รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 122 ผู้เผยแพร่คำสอน
หลังจากได้ยินคำถามของเฟอร์ลิน เจี่ยงไป๋เหมียนก็แนะนำอย่างสั้นๆ
“รถจี๊ปสี่ที่นั่ง สีเขียวอมเทา”
เฟอร์ลินครุ่นคิดก่อนพูดต่อ
“ตอนนี้ก็มืดแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะพาคนไปดูแล้วค่อยวางแผน
“ในขณะเดียวกันก็จะได้ปรึกษากันว่าพวกคุณต้องการเข้าเมืองหญ้าไพรยังไง ต้องการให้พวกเราจัดเตรียมการบริการแบบไหนให้
“พอจะออกเดินทางก็ค่อยชำระบัญชี หวังว่าพวกคุณจะมีอาหารกระป๋องเพียงพอนะ”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินว่าเฟอร์ลินไม่ต้องการคุยเรื่องงานในตอนนี้ จึงได้เลิกล้มความคิดที่จะสนทนาต่อ เธอยิ้มแล้วตบบ่าซางเจี้ยนเย่า
“ถ้าไม่พอ งั้นก็เอาเขานี่แหละจ่าย!”
เฟอร์ลินอดหัวเราะไม่ได้
“ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้
“ฉันต้องหาวิธีเองว่าทำยังไงถึงจะทำให้น้องชายคนนี้อยู่ต่ออย่างเต็มใจ”
หลงเยว่หงถึงกับพูดไม่ออก รู้สึกว่าความสัมพันธ์นั้น ‘ก้าวหน้า’ เร็วเกินไปหรือเปล่า
ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที แค่เปลี่ยนจาก ‘คนแปลกหน้า’ กลายเป็น ‘สหาย’ ยังไม่พอ ยังถึงขั้นพัฒนาจนเป็น ‘พี่น้อง’ กันอีกด้วย!
“งั้นก็ยกลูกสาวคนสุดท้องของคุณให้เขาแต่งด้วยสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนเสนอแนะอย่าง ‘ไม่ประสงค์ดี’
เฟอร์ลินกับซางเจี้ยนเย่ามองหน้ากันแล้วรีบส่ายหน้าสั่นศีรษะทันที
“ไม่ได้ ไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง!
“หลานสาวจะแต่งกับลุงได้ยังไง”
ซางเจี้ยนเย่าก็เห็นด้วยเช่นกัน
“เป็นพี่น้องกันแล้วจะให้ไปเป็นพ่อตาได้ยังไง”
ทั้งคู่หันหน้ามามองกันแล้วพยักหน้าผงกศีรษะพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามิตรภาพของคนทั้งสองได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มพลางกลอกตามองบนไปด้วย ยังคงแนะนำอย่างไม่ประสงค์ดีต่อไป
“ถ้างั้นมีภรรยาม่ายของพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วหรือเปล่า”
“จะไปมีได้ไงล่ะ อายุเพิ่งจะแค่นี้ ในสภาวะแวดล้อมแบบนี้ มีใครที่ไหนไม่อยากมีคู่เคียงกันบ้าง และนอกจากนี้คาราวานของพวกเราก็ต้องให้มีเด็กเกิดใหม่เพิ่มขึ้นด้วย เมื่อตอนต้นปี พวกเด็กเล็กเด็กน้อยตายกันง่ายมาก” เฟอร์ลินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แม่ฉันเป็นม่ายมาสองสามปีแล้วล่ะ แต่เทียบรุ่นแล้วก็ไม่ได้อยู่ดี”
เมื่อเห็นว่าหัวข้อสนทนาชักเริ่มจะพิลึกพิลั่นขึ้นเรื่อยๆ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงรีบมองไปรอบๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“หัวหน้าคาราวาน คุณมีเมนูอะไรให้กินบ้างล่ะ”
จากนั้นเธอเสริมต่ออีกว่า
“ขอแบบที่เป็นเมนูพิเศษนะ”
‘ทีมสำรวจเก่า’ ยังไม่ได้กินมื้อเย็นกันเลย
เฟอร์ลินดื่มเหล้าผลไม้ป่าในแก้วจนหมดแล้วหัวเราะเยาะตัวเอง
“คนที่ ‘ไม่มีราก’ อย่างพวกเราจะมีเมนูพิเศษอะไรให้กินกันล่ะ พวกเรารอนแรมขึ้นเหนือล่องใต้ ไปที่ไหนก็กินของที่นั่น
“เหอะ เหอะ คนในคาราวานที่มีฝีมือในการปรุงอาหาร ก็ทำอาหารได้สารพัดเมนูไม่ซ้ำอย่างเลยล่ะ”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็เปลี่ยนคำพูด
“แต่ว่านะ หลายปีมานี้น่ะ พวกเราก็มีเมนูที่เป็นสูตรเฉพาะตัวอยู่บ้างเหมือนกัน”
“เมนูอะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ารีบถามขึ้นก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะทันเอ่ยปาก สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เฟอร์ลินมองดูไฟที่เปลี่ยนสีไปมาด้านนอกรถอาร์วี
“เมื่อเทียบนิคมคนเร่ร่อนจำนวนมากแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีราก รอนแรมอยู่ตลอด ค่ำไหนนอนนั่น แต่การค้าของพวกเราก็ค่อนข้างไปได้ดี ดังนั้นอาหารของเราแทบจะไม่ขาดแคลน บางครั้งก็เรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์เลยทีเดียว
“แต่ละครั้งที่ขับรถผ่านแดนร้าง ผ่านป่าเขาพงไพร แล้วมีอาหารเหลืออย่างละนิดอย่างละหน่อย จะทิ้งก็ใช่ที่ เสียดายของเปล่าๆ แต่วัตถุดิบที่เหลือแค่นั้นจะเอาไปทำเป็นอาหารหลักก็ไม่ได้ มีแค่คำสองคำเอง
“ดังนั้นเพื่อจะแก้ปัญหานี้ รุ่นพ่อของฉันก็เลยจับเอาของเหลือทุกอย่างมารวมกันทำเป็นอาหาร รสชาติไม่ได้อร่อย แต่ก็ไม่แย่นัก
“หลังจากที่เดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ มากขึ้น ได้รู้ได้เห็นมากขึ้น วิธีการปรุงก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ พวกเราเรียกเมนูนี้ว่า ‘สตูว์’”
เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นชื่นชอบขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เธอจึงพูดออกมาด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
“งั้นเอามาเลยสี่ที่ ขอแบบใหญ่พิเศษเลยนะ!”
พูดจบเธอก็หันหน้าไปทางหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน
“เอาด้วยไหม”
“เอาสิ” หลงเยว่หงพยักหน้าอย่างแรง
สำหรับตัวเขาในตอนนี้ ขอเพียงแต่ไม่ต้องกินธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง หรืออาหารกระป๋องทหาร จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ชามใหญ่ฉันคงกินไม่หมดหรอก” หลังจากใคร่ครวญดูแล้วไป๋เฉินก็พูดออกมา
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันช่วยกินเอง แต่ถ้าไม่ไหวก็ยังมีซางเจี้ยนเย่าอยู่!” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดราวกับว่าเลี้ยงหมูเอาไว้ที่บ้าน กินไม่หมดก็เอาให้มันกินต่อ
แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะเธอรู้ว่าช่วงนี้ในตอนที่ซางเจี้ยนเย่าหลับอยู่ เขากำลังไปๆ มาๆ อยู่ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ เพื่อตามหาเกาะที่สอง ต้องเสียพลังไปมาก ดังนั้นจึงต้องกินมากกว่าปกติ
“สี่ชุดมีราคาเท่ากับอาหารสองกระป๋อง” เฟอร์ลินแจ้งราคา จากนั้นก็มองไปที่ซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดอย่างจริงใจ “ฉันลดให้แล้ว”
“ขอให้อร่อยก็ได้ทั้งนั้น” ซางเจี้ยนเย่าไม่สนใจเรื่องอื่น
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่ามันถูกปากพวกคุณหรือเปล่า” เฟอร์ลินเดินอ้อมเคาน์เตอร์สีขาวนวลไปยังห้องครัว จากนั้นก็เปิดหม้ออลูมิเนียมที่อยู่บนเตาแม่เหล็กไฟฟ้าแล้วตักของเหลวเหนียวข้นที่อยู่ข้างในออกมาสี่ชามใหญ่
จากนั้นก็ถือถาดพลาสติกสีส้มแล้วเสิร์ฟ ‘สตูว์’ ให้เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ
มันเป็นสีอำพันเข้ม ดูแล้วเป็นของเหลวที่ข้นหนืดเป็นอย่างมาก
เจี่ยงไป๋เหมียนคนด้วยช้อนแล้วพบว่ามีเนื้อที่หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ก้อนแป้ง เนื้อแฮมฝาน แครอทหั่นเป็นลูกเต๋า แล้วก็พืชหัวที่ไม่รู้ว่าเป็นชนิดใด รวมถึงส่วนผสมอีกสารพัดอย่าง
“รวมมิตรทุกสิ่ง ผสมทุกอย่าง” ขณะที่เฟอร์ลินเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์สีขาวนวลเขาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คุณลักษณะประการสำคัญของ ‘สตูว์’ ก็คือทุกครั้งที่ทำ ส่วนผสมของมันจะแตกต่างกันออกไปไม่มากก็น้อย แทบจะไม่มีครั้งไหนที่ซ้ำกันเลย”
“มันขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นมีอะไรเหลืออยู่อย่างนั้นใช่ไหม” ในขณะที่กำลังเอ่ยถามออกไปนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็สังเกตเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังก้มหน้าก้มตาจ้วงกินไม่หยุด เธอจึงไม่พูดอะไรต่อ ตักเอาซุปข้นสีอำพันขึ้นมาคำเล็กๆ เป่าสองสามครั้ง
จากนั้นก็ค่อยส่งเข้าปาก
ความรู้สึกแรกก็คือความหอมอบอวล ตามด้วยรสเปรี้ยวจางๆ และความเค็มที่กำลังได้ที่
ประสบการณ์ทั้งสามอย่างนี้ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน ข่มเอารสชาติอันหลากหลายของวัตถุดิบสารพันลงไปทำให้มันอ่อนลง
ครั้นพอเริ่มเคี้ยว รสชาติต่างๆ ก็ระเบิดออกชนิดแล้วชนิดเล่าตามที่ฟันได้ ‘กระทบ’ ลงไป
“ใช้ได้ อร่อยมาก” เป็นซางเจี้ยนเย่าที่เอ่ยชมเชยขึ้นมาอย่างอู้อี้เพราะอาหารเต็มปาก
นี่ถ้าหากว่ามือของเขาไม่วุ่นอยู่กับการใช้ช้อน ก็อาจจะตบมือให้ไปแล้ว
“ใช่ ใช่” หลงเยว่หงตอบด้วยความประทับใจ
หลังจากการเดินทางอันแสนทรหดมาอย่างยาวนาน อาหารเช่นนี้แหละที่สามารถปลอบประโลมจิตใจให้เขาได้
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วหันไปมองไป๋เฉินข้างกาย
เมื่อเห็นว่าสมาชิกทีมผู้ที่พันผ้าพันคอสีเทากำลังก้มหน้ากินอาหารด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะอยู่ในใจ
‘ดูท่าว่าคงไม่ต้องช่วยกินแล้วสินะ…’
คำชมเชยจากสมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทำให้เฟอร์ลินค่อนข้างมีความสุข รู้สึกได้ว่าทั้งหมดเป็นสหายกันอย่างแท้จริง
หลังจากรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองรอบๆ แล้วเห็นว่าไม่มีใครคนอื่นอยู่ในรถอาร์วีอีก เธอจึงถามขึ้น
“หัวหน้าคาราวาน ในช่วงไม่นานมานี้มีใครมาขอให้คุณช่วยจับตาดูใครบางคนที่มาจากสถานที่บางแห่งบ้างไหม”
เฟอร์ลินซึ่งกำลังล้างจานอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวเราะเบาๆ
“อย่างเช่นคนอย่างพวกคุณใช่ไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกอึดอัดที่ถูกเปิดโปงแต่อย่างใด เธอตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้ม
“ใช่แล้ว
“คนอย่างเราที่เชื่อว่าเพื่อนจะไม่ทรยศเพื่อน”
“เพื่อนอาจจะไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะจ่ายให้เท่าไหร่” เฟอร์ลินพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “แต่พี่น้องกันจะไม่ทรยศกันเด็ดขาด”
ขณะที่พูดเขาก็ยกมือขวาขึ้นมา
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รังเกียจที่มือของเขาเปียกน้ำอยู่ นำมือของตนเองเข้าไปตบมือด้วย
หลังจากเสร็จสิ้น ‘พิธีกรรม’ แล้ว เฟอร์ลินก็พูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“ในตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรแบบนั้น หาคนน่ะมีอยู่ แต่ลักษณะไม่สอดคล้องกับพวกคุณแม้แต่นิดเดียว
“พวกคุณควรต้องรู้ว่า ‘คนที่ไม่มีราก’ อย่างพวกเรานั้นเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้กันตลอดเวลา สมาชิกของค่ายก็เป็นพวกนักล่าพาร์ทไทม์กันหลายคน ถ้าหากว่าต้องหาใครล่ะก็ พวกเขาจะระดมคนทั้งคาราวานออกไปช่วยอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่ฉันจะไม่รู้เรื่อง”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
จากนั้นเธอก็ถามต่อ
“แล้วช่วงนี้มีพวกนิกายแปลกๆ มาบ้างไหม”
เฟอร์ลินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะพยักหน้า
“มี”
เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินต่างก็มองหน้ากันแล้วถามออกมา
“นิกายไหนเหรอ”
“นิกายที่ชื่อว่า ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งศรัทธาในองค์ ‘ทวิตะวัน’ แห่งผู้ครองกาล ผู้ปกครองเดือนเจ็ด” เฟอร์ลินไม่ได้ปิดบังอำพราง “พวกเขายังเผยแพร่คำสอนอยู่ในค่ายด้วย”
ผู้ครองกาลแห่งเดือนเจ็ด… ทวิตะวัน… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกงุนงงเล็กน้อยจึงถามขึ้นมา
“หัวหน้าคาราวาน คุณอนุญาตให้เขาเผยแพร่คำสอนโดยไม่ได้ทำอะไรงั้นเหรอ”
เฟอร์ลินพูดอย่างจริงจัง
“ฉันจะปล่อยให้เขาเผยแพร่โดยไม่ทำอะไรได้ยังไง
“นี่ฉันช่วยรวบรวมคนให้ ช่วยจัดเตรียมสถานที่ให้ แล้วก็ยังช่วยตระเตรียมอาหารให้อีกด้วย…”
เมื่อเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ยิ่งสับสนงุนงงมากขึ้นทุกขณะ หัวหน้าคาราวานก็หัวเราะลั่น
“ก็เพราะว่าฉันเป็นหัวหน้านักบวชของนิกายไงล่ะ!
“เป็นคนในคาราวานที่ใกล้ชิดกับผู้ครองกาลมากที่สุดแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนที่อึ้งไปในตอนแรกก็พลันหัวเราะออกมา
“ตอนแรกฉันคิดว่าคุณทำการค้าเรื่องนี้ด้วยน่ะ”
“ใช่ ใช่แล้ว ใช่เลย” ซางเจี้ยนเย่าก็แสดงออกว่าเขาเองก็คิดแบบนี้เช่นกัน
ไป๋เฉินถามด้วยความสงสัย
“ฉันเคยได้ยินมาว่าพวกคุณไม่เชื่อเรื่องผู้ครองกาลไม่ใช่เหรอ”
“จะเป็นไปได้ยังไง” เฟอร์ลินปฏิเสธ “พวกเราต่างก็ศรัทธาในพระองค์ทั้งนั้น!”
เขายิ้มแล้วพูดเสริมขึ้นอีก
“ในฐานะขบวนคาราวานการค้า พวกเราต้องเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ต้องรับมือกับกองกำลังเล็กใหญ่สารพัดแบบ ไปถึงขุนเขาลูกไหนก็ต้องร้องเพลงของขุนเขาลูกนั้น จึงไม่สามารถดื้อรั้นสุดโต่งได้ ไม่งั้นคงไม่อาจคบหาสหาย ดังนั้นเมื่อมีคนเผยแพร่ศาสนา จะมากจะน้อยเราก็ต้องศรัทธาไว้บ้างแหละ
“นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่า ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ ไม่ยอมให้ฉันทำงานเป็นนักบวชแบบพาร์ทไทม์ล่ะก็ ฉันก็อาจจะมีชื่ออยู่ในนิกายมากกว่าหนึ่งโหลไปแล้ว อย่างเช่น ‘ผู้พิทักษ์ฝัน’ ของ ‘ประกายพรึกแห่งอรุณรุ่ง’ หรือ ‘มุขนายก’ ของ ‘คันชั่งเกียรติยศ’ หรือ ‘ผู้กระจ่างหก’ ของ ‘นิกายจิตกระจ่าง’ หากว่าหุ้นส่วนการค้าของฉันเป็นสาวกผู้ศรัทธาล่ะก็ ฉันก็เป็นพี่น้องร่วมนิกายกับเขาได้ทั้งนั้นแหละ”
หลงเยว่หงประหลาดใจจนพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย
นี่มันจะมั่วเกินไปหน่อยไหมเนี่ย
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมาด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงความปรารถนา
“นิกายไหนที่ศีลมหาสนิทอร่อยที่สุดเหรอ”
“ฉันว่าน่าจะเป็น ‘คันชั่งเกียรติยศ’ นะ ปีกไก่ทอดของพวกเขานี่เข้าขั้นสุดยอดเลยล่ะ แต่ว่านะ… นี่มันก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวด้วย” จากนั้นเฟอร์ลินผู้มีเคราสีดอกเลารอบปากและซางเจี้ยนเย่าก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กัน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เชื่อมั่นอยู่ลึกๆ ว่าต่อให้ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ใช้พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ ก็สามารถกลายเป็นเพื่อนสนิทกับเฟอร์ลินได้เช่นกัน
หลังจากคุยกันเรื่องศีลไปสองสามประโยค เฟอร์ลินก็หันมาพูด
“ในบรรดานิกายต่างๆ นั้น คำสอนของ ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ เหมาะสมกับพวกเราที่สุดและเข้ากับฉันได้ดีที่สุด ดังนั้นฉันก็เลยเข้าร่วมกับเขาเสียเลย เฮ้อ… ตั้งแต่นั้นมาก็เลยถูกผูกมัด ไม่อิสระเหมือนเดิม”
เขาร้อง “อ้อ” ออกมาหนึ่งคำ
“พรุ่งนี้พวกเราจะมีพิธีมิสซากันในตอนเที่ยง ถ้าพวกคุณสนใจ ก็มาเข้าร่วมด้วยนะ เราจัดกันที่นี่แหละ”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่านั้นสนใจอย่างออกนอกหน้า เจี่ยงไป๋เหมียนจึงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง เฟอร์ลินจึงพูดอย่างยิ้มแย้ม
“เราไม่มีการบังคับให้เข้าร่วมนิกายหรอก อยู่ที่ความสมัครใจของเจ้าตัว คนในค่ายเราสองในสามก็ไม่ได้ศรัทธาในองค์ทวิตะวันเหมือนกัน
“แน่นอน ถึงพวกคุณจะแกล้งทำเป็นศรัทธา ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก”
“ได้ค่ะ” ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นด้วย
หลังจากที่พูดคุยกันได้สักพัก พวกเขาก็กล่าวอำลาและเตรียมจะกลับไปยังรถจี๊ป
เมื่อเดินมาถึงประตูรถอาร์วี เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันหมุนตัวกลับมาแล้วถามด้วยความสงสัย
“หัวหน้าคาราวาน ฉันยังไม่ได้ถามเลยว่ากลุ่มคาราวานการค้าของคุณมีชื่อว่าอะไร”
ในขณะที่หลอดไฟกะพริบสลับสีวูบวาบอยู่ด้านนอก เฟอร์ลินเงียบไปชั่วขณะก่อนจะตอบออกมา
“ถิ่นกำเนิด[1]”
* * * * *
[1] ถิ่นกำเนิด (桑梓) ภาษาจีนแปลว่า ต้นหม่อนและต้นคาทาวปา (คาตาปา) ประเทศจีนในสมัยโบราณมักปลูกไม้ยืนต้นทั้งสองชนิดนี้ไว้ข้างบ้าน ในภายหลังใช้อุปมาถึงบ้านเกิดเมืองนอน