รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 126 ประวัติศาสตร์
ราวกับเฟอร์ลินไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลงเยว่หงนิ่งเงียบไป เขายังคงเอ่ยปากแนะนำต่อ
“เมืองหญ้าไพรนั้นไม่ได้ใหญ่มากนัก ผังเมืองก็ค่อนข้างเรียบง่าย ถูกแบ่งด้วยถนนออกเป็นฝั่งเหนือใต้ออกตก มีตรอกซอยอยู่ระหว่างถนนบ้าง แต่ก็ไม่กว้างเท่าไหร่ รถเข้าออกได้แค่ทีละคันเท่านั้น
“ถนนฝั่งทิศใต้ส่วนใหญ่จะเป็นตลาด ถ้าไปหาถูกคน อยากจะซื้ออะไรก็มีขายทั้งนั้น รวมทั้งกัญชาที่ผลิตจากเกาะสุขาวดีด้วย…”
เฟอร์ลินไม่ได้พูดจนจบ เขาข้ามเนื้อหาส่วนที่เหลือไป
“ถนนฝั่งทิศตะวันออก หลักหลักก็จะเป็นโรงแรม ร้านเหล้า โกดัง แล้วก็ที่จอดรถ ถนนฝั่งทิศตะวันตกมีสมาคมนักล่า บาร์ โรงน้ำชา โรงอาบน้ำสาธารณะ และไนต์คลับ สถานที่พวกนี้มีทั้งปลามังกรคละรวมกัน[1]
“จะไปทางถนนฝั่งทิศเหนือ เราต้องผ่านจัตุรัสกลางและอาคารเทศบาลไป จากนั้นก็ข้ามสะพานที่ไม่ใหญ่นัก บนสะพานจะมียามรักษาการณ์ติดอาวุธสิบยี่สิบคนคอยเฝ้าอยู่
“ถนนทิศเหนือนั้นจะเป็นย่านที่อยู่อาศัยของพวกขุนนาง เจ้าของที่ดินรายใหญ่ พ่อค้าวาณิช คฤหาสน์ของเจ้าเมืองก็อยู่ที่นั่นด้วย”
เรื่องที่เฟอร์ลินบอกกล่าวออกมานั้น ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ ต่างรู้กันดีอยู่แล้ว เพราะพวกเขามีผู้นำทางชั้นยอดอย่างไป๋เฉินอยู่ด้วย ทว่าพวกเขาก็ยังคงฟังกันอย่างตั้งใจราวกับไม่อยากให้พลาดรายละเอียดปลีกย่อยอะไรไปแม้แต่เรื่องเดียว
ขณะที่ขบวนรถเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เฟอร์ลินก็ละสายตากลับมา ครุ่นคิดแล้วถามขึ้น
“พวกคุณมีป้ายตรานักล่ากันแล้วหรือยัง”
“ยังไม่มี” ซางเจี้ยนเย่าตอบเสียงเรียบ
“ยังไม่มี” เจี่ยงไป๋เหมียนกับหลงเยว่หงส่ายหน้า แต่ไป๋เฉินไม่ได้ตอบคำ
เฟอร์ลินพูดต่อด้วยรอยยิ้ม
“ถ้ามีโอกาส ไปลงทะเบียนเป็นนักล่าไว้ก็ดีนะ
“ถ้าเป็นที่อื่นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าในเมืองหญ้าไพร ถ้าไม่มีตรานักล่าก็อาจจะไม่สะดวกนัก”
“ที่นี่ถูกปกครองโดยสมาคมนักล่างั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างรู้สถานการณ์
เธอนั้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองหญ้าไพรพอสมควร ไป๋เฉินเองก็คุ้นเคยกับที่นี่มากด้วยเช่นกัน
เฟอร์ลินขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ถ้าจากบางมุมมอง จะว่าอย่างนั้นก็ได้แหละ”
จากนั้นเขาก็อธิบายต่ออย่างยิ้มแย้ม
“พวกคุณรู้ไหมว่าในตอนที่ก่อตั้งเมืองหญ้าไพรขึ้นมา สถานภาพของสมาคมเป็นแบบไหน”
“ไม่รู้” ไป๋เฉินซึ่งขับรถอยู่เป็นคนตอบ
ในอดีตเธอนั้นเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างที่ต้องระหกระเหินรอนแรมเพื่อเอาชีวิตรอด ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเมืองหญ้าไพรนั้นก็มีเฉพาะในแง่มุมของความรู้ที่จะยกมาใช้เอาตัวรอดได้ทันที ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองมากนัก
เมื่อเห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามามองเขา เฟอร์ลินลูบเคราสีดอกเลารอบปากตนเองก่อนจะเล่าออกมา
“ในตอนนั้น พวกบรรดาคนที่รอดชีวิตมาได้ต่างก็พากันจับกลุ่มรวมตัวกันตามสัญชาตญาณ กลายเป็นกลุ่มติดอาวุธหลายสิบกลุ่ม
“หลังจากที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างรุนแรงจนในที่สุดก็เหลือรอดอยู่เพียงแค่เจ็ดกลุ่มเท่านั้น ต่างก็ไม่สามารถพิชิตกลุ่มอื่นลงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“รวมกับการต้องเผชิญกับสัตว์ป่า สัตว์ประหลาด และ ‘คนไร้ใจ’ พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าถ้าขืนยังต่อสู้กันต่อไป สุดท้ายก็จะต้องตายกันหมดอย่างแน่นอน
“ดังนั้นพวกเขาจึงจับมือประนีประนอมกันแล้วจัดตั้งสภาขึ้นมา กลุ่มติดอาวุธแต่ละกลุ่มจะมีหนึ่งเสียงเพื่อโหวตเลือกเจ้าเมือง ร่วมใจกันต่อสู้ศัตรูภายนอก
หลังจากได้ฟังเรื่องราว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ผงกศีรษะเบาๆ พูดขึ้น
“เป็นประชาธิปไตยอำนาจทหารแบบดั้งเดิมสินะ”
จากนั้นก็ถอนหายใจ
“นี่เป็นวัฏจักรของอารยธรรมมนุษยชาติ…”
ประชาธิปไตยอำนาจทหารแบบดั้งเดิม… หลงเยว่หงทวนคำในใจ พบว่าตัวเองนั้นเข้าใจทุกคำ ทว่าเมื่อนำทุกคำมารวมกันกลับไม่เข้าใจอะไรเลย
ทุกคนต่างก็เป็นพนักงานบริษัทของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ และได้รับการศึกษามาเหมือนๆ กัน แต่ทำไมหัวหน้าทีมถึงได้มีความรู้พิเศษได้มากมายขนาดนี้กันนะ
หรือว่าเป็นเพราะเธอได้อ่านหนังสือนอกหลักสูตรมาเยอะ…
เฟอร์ลินก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำศัพท์ทางวิชาการเช่นนี้
แน่นอนว่าด้วยความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองที่ตนเองมีอยู่ เขาจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าคำนี้หมายถึงอะไร
“มันจะดั้งเดิมหรือเปล่าก็ไม่สำคัญหรอก ขอเพียงว่าใช้ได้ก็พอ” เฟอร์ลินแสดงความคิดเห็นของตนเอง แล้วพูดต่อ “นี่จึงทำให้เมืองหญ้าไพรรอดพ้นจากช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดมาได้ และอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าความขัดแย้งยังไม่ได้ถูกกำจัดจนหมดไปอย่างสิ้นเชิง การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในแต่ละครั้งล้วนแต่ต้องเสียเลือดไม่มากก็น้อย แต่อย่างน้อยมันก็ยังควบคุมไว้ได้ในระดับหนึ่งล่ะ”
เขามองออกไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง
“ภายหลังต่อมาเมืองหญ้าไพรก็กลายเป็นเมืองบริวารของ ‘ปฐมนคร’ ผู้นำของกลุ่มติดอาวุธทั้งเจ็ดก็ค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็นขุนนางผู้ทรงอำนาจของพื้นที่แห่งนี้
“พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีขุนนางรับใช้อยู่ในมือ ซึ่งคอยรับผิดชอบเรื่องราวใหญ่น้อยรอบเมืองหญ้าไพร
“เหอะ เหอะ สภาเองก็ได้เติมคำอีกคำเข้าไปในชื่อ ตอนนี้กลายเป็น ‘สภาขุนนาง’ ไปแล้ว
“ต่อมามีลูกนอกสมรสของตระกูลหนึ่ง ได้อาศัยความพยายามของตนเองและทรัพยากรของตระกูล ไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งประธานของสมาคมนักล่าท้องถิ่น
“ที่จริงตอนแรกนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่เพราะเกิดรัฐประหารขึ้น ทำให้เสาหลักของตระกูลนั้นเสียชีวิตไป และเพื่อป้องกันไม่ให้การสืบสายของตระกูลขาดช่วง จึงจำต้องยอมรับลูกนอกสมรสคนนี้ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล และก็ได้กลายมาเป็นขุนนาง
“เขาอาศัยสถานภาพในสมาคมนักล่าและทรัพย์สินทรัพยากรของตระกูล ค่อยๆ สร้างสายสัมพันธ์กับกลุ่มนักล่าซากอารยะที่แข็งแกร่งโดยไม่ทำให้คนอื่นรู้ระแคะระคาย อืม… ถ้าเป็นสถานที่อื่นก็คงจะเรียกว่าเป็นกลุ่มทหารรับจ้างนั่นแหละ แล้วก็นะ ฉันคิดว่าน่าจะมีผู้ตื่นรู้อยู่ในนั้นด้วย
“สรุปก็คือหลังจากการแก่งแย่งอำนาจภายในไม่กี่ครั้ง ลูกนอกสมรสคนนั้นก็ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าเมือง และนับจากนั้นเป็นต้นมา อำนาจของสภาขุนนางก็เหลือแต่ชื่อ ระบบการเลือกตั้งก็เป็นเพียงแค่หน้าฉากของการสืบทอดมรดกตระกูลเท่านั้น”
“รู้สึกเหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเลยแฮะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจนจบก็หัวเราะออกมา “นี่คือเหตุผลที่สมาคมนักล่าในเมืองนี้ค่อนข้างมีอิทธิพลสินะ”
เฟอร์ลินพยักหน้า
“ถูกต้อง เจ้าเมืองทุกคนจะทำหน้าที่ประธานสมาคมนักล่าประจำเมืองด้วย”
“ดูท่าแล้ว สมาคมนักล่าแต่ละแห่งก็มีจุดที่แตกต่างกันไปสินะ ก่อนหน้านี้ความรู้ของฉันก็แค่หางอึ่งเท่านั้นเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้เรื่องนี้
ไป๋เฉินพลันถามขึ้นมา
“ลูกนอกสมรสที่ว่านั่น ก็คือรูปปั้นหินที่ตั้งอยู่หน้าอาคารเทศบาลใช่ไหม”
“ใช่แล้ว” เฟอร์ลินหัวเราะ “สวี่ เอิร์ด เป็นที่รู้จักกันในฐานะเจ้าเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองหญ้าไพร เมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ยกเลิกข้อห้ามไปมากมาย ทำให้เมืองหญ้าไพรเจริญขึ้นอย่างก้าวกระโดด เกิดการพัฒนามากที่สุด มีชีวิตชีวามากที่สุด มีการเกษตรกรรมที่ดีที่สุดในแดนกันดารหลวงจีน ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ จากสภาพอากาศในปีนี้ เมืองหญ้าไพรก็คงไม่อาจรอดวิกฤตการณ์อาหารขาดแคลนไปได้หรอก
“อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้รับเลือกให้เป็นเจ้าเมือง ก็ยังปูทางไว้ให้คนรุ่นหลังอีกด้วย เพื่อที่จะได้รับการสนับสนุนจาก ‘ปฐมนคร’ ต่อไป เขาจึงต้องยกเลิกอุตสาหกรรมที่สำคัญของเมืองหญ้าไพรไปหลายอย่างและใช้การนำเข้าแทน ด้วยเหตุนี้เมืองหญ้าไพรจึงได้กลายเป็นเมืองบริวารของ ‘ปฐมนคร’ โดยสมบูรณ์
“แต่นี่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา ทุกๆ ปีเราต้องขนส่งระหว่างเมืองหญ้าไพรกับ ‘ปฐมนคร’ หลายรอบเลยเชียวล่ะ”
ในฐานะหัวหน้าคาราวานการค้าที่ต้องขึ้นเหนือล่องใต้ เขาจึงรู้ความลับพวกนี้กระจ่างราวกับนิ้วมือตนเอง
ระหว่างที่พูดคุยกัน ขบวนรถก็เคลื่อนมาถึงถนนตะวันออก ขับมาถึงด้านหน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง
ร้านเหล้านี้มีชื่อว่า ‘ร้านสุราเมอรี่’ เป็นร้านกว้างสามห้องติดกัน มีสามชั้น สี่ชั้น และห้าชั้น
ข้างร้านเหล้าเป็นตรอก ภายในตรอกนั้นมีประตูเหล็กที่เปิดไปสู่ลานโล่งที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารต่างๆ
ที่นี่คือลานจอดรถของร้านเหล้า
ขบวนคาราวานการค้า ‘ถิ่นกำเนิด’ ขับรถมาที่นี่ด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
ชายวัยกลางคนสวมหมวกผิวแตง[2] เสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีเขียวขี้ม้าลุกออกมาจากป้อมยาม เขาเปิดประตูเหล็กแล้วยิ้มให้
“พวกคุณมากันอีกแล้ว”
เขาถูมือซึ่งสั่นเล็กน้อยเนื่องจากลมหนาวที่พัดโชย
“ก็ผมอยากเจอลูกสาวลุงนี่นา” คนขับรถคันหน้าของขบวนรถ ‘คนไร้ราก’ พูดล้อเล่นทักทาย จากนั้นก็ขับรถเข้าไปจอดข้างใน
พอเห็นว่าไป๋เฉินเริ่มเหยียบเบรคหยุดรถจี๊ป เฟอร์ลินก็พูดด้วยความเศร้า
“พวกคุณตั้งใจจะหาที่พักกันเองเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ พวกเราไม่อยากรบกวนคุณอีก แล้วก็ไม่อยากดึงให้พวกคุณเข้ามาพัวพันปัญหาด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดออกมาตามตรง
“จะต้องไปกลัวอะไร ฉันกับเสี่ยวซางเป็นพี่น้องกัน!” เฟอร์ลินยกมือขึ้นมาตบบ่าซางเจี้ยนเย่า
“ก็เพราะว่าเป็นพี่น้องกัน ถึงไม่อยากสร้างปัญหาให้” ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับด้วยท่าทีจริงจัง
เขามองตอบเฟอร์ลิน ไม่มีใครยอมใคร
ในที่สุดเฟอร์ลินก็ถอดใจ
“งั้นพวกคุณก็ระวังตัวให้มาก หากเจอปัญหาอะไรก็มาหาฉันได้ พวกเราจะพักอยู่ที่นี่สองสามวัน เฮ้อ ตอนนี้สถานการณ์ค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นทุกที พวกขุนนางกับเจ้าของที่ดินน่าจะมองออกแล้วว่าต่อไปการซื้อหาอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย”
หลังจากแนะนำเสร็จ เขาก็ลงจากรถ จับมือซางเจี้ยนเย่าไว้แน่นพลางพูดอย่างไม่เต็มใจนัก
“หวังว่าจะได้พบกันอีก!’
“ต้องได้พบกันแน่นอน!” ซางเจี้ยนเย่าเขย่ามือที่จับกันอย่างแน่นหนา
เมื่อบอกลาเฟอร์ลินกับคนของเขาแล้ว ไป๋เฉินก็ขับรถจี๊ปตรงต่อไป
“แล้วเราจะไปไหนกันต่อ” ในที่สุดหลงเยว่หงมีโอกาสถามออกมาเสียที หลังจากอัดอั้นเอาไว้นานแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้คางบุ้ยไปทางไป๋เฉิน
“ให้เสี่ยวไป๋เลือกเลย อยากไปไหนก็ไป”
“…” ไป๋เฉินขมวดคิ้ว “หัวหน้า ทำไมต้องตั้งชื่อเล่นให้ฉันด้วยล่ะ”
“ก็ถ้ายังเรียกชื่อกันอยู่ มันก็เหมือนกับว่าเรายังไม่สนิทกันเท่าไหร่นะสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะร่า “เธอจะเรียกฉันว่าเจ๊เจี่ยง พี่เหมียน หรือต้าไป๋ก็ได้[3]”
“ทำเป็นเด็กไปได้” ซางเจี้ยนเย่าพูดลอยๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือซ้ายขึ้นมาทันที
มีสายประกายไฟฟ้าเส้นเล็กสว่างวาบปรากฏขึ้นในมือซ้าย
ไป๋เฉินไม่พูดจา รีบขับรถต่อไปจนสุดถนนตะวันออกแล้วเลาะริมกำแพงเมืองเพื่ออ้อมกลับไปยังถนนใต้
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าหุบปากลง เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“หลังจากได้ที่พักกันแล้วค่อยไปกินมื้อเที่ยงกัน จากนั้นก็ค่อยติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของบริษัทตามวิธีที่ตกลงกันไว้ แล้วค่อยนัดแนะวันเวลาสถานที่เพื่อนัดเจอกันอีกที
“แล้วหลังจากลอบตรวจสอบจนมั่นใจได้ว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองคนนี้ไม่มีปัญหาอะไร และแน่ใจว่าไม่มีใครแอบตามเขามาก็ค่อยให้ซางเจี้ยนเย่า ‘ผูกมิตรสร้างเพื่อน’ กับเขา…”
ในตอนนี้รถจี๊ปก็เลี้ยวเข้าตรอกหนึ่งของถนนใต้ แล้วจอดที่ด้านหน้าของร้านค้าแถวหนึ่ง
หลงเยว่หงเห็นป้ายชื่อร้านเขียนแขวนไว้
‘ร้านปืนอาฝู’
ด้านล่างของป้ายที่แขวนไว้บนผนังที่ปูด้วยกระเบื้องสีขาวซึ่งแตกหักเสียหายขนาดหนัก มีคนใช้ปากกาสีดำเขียนข้อความเอาไว้แถวหนึ่ง
‘รับซื้อปืนพก ปืนไรเฟิล ปืนกลมือ ที่ชำรุด’
* * * * *
[1] ปลามังกรคละรวมกัน (鱼龙混杂) สุภาษิตจีน หมายถึง มีทั้งคนดีและคนเลวอยู่ปะปนกันจนยากจะแยกแยะ
[2] หมวกผิวแตง (瓜皮帽) เป็นหมวกที่มีรูปร่างคล้ายแตงโมหั่นครึ่ง มักทำจากผ้าซาตินสีดำหรือไม่ก็ผ้าสักหลาดหกชิ้น
[3] เสี่ยวไป๋ ต้าไป๋ (小白,大白) ‘เสี่ยว’ แปลว่า เล็ก ‘ต้า’ แปลว่า ใหญ่ ชื่อของเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉิน ต่างก็มีคำว่า ‘ไป๋’ ที่แปลว่า ‘ขาว’ จึงเรียกชื่อเล่นกันว่า ขาวน้อย ขาวใหญ่