนี้ที่มีพฤติกรรมอาการที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่ต้องสละเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังพิเศษนั้นมักจะปรากฏร่องรอยบางอย่างออกมาให้สังเกตเห็นได้
เนื่องจากไม่ได้มุ่งเน้นการสืบหาอะไรเป็นพิเศษ ซางเจี้ยนเย่าจึงไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาจุดนี้ เขาตรงไปยัง ‘ศูนย์กิจกรรม’ ที่ชั้น 478 โดยตั้งใจว่าจะอยู่ที่นั่นไปจนถึงเวลารายงานข่าวช่วงค่ำ
ที่นี่ก็เป็นเช่นเดียวกับ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ที่ชั้น 495 ซึ่งเป็นสถานที่คึกคักมีชีวิตชีวาที่สุดในช่วงเวลาเย็น บางคนก็เล่นไพ่ บางคนก็พูดคุยสนทนา บางคนก็นั่งรวมกลุ่มกันถักเสื้อไหมพรม
ซางเจี้ยนเย่ากวาดสายตามองดูรอบกายแต่ก็ไม่พบสงหมิงผู้มีลักษณะทางกายภาพที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน เขาหามุมที่มีผู้คนบางตาเข้าไปจับจองที่นั่ง แล้วค่อยๆ มองสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง
หลังจากผ่านไปราว 10-20 นาที แผ่นหลังเขาก็เกร็งขึ้นมา
ในตอนนี้มีชายผู้หนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา
เขามีอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหก สวมเสื้อสีดำที่มีการตัดเย็บอย่างประณีต ไว้ผมค่อนข้างสั้นมาก เส้นผมแต่ละเส้นตั้งตรงชี้ขึ้นเพดาน
ใบหน้าเขาค่อนข้างสะอาดสะอ้าน มีหนวดเป็นตอจางๆ หน้าตาดูงดงามราวกับแกะสลักออกมา
จากที่มองเห็นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาคือคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์
แต่ทว่าดวงตาของชายผู้นี้มีความผิดปกติบางประการ มันไร้ชีวิตชีวาราวกับเป็นดวงตาเทียมที่ทำจากไม้ มันจับจ้องอย่างคงที่ ไม่มีการเคลื่อนไหวเหลือบซ้ายแลขวาเลย
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา
“สงหมิง” เขาเรียกขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
ชายผู้นั้นหยุดเท้าลง
เขายืนเยื้องจากซางเจี้ยนเย่าเล็กน้อย ที่จริงแล้วเพียงแค่เหลือบตานิดหน่อยก็สามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าเขากลับหันมาทั้งหน้า
“คุณเป็นใคร” ชายหนุ่มผู้นี้ยอมรับโดยนัยว่าตนเองคือสงหมิง
หลังจากเผชิญกับสายตาของสงหมิง ซางเจี้ยนเย่าก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของดวงตาเขาได้อย่างชัดเจน
นี่ทำให้เขาสามารถยืนยันตัวตนของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์
ซางเจี้ยนเย่าเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจมองดูทางนี้เขาก็คลี่ยิ้มออกมา
“ผมมาที่นี่เพื่อมาตามหาคุณ”
“หือ” สงหมิงหรี่ตาลง
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
“คุณดูสิ
“คุณมีความสามารถพิเศษ ผมก็มีความสามารถพิเศษ…”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของสงหมิงก็เคร่งเครียดลง สายตาที่มองมาก็เปี่ยมด้วยอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ขณะนี้ซางเจี้ยนเย่าพลันรู้สึกหายใจไม่ออก หัวใจราวกับจะหยุดเต้นลง
เขายังคงรักษารอยยิ้มไว้และพูดต่อ
“คุณเป็นสมาชิกขององค์กรลับ ผมก็เป็นสมาชิกขององค์กรลับ
“ดังนั้น…”
สงหมิงจ้องมองซางเจี้ยนเย่าอย่างนิ่งเฉยอยู่สองสามวินาที จากนั้นสีหน้าเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เขาพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูด
“ที่แท้คุณก็เป็นสาวกแห่งผู้ครองกาล เป็นผู้ศรัทธาของนิกายนี่เอง”
เขาหันศีรษะมองสภาพแวดล้อมรอบกายที่เต็มไปด้วยเสียงอึกทึก แล้วพยักพเยิดไปที่ประตูทางเข้าออก
“ออกไปเดินเล่นกันเถอะ”
“ได้” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เขาอุตส่าห์หวังว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ ‘สนิทชิดเชื้อ’ ระหว่างพวกเขานั้น อีกฝ่ายจะเชื้อเชิญให้เขากินเมล็ดฟักทอง และดื่มน้ำอัดลมรสส้มสักขวด
เมื่อออกมาจาก ‘ศูนย์กิจกรรม’ แล้ว ทั้งสองก็เดินไปยังมุมที่ค่อนข้างเงียบสงบ
ภายใต้แสงสีขาวที่ส่องลงมาจากเพดาน สงหมิงที่สองมือล้วงกระเป๋าก้าวเดินอย่างเชื่องช้าก็พลันถามขึ้น
“นายตื่นรู้เมื่อไหร่”
“ปีนี้” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างใจเย็น
สงหมิงพยักหน้าเล็กน้อย
“ของฉันต้นปีที่แล้ว”
สีหน้าเขาค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น
“ถึงแม้จะได้รับการอำนวยพรจากองค์เทพีตุลากรชะตาก็ตาม แต่ว่าในแต่ละครั้งก็จะมีผู้ตื่นรู้เพียงแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น บางครั้งก็ไม่มีแม้แต่คนเดียว
“คนที่เป็นผู้ตื่นรู้อย่างพวกเรานั้นคือผู้ที่ได้รับการประทานพรจากองค์เทพีอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษสุดและโดดเด่นยิ่งกว่าใดๆ ดังนั้นฉันจึงเต็มใจที่ได้อธิบายให้นายฟังซะมากมายขนาดนี้ คนอื่นๆ นั้นล้วนแต่ไม่คู่ควร”
สงหมิงมองไปรอบๆ แล้วชี้ไปที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ พูดขึ้น
“เห็นคนพวกนั้นไหม
“หากฉันอยากให้พวกมันตาย มันก็ต้องตายทันที พวกมันล้วนแต่เป็นคนธรรมดาสามัญ โง่เขลา หยาบคาย ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของพวกมันก็คือเป็นฐานรองให้พวกเราโดดเด่นขึ้นมา”
พูดมาถึงตรงนี้ สงหมิงก็ยิ้มจางๆ แล้วหันหน้ามาพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“โลกใหม่นั้นถูกเตรียมไว้สำหรับมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ นีโอฮิวแมน”[1]
“อาจารย์เซนรูปหนึ่งก็เคยพูดไว้แบบนี้เหมือนกัน” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ธรรมดาให้เป็นฐาน และเขาก็ไม่ต้องฉี่ ตด หรือขับถ่ายด้วย…”
สงหมิงย่นคิ้วขมวดทันที
“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนั้นก็ได้
“สุดท้ายแล้วหุ่นจักรกลก็จะเข้ามาแทนที่มนุษย์สายพันธุ์เก่าทั้งหมดนั่นแหละ”
แล้วเขาก็หันมาถาม
“นายเข้าไปที่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ แล้วหรือยัง”
“เพิ่งได้เข้าไป” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
“นับว่ามีพรสวรรค์ไม่เลว” สงหมิงหันกายกลับไปแล้วเดินต่อไปยังมุมถนนที่เงียบสงบ
ห้องพักอาศัยสองฟากทางเดินนั้นตั้งชิดติดกันอย่างหนาแน่นราวกับกรงเลี้ยงนกพิราบ
สงหมิงมองไปรอบๆ โดยหันไปทั้งศีรษะและลำตัว จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย กล่าวขึ้น
“นีโอฮิวแมนอย่างพวกเราไม่ควรใช้ชีวิตที่ต้องอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้
“แต่วางใจเถอะ อีกไม่นานพวกเราก็จะได้กลับไปยังที่ที่เหมาะสมสำหรับพวกเรา”
ซางเจี้ยนเย่ามองดูดวงตาไม้แกะสลักของสงหมิงอยู่หนึ่งวินาที แล้วก็ถามขึ้น
“พลังของนายคือทำให้หัวใจหยุดเต้นงั้นเหรอ”
สงหมิงไม่ได้ตอบออกมาในทันที เขามองดูซางเจี้ยนเย่าอย่างลึกซึ้งอยู่ครู่ใหญ่
นี่ทำให้การเต้นหัวใจของซางเจี้ยนเย่าเหมือนจะมีอาการผิดปกติ
ความรู้สึกหายใจไม่ออกนั้นราวกับเป็นจริง
“นายคงเดาจากการตายของหวังย่าเฟยงั้นสินะ” สงหมิงถามขึ้น ปลดคลายอาการหายใจไม่ออกให้
“ก็มันเห็นได้ชัดเลยไม่ใช่หรือไง” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยรอยยิ้ม
สงหมิงยิ้ม
“ที่จริงแล้วฉันมีวิธีปกปิดให้ดูแนบเนียนมากกว่านี้ได้ แต่นั่นไม่จำเป็นหรอก เขาไม่คุ้มค่าพอให้ฉันต้องเสียเวลาด้วย”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นด้วยหรือว่าผงกไปอย่างนั้นเอง
จากนั้นเขาก็ถามต่อ
“คุรุศักดิ์สิทธิ์บอกให้นายลงมือฆ่าเขาเหรอ”
สงหมิงร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“หมอนั่นไม่ใช่คนดีนักหรอก มันชอบทำให้พนักงานไม่มีของจะซื้อ ชอบกักตุนของไว้แล้วปล่อยขายแค่จำนวนน้อยๆ ต้องให้คนไปอ้อนวอนขอร้อง ถึงจะยอมขายให้
“ดังนั้นฉันก็เลยรับภารกิจนี้มา
“เพื่อที่จะฆ่ามัน ฉันต้องลาป่วยหนึ่งวัน พอกินมื้อเช้าเสร็จก็ไปที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ แล้วรออยู่ที่ผนังที่กั้นแบ่งระหว่าง ‘ตลาดโภคภัณฑ์’
“ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะฉันได้ยินมาจากพนักงานของ ‘คณะกรรมการยุทธศาสตร์’ ว่ากล้องวงจรปิดนั้นยังคงใช้งานได้ และใช้งานอยู่”
ภายในของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ระบบกล้องวงจรปิดจะอยู่ภายใต้การจัดการของ ‘คณะกรรมการยุทธศาสตร์’ เพื่อจำกัดอำนาจของ ‘แผนกควบคุมระเบียบ’ คอยถ่วงดุลย์และคานอำนาจระหว่างกัน
“คณะกรรมการยุทธศาสตร์…” ซางเจี้ยนเย่าทวนคำ
เขาจำได้ว่าเหรินเจี๋ย ‘ผู้ชี้นำ’ ของชั้น 495 นั้นก็เป็น ‘คณะกรรมการยุทธศาสตร์’ ด้วยเช่นกัน
สงหมิงไม่ได้ใส่ใจกับการทวนคำของซางเจี้ยนเย่า เขาพูดต่อ
“รอจนเก้าโมงกว่า ฉันก็ได้ยินเสียงของหวังย่าเฟย มั่นใจแล้วว่ามันอยู่ห้องข้างๆ และรู้ตำแหน่งที่แน่นอนแล้ว
“การฆ่ามันนั้นใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ง่ายสุดๆ
“ต่อมาก็เกิดความโกลาหลปั่นป่วนในพริบตา ฉันรีบฉวยโอกาสเปลี่ยนตำแหน่ง ออกห่างจากผนังทันที จากนั้นก็ไปขอยืมหนังสือ อ่านไปเรื่อยๆ จนถึงเที่ยงวัน แล้วก็ไปกินข้าวที่โรงอาหาร”
สงหมิงเล่าอย่างละเอียดราวกับว่ายินดีที่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วงและต้องการหาคนมาร่วมแบ่งปันความภาคภูมิใจนี้
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น
“ทางนิกายมักจะอ้างตลอดว่านี่เป็นเทวทัณฑ์จากองค์เทพี”
“แล้วนี่ไม่ใช่เทวทัณฑ์หรือไง” สงหมิงเอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “วิธีการที่ราวกับเทพเซียนเช่นนี้ ไม่ควรค่าที่จะกล่าวว่าเป็นเทวทัณฑ์หรอกหรือ นอกจากนั้น พลังนี่ก็เป็นสิ่งที่องค์เทพีประทานมาอีกด้วย”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่างจริงจัง
“ถ้างั้นการเต้นรำของคนที่องค์เทพีประทานพร จะเรียกว่าเทวร่ายรำด้วยหรือเปล่า”
“พูดบ้าอะไรของนายเนี่ย” สงหมิงขมวดคิ้ว
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้อธิบายอะไร เขาถามต่อว่า
“คนอย่างพวกเรานี่มีกันเท่าไหร่เหรอ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน” สงหมิงสั่นศีรษะ “คุรุศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนนั้นมีผู้ตื่นรู้ในสังกัดไม่มากนัก อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนอื่นๆ มีกันจำนวนเท่าไหร่”
“คุรุศักดิ์สิทธิ์แต่ละคน” ซางเจี้ยนเย่าจับประเด็นสำคัญได้ทันที
สงหมิงมองเขาด้วยความแปลกใจ
“นายไม่รู้เหรอว่าในบริษัทมีคุรุศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายคน”
เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“พวกเรานั้นเป็นผู้สมัครที่แข็งแกร่งสำหรับตำแหน่งคุรุศักดิ์สิทธิ์”
พูดมาถึงตรงนี้สงหมิงก็มองซางเจี้ยนเย่าอย่างสงสัย
“นายอยู่สังกัดคุรุศักดิ์สิทธิ์คนไหน”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตื่นตระหนก เขาตอบอย่างจริงจัง
“เป็นคุรุศักดิ์สิทธิ์ผู้คอยใส่ใจเราอยู่เสมอ”
“อ้อ เป็นเขานั่นเอง เขาเป็นคุรุศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกลับที่สุด ฉันเองก็ไม่เคยเจอเขาเหมือนกัน” สงหมิงกระจ่าง “มิน่าล่ะ นายถึงไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไหร่… คนที่ติดตามเขาไม่ใช่ว่าต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะมีโอกาสได้รับบัญชาหรอกเหรอ”
“อย่างน้อยก็มีฉันนี่แหละ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่าง ‘สัตย์จริง’
แล้วเขาก็ถามต่อโดยไม่รอให้สงหมิงพูด
“ที่นายฆ่าหวังย่าเฟยนี่เป็นคำสั่งจากคุรุศักดิ์สิทธิ์คนไหนล่ะ”
สีหน้าของสงหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คุรุศักดิ์สิทธิ์ทุกคนล้วนแต่ใช้คำจากโลกเก่ามาเป็นฉายาเรียกขาน
“คนที่ฉันติดตามอยู่นั้นชื่อว่า ‘วิญญาณหวน’[2]”
* * * * *
[1] นีโอฮิวแมน (新人类) หมายถึง มนุษย์สายพันธุ์ใหม่
[2] วิญญาณหวน (头七) คำภาษาจีนนั้นหมายถึง ‘เจ็ดวันแรกหลังจากเสียชีวิต’ เป็นประเพณีของชาวจีนบางกลุ่มที่มีความเชื่อว่าหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว 7 วัน วิญญาณของผู้ตายจะกลับมาบ้าน ดังนั้นคนในครอบครัวจะเตรียมอาหารเอาไว้ให้ เมื่อเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบเข้านอน เพราะถ้าผู้ตายได้พบสมาชิกครอบครัวจะทำให้วิญญาณจดจำ และส่งผลต่อการกลับมาเกิดใหม่ คล้ายกับคำว่า ‘สัตมวาร’ ที่หมายถึง การทำบุญครบเจ็ดวันหลังจากเสียชีวิตไปแล้วตามประเพณีไทย