รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 119 กลิ่น
แต่งภรรยาได้หลายคนงั้นเหรอ… หลงเยว่หงผู้ซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาในอาคารใต้ดินพบว่ายากจะจินตการถึงเรื่องดังกล่าวนี้ได้
ซางเจี้ยนเย่าเริ่มถกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
“คงต้องยุ่งมากจนไม่มีเวลาพักแน่”
“ธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้มีอยู่ในบางพื้นที่ และในบางพื้นที่ก็อนุญาตให้ผู้หญิงสามารถมีสามีหลายคนได้เช่นกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนเล่าเรื่องที่เคยพบเห็นและได้ยินได้ฟังมา
ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“แล้วจะเป็นยังไงถ้าคนจากสองที่นี้มารวมกัน และนำธรรมเนียมทั้งสองอย่างนี้มาผสานเข้าด้วยกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบออกมา
“งั้นก็อาจจะมีสถานการณ์ว่า… สามีคนที่สี่ของภรรยาคนที่สามของสามีคนแรกของภรรยาคนที่สองนั้น ที่จริงแล้วเป็นลูกชายของตัวเองล่ะมั้ง”
หลงเยว่หงได้ยินแล้วรู้สึกอยากกุมขมับ เขาปวดเศียรเวียนเกล้าไม่อาจไล่เรียงความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงนี้ได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อกวาดสายตามองไปก็เห็นว่าห่างออกไปไม่กี่เมตรจากด้านหน้ารถอาร์วีนั้นมีคนสองสามคนสวมเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมกับเสื้อขนเป็ดล้าสมัยยืนอยู่ โค้งคำนับเทียนไขสีแดงสองเล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อน
เปลวไฟของเทียนทั้งสองเล่มวูบไหวไปมา เบื้องหน้าพวกเขาก็ยังมีชิ้นเนื้อแห้ง ไก่ที่ถอนขนจนเกลี้ยง หมั่นโถว ขนมปังข้าวโพด และอาหารชนิดอื่นๆ
“พวกเขาทำอะไรกันน่ะ” หลงเยว่หงเขย่งปลายเท้าเพื่อจะได้มองเห็นชัดขึ้น
ไป๋เฉินมองตามไป
“พวกเขากำลังไหว้แม่ย่านาง[1]น่ะ”
“หือ… แม่ย่านาง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างกระตือรือร้น
ไป๋เฉินพยายามเรียบเรียงถ้อยคำเพื่ออธิบาย
“สำหรับพวก ‘คนไร้ราก’ แล้ว รถยนต์คือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด และก็เป็นสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวอีกด้วย ขนบธรรมเนียมและพฤติกรรมของพวกเขาส่วนใหญ่ก็มาจากเรื่องนี้แหละ
“พวกเขาคอยห่วงคอยกังวลตลอดว่ารถอาจจะเกิดอุบัติเหตุชนอะไรเข้า หรือขับตกลงไปในหล่มโคลน หรือพลิกคว่ำเพราะเจอสิ่งกีดขวาง ดังนั้นพวกเขาจึงได้สร้างเทพ ‘แม่ย่านาง’ ขึ้นมาเพื่อกราบไหว้สักการะและอธิษฐานขอความคุ้มครองให้เดินทางได้ราบรื่นปลอดภัย ไม่พบกับภยันตรายใดๆ ระหว่างทาง”
ซางเจี้ยนเย่าจุ๊ปากออกมา
“ไม่ได้อยู่ในการปกครองของผู้ครองกาลองค์ใดด้วยงั้นเหรอ”
“นั่นสิ เทพที่พวกเขากราบไหว้ไม่ได้เป็นผู้ครองกาลองค์ไหนเลย” หลงเยว่หงเห็นด้วย
ไป๋เฉินเปล่งรอยยิ้มอันสดใส
“อิทธิพลของผู้ครองกาลนั้นยังไม่ได้แพร่หลายไปทั่ว ผู้คนในอีกหลายๆ พื้นที่ก็เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อนี้
“อ้อ… มีนิกายหลายแห่งที่ศรัทธาในผู้ครองกาล พยายามจะโยงแม่ย่านางเข้ากับนิกายของพวกเขา เพื่อที่จะได้ควบรวมกลุ่ม ‘คนไร้ราก’ ให้กลายเป็นสาวกของพวกเขา ในตอนนี้กลุ่มที่ทำได้ดีที่สุดก็คือ ‘นิกายจิตกระจ่าง’ เป็นนิกายที่นับถือผู้ครองกาลแห่งเดือนหนึ่ง องค์พุทธะโพธิ
“กลุ่ม ‘คนไร้ราก’ กลุ่มอื่นนั้น ได้เปลี่ยนชื่อของแม่ย่านางเป็น ‘แม่ย่าโพธิสัตว์’ ไปแล้ว”
“การแข่งขันระหว่างเทพเจ้านี่ดุเดือดดีนะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นอย่างจริงจังออกมาหนึ่งประโยค
หลงเยว่หงเหลือบมองสถานที่สักการะแม่ย่านางอีกครั้ง มองดูเนื้อตากแห้ง เนื้อไก่ปรุงสุก หมั่นโถว ขนมปังข้าวโพด แล้วพูดขึ้น
“แบบนี้ไม่เสียของไปเปล่าๆ หรอกเหรอ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นี่ก็ยังนับได้ว่าเป็นการเลี้ยงฉลอง ถ้าไม่ใช่เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ไม่มีทางได้กินเป็นแน่แท้
“ไหว้เสร็จแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งหรอก” ไป๋เฉินอธิบาย “พอไหว้เสร็จ อาหารพวกนี้ก็จะเก็บกลับมาแล้วแบ่งกันในครอบครัว บนแดนธุลีนั้นไม่มีการทิ้งขว้างอาหารให้เสียเปล่า ยกเว้นแค่บางสถานที่เท่านั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเธอก็อ่อนโยนลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
“ในนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างหลายแห่ง เรื่องที่พวกเด็กๆ ตั้งหน้าตั้งตารอที่สุดก็คือการไหว้สักการะเทพเจ้านี่แหละ เพราะนี่หมายถึงว่าหลังจากเสร็จพิธีแล้วก็จะมีอาหารให้กินกันเต็มที่ ในหนึ่งปีจะมีโอกาสได้กินกันแบบนี้ก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นแหละ”
“อย่างนี้นี่เอง…” หลงเยว่หงนึกถึงการฉลองปีใหม่ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ และก็เข้าใจได้ในทันที
ในระหว่างที่พูดคุยกัน กลุ่มคนทั้งสี่ก็เดินมาถึงบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านที่สุดของค่าย แต่ก็อยู่ห่างจากถังบรรทุกน้ำมันด้วยเช่นกัน
ที่นี่ค่อนข้างโล่ง มีเพียงรถอาร์วีสามคันเท่านั้นที่จอดเรียงกันอยู่
พวกมันจอดเรียงเป็นสี่เหลี่ยมแบบหลวมๆ โดยมีด้านหนึ่งเปิดโล่ง ประตูรถด้านข้างเปิดออกหมด ทำให้มองเห็นโต๊ะ เก้าอี้ ครัว เคาน์เตอร์ ตู้ ที่อยู่ภายในได้
พื้นที่ที่อยู่ในกรอบล้อมนั้น วงนอกสุดมีโต๊ะเก้าอี้และม้านั่งสารพัดแบบสารพันชนิดตั้งล้อมเป็นวง ส่วนพื้นที่ตรงกลางนั้นปล่อยโล่งว่างไว้
ในตอนนี้ ด้านบนของรถอาร์วีที่หันหน้ามาทางช่องที่เปิดอยู่ มีลูกบอลหลายลูกกะพริบวูบวาบ มีทั้งสีเขียว แดง ม่วง ทำให้พื้นที่ในบริเวณนั้นมีแสงสีละลานตา
ด้านบนของรถอาร์วีอีกสองคันมีลำโพงอยู่ กำลังเล่นเพลงที่มีจังหวะสนุกสนาน ทำให้คนที่รวมตัวกันอยู่ในพื้นที่ว่างนั้นอดโยกตัวเต้นตามจังหวะไม่ได้
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอื้อมมือมาจับซางเจี้ยนเย่าที่กำลังมีท่าทีกระหายใคร่เข้าไปร่วมวงเต็มที
“อย่าเพิ่ง
“เข้าไปข้างในกันก่อน”
ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ กระชับเป้ยุทธวิธีที่กำลังจะปลดวางลงไป จากนั้นก็เดินตามเจี่ยงไป๋เหมียนเข้าไปยังรถอาร์วีที่จอดอยู่ด้านในสุด
ในระหว่างทางก็พบกับชายหนุ่มที่โกนจอนทั้งสองข้างออกจนหมดจด
เจี่ยงไป๋เหมียนเรียกให้เขาหยุดก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ
“หัวหน้าของพวกคุณอยู่ที่ไหนเหรอคะ”
ขณะที่พูดเธอก็ได้กลิ่นน้ำมันเบนซินจากร่างของอีกฝ่าย
ภายใต้สายลมหนาวยามค่ำคืนแห่งเหมันตฤดูพัดโชย แต่ชายหนุ่มไม่ได้สวมผ้ามากชิ้น มีเพียงแค่เสื้อยืดผ้าฝ้ายแขนยาวสีแดงกับกางเกงขากว้างอีกตัวหนึ่งเท่านั้น
หน้าผากเขามีเหงื่อซึมเล็กน้อยราวกับว่าเพิ่งจะผ่านประสบการณ์การออกกำลังกายแบบเข้มข้นมา
“เรียกว่าหัวหน้าคาราวาน” ชายหนุ่มย้ำ
“ครับ คุณหัวหน้าคาราวาน” ซางเจี้ยนเย่าเป็นคนที่ลื่นไหลตามน้ำได้เสมอ
ชายหนุ่มถึงกับสำลัก
“ไม่ใช่ ผมหมายถึงผู้นำของพวกเราน่ะ เราเรียกว่าเป็นหัวหน้าคาราวาน ไม่ได้บอกว่าผมเป็นหัวหน้าคาราวาน หัวหน้าคาราวานเป็นผู้นำกลุ่มคาราวานการค้าของพวกเรา”
“แล้วหัวหน้าคาราวานอยู่ไหนเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบถามก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะพูดอะไรออกมาอีก
ชายหนุ่มชี้ไปยังรถอาร์วีที่จอดอยู่ด้านในสุด
“คนที่ขายของอยู่นั่นไง”
พอตอบเสร็จก็มองดูเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ”
“ไม่ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนปฏิเสธออกมาทันทีไม่มีลังเล
ในตอนที่พวกเขาคุยกันนั้น เนื่องจากเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม ทำให้ต้องตะโกนคุยกันจนสุดเสียง
สำหรับเจี่ยงไป๋เหมียนแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติราวกับปลาในน้ำ
ชายหนุ่มที่ถูกปฏิเสธไม่ได้ใส่ใจ ร่างกายขยับโยกไปตามจังหวะ และหลีกทางให้
ในขณะที่เขามองตามแผ่นหลังของเจี่ยงไป๋เหมียนไป เขาก็ยกมือขวาขึ้นมาดมที่หลังมือตนเอง พูดพึมพำด้วยความสงสัย
“เธอไม่ชอบกลิ่นน้ำมันเบนซินรุ่นนี้หรือไงนะ”
เมื่อ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังจะไปถึงรถอาร์วีเป้าหมาย หญิงชราก็โผล่พรวดออกมาจากเงามืดของสภาพแวดล้อม
เธอถือที่โกยขยะสีน้ำตาลซึ่งข้างในนั้นมีขวดและกระป๋องอยู่หลายใบ
“ต้องการน้ำมันเบนซินไหม หรือว่าเอาเป็นน้ำมันดีเซลดี” ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของหญิงชราดูชัดเจนมาก และมีร่างกายค่อนข้างผ่ายผอม
ขณะที่หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ กำลังอึ้งอยู่นั้น ซางเจี้ยนเย่าที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วก็ถามคำถามขึ้นมา
“อร่อยหรือเปล่า”
“…” หญิงชราพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “นี่กินไม่ได้หรอกนะ”
แล้วเธอก็พูดเสียงดัง
“เอาน้ำมันชโลมตัวสักหน่อย จะทำให้พวกคุณกลายเป็นที่นิยมที่สุดในค่ายเลยล่ะ”
เธอใช้มือข้างที่ว่างอยู่ชี้ไปขวดเล็กๆ
“นี่เป็นน้ำมันเบนซินชนิด 15 ของออเรนจ์คอมพานี เป็นชนิดที่บริสุทธิ์ที่สุด กลิ่นก็กำลังกลมกล่อมพอดี
“แค่ชโลมตัวนิดหน่อย คืนนี้ไม่รู้ว่าจะมีสาวๆ เข้ามาหากี่คนต่อกี่คนเลยเชียว!”
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง
“เป็นเพราะพวกรถต้องใช้น้ำมัน คนที่นี่ก็เลยชอบกลิ่นน้ำมันไปด้วยสินะ
“บางทีสำหรับพวกเขาแล้ว กลิ่นดอกไม้ยังเทียบไม่ได้กับกลิ่นน้ำมันเบนซินหรือดีเซลเลยล่ะมั้ง”
“หือ คุณว่าไงนะ” การได้ยินของหญิงชราค่อนข้างแย่ และสภาพแวดล้อมก็ค่อนข้างหนวกหูมาก
เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ แล้วพูดออกมาเสียงดัง
“พวกเราไม่ต้องการค่ะ!”
เมื่อเห็นว่าหญิงชรากลับคืนสู่เงามืดด้วยท่าทีผิดหวังเล็กน้อย ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนก็เข้าไปในรถอาร์วีคันที่อยู่ข้างในสุด
พื้นที่ภายในรถค่อนข้างกว้างขวาง มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่มากมายหลายตัว พื้นที่ฝั่งตรงข้ามด้านนอกมีเคาน์เตอร์สีขาวนวลที่สูงระดับหน้าอกของซางเจี้ยนเย่า
ด้านหน้าเคาน์เตอร์มีเก้าอี้สูงวางอยู่สองสามตัว และมีชั้นไม้สำหรับวางขวดและกระป๋องสารพัดชนิดอยู่ด้านหลัง
ระหว่างเคาน์เตอร์และชั้นไม้มีชายร่างสูง 180 เซนติเมตรยืนอยู่
เขาดูมีอายุราว 40-50 ปี ไว้ผมสั้นมาก รอบริมฝีปากมีเคราสีดอกเลาดกหนา สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำที่มีประกายสะท้อนระยิบระยับเล็กน้อย
“สนใจดื่มเหล้าไหม” คุณลุงผู้นี้ถามขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
เจี่ยงไป๋เหมียนดึงเก้าอี้สูงออกมานั่งลง แล้วถามกลับไป
“พวกคุณมีเหล้าขายด้วยเหรอคะ”
หลงเยว่หงรู้สึกแปลกใจ
แม้แต่ในสถานที่ซึ่งนับได้ว่ายังมีอาหารเพียงพออย่าง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือเป็นสินค้าควบคุมซึ่งในแต่ละปีจะผลิตออกมาในจำนวนที่น้อยมาก แต่ละคนก็จะมีโควต้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทว่าในแดนธุลีที่เต็มไปด้วยความอดอยากหิวโหยทุกหย่อมหญ้า เดินไปเดินมากลับสามารถพบพานพ่อค้าสุราได้เสียอย่างนั้น!
คุณลุงซึ่งเป็นหัวหน้าคาราวานของ ‘คนไร้ราก’ หัวเราะร่า
“เป็นเหล้าผลไม้ป่าน่ะ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผลไม้อะไร มันจะออกผลอยู่ที่นี่ทุกๆ ฤดูร้อน รสชาติทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด ก็เลยไม่มีใครกิน และก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้จนถึงฤดูหนาว แต่พอเอามาหมักเป็นเหล้า รสชาติกลับดีเกินคาด”
หลังจากที่สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทุกคนนั่งลงกันหมดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดเจืออารมณ์ขัน
“นี่ฉันยังคิดว่าคนที่ใช้รถมาทำเป็นบ้าน จะไม่ดื่มเหล้าตลอดทั้งชีวิตซะอีก”
คุณลุงหัวเราะลั่นก่อนจะตอบ
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเราถึงดื่มกันบ่อยในฤดูหนาวไง”
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ
“รุ่นคุณปู่ฉัน เป็นเพราะว่าโลกเก่าถูกทำลายลงไป จึงไม่สามารถกลับไปยังบ้านเกิดได้ ทำให้สภาพจิตใจไม่สู้ดีนัก พวกเขาจึงต้องใช้เหล้าดับทุกข์
“นี่ก็เลยทำให้พวกเราเกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง สูญเสียรถไปหลายคัน
“พอมาถึงรุ่นของพ่อฉัน เราก็เลยออกกฎข้อแรกของคาราวานขึ้นมา นั่นคือทุกคนจะต้องสักไว้บนร่าง”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หันหลังให้แล้วถกเสื้อขึ้นมาแสดงแผ่นหลังให้ดู
บนผิวสีแทนนั้นมีตัวหนังสือสีดำขนาดใหญ่สองแถวดูสะดุดตามาก
‘ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม’
* * * * *
[1] แม่ย่านาง (车头神) ภาษาจีนแปลว่า ‘เทพหัวรถ’ ใกล้เคียงกับคำไทยว่า ‘แม่ย่านาง’ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยกราบไหว้บูชาในฐานะผู้คุ้มครองป้องกันภยันตรายประจำพาหนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรือ รถยนต์ เครื่องบิน