รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 114 ชีวเภสัชกรรม
เมื่อได้ยินคำตอบของติงเช่อ ไป๋เฉินก็ตกตะลึง ร่างกายซวนเซไปด้านหลังเล็กน้อย ในหัวเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นถึงจะรู้สึกตัว รีบถามอย่างตระหนก
“เป็นโรคอะไร”
ติงเช่อตอบสีหน้าเศร้าสร้อย
“หมอบอกว่าเป็นโรคเก่า เกี่ยวกับปอด แล้วก็มีปัญหาหลอดลมร่วมด้วย พอหน้าหนาวทีไรก็อาการกำเริบทุกที”
ในขณะนี้ไป๋เฉินรู้สึกถึงลมหนาวยามค่ำคืนพัดต้องใบหน้า สร้างความเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
เธอรีบหันไปมองเจี่ยงไป๋เหมียน ตะโกนออกมาด้วยอารมณ์ความรู้สึก
“หัวหน้า…”
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของไป๋เฉิน เธอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดกับติงเช่อ
“พาเราไปหาเจ้าเมืองเถียนหน่อยได้ไหม พวกเรามียาอยู่ อาจจะพอช่วยได้บ้าง”
หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้ว ติงเช่อย่อมไม่มีทางเห็นด้วยเป็นแน่ แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้เขารู้สึกว่าถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็คงไม่แย่ไปกว่าการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร ลองรักษาม้าตายดั่งม้าเป็น[1]ก็อาจยังพอมีหวังก็ได้
“ได้” เขาพยักหน้าอย่างแรง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ชักช้าเสียเวลาอีก เธอเดินไปที่ท้ายรถหยิบกล่องสีขาวขุ่นที่มีสัญลักษณ์กาชาดออกมา
นี่เป็นชุดปฐมพยาบาลของ ‘ทีมสำรวจเก่า’
ครั้งนี้เป็นการปฏิบัติภารกิจอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การฝึกภาคสนามอย่างครั้งก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้นำมาเพียงแค่ยาทั่วไปอย่างพวกยาฆ่าเชื้อ ยาไล่ยุงมาเหมือนก่อนหน้านี้
ปัง!
เจี่ยงไป๋เหมียนปิดท้ายรถแล้วหันมาพูดกับติงเช่อ
“ไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นความเป็นมืออาชีพของสาวสวยผู้นี้แล้ว ติงเช่อก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น รีบเดินขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อนำทางไป
กลุ่มคนทั้งห้าเดินผ่านบ้านดิน บ้านอิฐ เต็นท์ที่กางอย่างแออัดระเกะระกะ เดินผ่านสายตาที่มองมาด้วยความระแวดระวัง กังขาสงสัย อิจฉา จนมาถึงบริเวณใกล้กับเสาธง
เมื่อเห็นว่าบริเวณโดยรอบสงบลงในที่สุด ไป๋เฉินรีบก้าวไปเดินข้างติงเช่อแล้วถามด้วยความกังวล
“เจ้าเมืองเถียนป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่”
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ติงเช่อที่กำลังเร่งฝีเท้าเดินอยู่ก็ตอบออกมาหลังจากคิดทบทวน
“สิบกว่าวันเห็นจะได้
“สมัยก่อนพอเข้าหน้าหนาว เจ้าเมืองก็จะป่วยสักครั้งสองครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรง ใครจะรู้ว่าคราวนี้กลับมาป่วยหนัก
“หมอจัดยาให้แล้ว และก็ฉีดยาให้ด้วย แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ ตั้งแต่สองสามวันก่อนเขาก็เริ่มไม่ค่อยจะรู้สึกตัว ตื่นมาแค่ไม่กี่ครั้ง หมอบอกว่า… บอกว่าอาจจะไม่พ้นคืนนี้…”
หลังจากพูดไปพูดมา ชายที่สูงราว 170 เซนติเมตรผู้นี้ที่นับได้ว่าเป็นคนค่อนข้างสูงในหมู่คนเร่ร่อนแดนร้าง ก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
เขายกแขนซ้ายขึ้นมาแล้วใช้ข้อพับข้อศอกปาดน้ำตาแบบลวกๆ ก่อนจะพูดต่อ
“อันที่จริงหมอบอกไว้ตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้วว่าเจ้าเมืองน่าจะไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็ยังทนมาได้จนถึงตอนนี้ หมอบอก… บอกว่าเขามีกำลังใจเข้มแข็งมาก เหมือนต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้อีกสักหน่อย…”
ติงเช่อสูดจมูก พูดไม่ออกอีกแล้ว
ไป๋เฉินเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเริ่มเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อย
ระหว่างที่พูดคุยกันนี้พวกเขาก็มาถึงด้านในสุดของเมืองน้ำล้อม และเลี้ยวเข้าไปในอาคารด้านซ้ายมือ
ทางเดินนั้นมีแสงสลัว เจี่ยงไป๋เหมียนหันเหไปเริ่มหัวข้อสนทนาที่ทำให้บรรยากาศไม่หนักอึ้งมากนัก
“พวกคุณมีหมอด้วยเหรอ”
สำหรับนิคมของคนเร่ร่อนแดนร้างแล้ว นี่นับได้ว่าเป็น ‘ความหรูหรา’ อย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินคำถามของเจี่ยงไป๋เหมียน ติงเช่อก็ตอบคำถามอย่างละเอียด
“ก็มีอยู่
“เจ้าเมืองเล่าว่าตอนแรกมีหมออยู่สองสามคน ต่อมาพอลูกๆ หลานๆ เริ่มเรียนหนังสือ ก็เลือกเอาคนที่ผลการเรียนดีที่สุดออกมาสองสามคน มาศึกษาวิชาแพทย์เพื่อสานต่อ นี่เป็นธรรมเนียมของพวกเรา
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ติงเช่อก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
“แต่เราไม่มียารักษา เจ้าเมืองบอกว่าในช่วงปีแรกๆ หลังจากโลกเก่าล่มสลายไปก็ยังดีหน่อย ยังพอจะไปค้นหายาจากซากเมืองได้บ้าง ถึงแม้ว่ายาพวกนั้นจะหมดอายุไปนานแล้วและประสิทธิภาพต่ำ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย
“แต่ในตอนนี้พวกเรามีแต่ต้องทำการค้าเท่านั้น เพราะมีเพียงแค่กองกำลังขนาดใหญ่ที่ผลิตออกมาได้
“อ้อ… พวกหมอยังเจอหนังสือบางส่วนจากในซากเมือง ในนั้นเขียนบอกเอาไว้ว่าเก็บพวกต้นพืชหรืออวัยวะบางส่วนของสัตว์ในแดนร้างเอามาผสมรวมกันทำเป็นยาสมุนไพรได้ บางอย่างก็ได้ผลดีด้วย!”
ในตอนนี้พวกเขาทั้งห้าก็เดินมาถึงห้องที่อยู่ท้ายสุดของชั้นสองแล้ว
ที่ประตูทางเข้าออกมียามเมืองสองคนเฝ้าระวังอยู่
“พวกเขามียารักษา!” ติงเช่อรีบพูดออกมาทันทีโดยไม่แม้แต่จะแนะนำตัว
“ไป๋เฉิน…” หนึ่งในยามเมืองจำไป๋เฉินได้ จึงรีบเปิดประตูให้ทันที “เข้าไปได้เลย”
จากนั้นก็พูดเสริมอีกประโยค
“ช่วงสองสามวันนี้ ตอนที่เจ้าเมืองนอนหลับไม่ได้สติ บางครั้งก็ละเมอเรียกว่าหนูไป๋”
ไป๋เฉินดวงตาแดงขอบตารื้น รีบรุดเข้าไปในห้องเป็นคนแรก
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้สายตาส่งสัญญาณบอกใบ้ซางเจี้ยนเย่าว่าให้ควบคุมตัวเองให้ดี อย่าให้เกิดอาการสมองกระตุก จากนั้นก็เดินตามไป๋เฉินเข้าไปในห้อง
สิ่งแรกที่สะดุดสายตาเธอก็คือหลอดไฟแสงสีเหลืองหม่นที่แขวนห้อยอยู่ที่เพดาน ส่องสว่างไสวไปทั่วห้อง
ด้านในสุดของห้องตรงบริเวณใกล้บานหน้าต่างมีเตียงไม้สีแดงเข้มดูค่อนข้างเก่าตั้งอยู่ บนเตียงเป็นเถียนเอ้อร์เหอสวมเสื้อโค้ททหารสีเขียว ดวงตาปิดสนิท นอนห่มผ้าห่มผืนหนา
ใบหน้าเขาซูบตอบราวกับมีเพียงหนังหุ้มกระดูก มีผมหงอกอยู่หรอมแหรมและยุ่งกระเซิง
ในเวลานี้เถียนเอ้อร์เหอส่งเสียงหายใจติดขัดราวกับว่ามีเสมหะอยู่เยอะมากจนต้องหายใจอย่างแรง
ทำให้ดูเหมือนเขาจะหยุดหายใจได้ทุกขณะ
ข้างกายเถียนเอ้อร์เหอมีเตาเหล็กสีดำคอยให้ความอบอุ่นอยู่
บางทีอาจเป็นเพราะอาการของเถียนเอ้อร์เหอทรุดลง คนระดับสูงในเมืองจึงได้มารวมตัวกันที่นี่
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชายวัยเกือบสามสิบปี มีบ้างที่เป็นคนหนุ่มดูเฉลียวฉลาด และผู้สูงวัยอายุห้าสิบหกสิบอยู่สองสามคน นี่ทำให้ห้องนั้นดูคับแคบไปถนัดตา
ในหมู่พวกเขามีผู้หญิงเพียงสามคนเท่านั้น เป็นผู้สูงวัยสอง กลางคนหนึ่ง
“หัวหน้า พวกเขาบอกว่ามียารักษา” ติงเช่อไม่อาจอดใจรอ รีบพูดกับชายอายุราวสามสิบห้าสามสิบหกปีผู้หนึ่ง
ชายคนนี้เป็นหัวหน้าของยามเมืองน้ำล้อม และยังเป็นคนที่จะขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองคนถัดไปที่เถียนเอ้อร์เหอได้เลือกไว้หลังจากที่เขาล้มป่วยหนักอีกด้วย
เขามีหน้าตาธรรมดา ใบหน้าเศร้าหมอง สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเทา ผิวหนังหยาบกร้าน
“ผมชื่อหลี่เจิ้งเฟย” ชายผู้นั้นก้าวมาข้างหน้าสองก้าว ยื่นมือออกมาทางเจี่ยงไป๋เหมียน
เจี่ยงไป๋เหมียนเขย่ามือกับเขาเบาๆ แล้วแนะนำตนเองกับลูกทีมของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ อย่างสั้นๆ พอเป็นพิธี
“พวกคุณมียาอะไร” หลี่เจิ้งเฟยถามออกมาตรงๆ โดยไม่มีการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบก่อน
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอีกฝ่ายเสียงเรียบ
“พวกเราไม่มียารักษาโรคปอดและหลอดลมเป็นการเฉพาะหรอก แต่เราติดเอาชีวเภสัชกรรม[2]มาด้วย น่าจะพอช่วยยื้ออาการให้เจ้าเมืองเถียนไปได้สักหน่อยและมีสติรู้ตัว ขอเพียงเขาสามารถอดทนต่อได้อีกสองวัน ก็ยังพอมีความหวังในการรักษา
หลี่เจิ้งเฟยพอจะคาดเดาได้อย่างเลือนลางว่าประโยคหลังของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นมีความหมายเช่นไร เขาหันหน้าไปมองหญิงชราซึ่งมีผมสั้นขาวและหวีอย่างเรียบร้อย
เธอเป็นหมอที่เก่งที่สุดในเมืองนี้
หญิงชราผงกศีรษะเล็กน้อย บ่งบอกว่าให้ลองดูได้
เธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
“ต้องรบกวนพวกคุณแล้ว” หลี่เจิ้งเฟยตัดสินใจทันที
ในด้านนี้เขามีความกล้าหาญมากกว่ารูปลักษณ์ที่แสดงให้เห็น
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” คำหนึ่ง ถือชุดปฐมพยาบาลเดินไปที่เตียงของเถียนเอ้อร์เหอ
เธอนั่งลง เปิดกล่องแล้วหยิบกระบอกฉีดยา เข็มฉีดยา และขวดแก้วสีน้ำตาลขนาดเท่าหัวแม่มือออกมา
หลังจากประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างชำนาญ จากนั้นก็ดูดของเหลวในขวดเข้าไปในหลอดฉีดยา
เมื่อดันอากาศจากปลายเข็มออกไปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนขอให้ไป๋เฉินช่วยจับมือของเถียนเอ้อร์เหอถกแขนเสื้อขึ้นมา
เธอหาเส้นเลือดที่จะฉีดได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แทงปลายเข็มเข้าไป
หลังจากค่อยๆ ดันของเหลวเข้าไปทีละนิดจนเสร็จสิ้น เจี่ยงไป๋เหมียนด้านหนึ่งก็จัดการฆ่าเชื้อที่เข็มฉีดและเก็บชุดปฐมพยาบาลกลับเข้าสำรับ อีกด้านหนึ่งก็ออกคำสั่งต่อไป๋เฉินให้ช่วยพยุงเถียนเอ้อร์เหอขึ้นมาอยู่ในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน
ในระหว่างนี้ไป๋เฉินก็ไม่ลืมเอาหมอนมาวางหนุนไว้ที่เอวด้านหลังของเขาด้วย
พูดไปแล้วก็น่าแปลก เสียงหายใจที่บีบคั้นหัวใจผู้คนของเถียนเอ้อร์เหอค่อยๆ สงบลง
เขาไอออกมาอย่างรวดเร็ว และด้วยความช่วยเหลือของไป๋เฉิน ก็เอี้ยวตัวไปถ่มเสมหะจำนวนมากลงในกระโถนที่วางอยู่ด้านข้าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเถียนเอ้อร์เหอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
สายตาเขาค่อยๆ กลับมามองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง มองเห็นว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นคือผู้ใด
“หนู หนูไป๋…” เถียนเอ้อร์เหอร้องออกมาอย่างอ่อนแรง
ไป๋เฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“ฉันเอง”
เถียนเอ้อร์เหอค่อยๆ คลี่ยิ้ม คนที่เหลือทั้งหมดเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว”
ไป๋เฉินปล่อยโฮร้องไห้ออกมาทันที ไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไป
เธออยากจะพูดอะไรออกมา ทว่าลำคอกลับตีบตันเพราะความโศกเศร้า
เถียนเอ้อร์เหอฟื้นคืนสติสัมปชัญญะขึ้นมา กวาดสายตามองดูเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และหลี่เจิ้งเฟย
เขาพยักหน้าให้กับแขกผู้มาเยือนก่อนจะตบลงที่ขอบเตียง
“เจิ้งเฟย เข้ามานั่งนี่หน่อย”
หลี่เจิ้งเฟยว่าง่ายราวกับเด็กที่เชื่อฟัง เขาเดินอ้อมเจี่ยงไป๋เหมียนไปอยู่ข้างเถียนเอ้อร์เหอ
รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเถียนเอ้อร์เหอคลายออกเล็กน้อย
“ฉันยังจำได้ดี ในบรรดาเด็กๆ ทุกคนในกลุ่ม เจ้าน่ะเป็นเด็กที่ดื้อที่สุดและก็ซนที่สุดด้วย ใครจะไปรู้ว่าสุดท้ายแล้วฉันกลับมอบความไว้วางใจ มอบเมืองน้ำล้อม… มอบเมืองน้ำล้อมไว้ให้เจ้า”
“เจ้าเมือง…” หลี่เจิ้งเฟย ชายผู้มีอายุล่วงมาถึงวัยกลางคนพลันร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
เถียนเอ้อร์เหอดุอย่างยิ้มแย้ม
“จะร้องไห้หาอะไร
“ฉันอายุอานามปาไปตั้งเจ็ดสิบแล้ว ใช้ชีวิตมานานพอแล้ว ทั้งเมียทั้งลูกๆ ต่างก็ไปรอฉันอยู่ที่ข้างล่างกันหมดแล้ว”
เขาสูดหายใจลึกแล้วพูดต่อ
“เรื่องที่เคยพูดกับเจ้าไว้ก่อนหน้านี้น่ะ ดูแล้วในตอนนี้ก็คงได้คำตอบแล้วล่ะ”
ระหว่างที่พูด เถียนเอ้อร์เหอก็หันไปมองเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างมีความหวังแล้วถามขึ้น
“ว่าไงบ้าง”
เจี่ยงไป๋เหมียนเรียบเรียงถ้อยคำ ก่อนจะแนะนำตัวเองออกมาก่อน
“พวกเรามาจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’”
“ผานกู่ชีวภาพ…” หลี่เจิ้งเฟยสูญเสียความเยือกเย็นไปเล็กน้อยขณะทวนชื่อออกมา
สีหน้าของหญิงชายเยาว์ชราโดยรอบพลันเปลี่ยนแปลงไปในระดับหนึ่ง บ้างตกใจ บ้างตื่นตะลึง บ้างหวาดกลัว บ้างตื่นตระหนก บ้างกระวนกระวาย
เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปโดยรอบแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของบริษัทเราในแดนธุลีจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่สินะ แต่ได้โปรดเชื่อเถอะว่าอาสาสมัครการทดลองของทางเราทุกคนนั้นล้วนแต่ทำด้วยความสมัครใจทั้งสิ้น พวกเรานิยมใช้ผลประโยชน์มาจูงใจมากกว่า ไม่ใช่การบีบบังคับขู่เข็ญ
“พวกคุณลองนึกทบทวนดูก็แล้วกันว่าในบรรดากองกำลังใหญ่ทั้งหลายที่รู้จักกันนั้น จะมีสักกี่ที่กันเชียวที่น่าเชื่อถือมากกว่าบริษัทพวกเรา”
หลังจากนิ่งเงียบกันไปชั่วครู่ก็มีบางคนด้านหลังพูดพึมพำขึ้น
“มีคนบอกว่า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เป็นตัวการที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังการทำลายโลกเก่า…”
สีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนแข็งทื่อไปเล็กน้อย แล้วก็รีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอย่างงั้นไม่ใช่ว่าพวกคุณยิ่งสมควรต้องเชื่อฟังเราให้มากขึ้นหรือไง
“กองกำลังที่สามารถทำลายโลกเก่าได้ ไม่ควรค่าแก่การเข้าร่วมหรอกเหรอ”
ในห้องกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง เถียนเอ้อร์เหอกระแอมออกมาก่อนจะพูดขึ้น
“พวกคุณมีข้อเสนออะไร”
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้ม
“พวกเราตั้งใจจะทำสัญญามาตรการร่วมมือฉันมิตรกับพวกคุณ”
* * * * *
[1] รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น (死马当成活马医/死马当作活马医) ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จ เช่นการรักษาม้าที่ตายไปแล้วเหมือนว่ามันยังมีชีวิตอยู่
[2] ชีวเภสัชกรรม (生物制药) หรือยาชีวภาพ คือผลิตภัณฑ์ยาประเภทหนึ่งซึ่งสร้างหรือสังเคราะห์ขึ้นมาจากสสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น มนุษย์ สัตว์ พืช เห็ดรา และจุลินทรีย์