รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 128 ห้องสมุด
หลังจากใส่อาหารกระป๋อง ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง ที่จะใช้แลกเงินลงไปในลังกระดาษแข็งที่ไม่มีเครื่องหมายและยื่นให้ซางเจี้ยนเย่าแล้ว ไป๋เฉินก็สะบัดผ้าเต็นท์คลี่ออกเพื่อคลุมปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ ปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ปืนยิงระเบิด ‘ทรราช’ และ บาซูก้า ‘มัจจุราช’ รวมทั้งเครื่องกระสุน ชุดปฐมพยาบาล และอาหารส่วนที่เหลือ
เมื่อคลุมไว้แบบนี้ เวลาที่มองผ่านหน้าต่างรถเข้ามาก็จะไม่เห็นข้าวของมีค่าด้านใน
ครั้นพอเห็นสิ่งที่ไป๋เฉินทำ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น มีความชื่นชมอยู่ในสายตา
หลังจากที่ปิดประโปรงหลังเสร็จ ไป๋เฉินก็หันกลับมา แล้วก็พลันเห็นสายตางุนงงของหลงเยว่หง เธอจึงอธิบายสั้นๆ ว่า
“หลีกเลี่ยงโจรนั้นง่าย แต่ป้องกันขโมยนั้นยาก
“ร้านของน้าหนานไม่ค่อยมีกฎระเบียบมากนัก”
เมื่ออยู่ในสถานที่ซึ่งไม่ค่อยมีกฎระเบียบ คนจากภายนอกนั้นค่อนข้างดึงดูดความสนใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนเสริมขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อเรากลับมาแล้วต้องย้ายข้าวของบางอย่างไปไว้ชั้นบน ต้องเก็บไว้ใกล้ตัวเพื่อความปลอดภัย”
เธอไม่ได้บอกให้เฝ้ายามตอนกลางคืนและคอยเฝ้าดูรถจี๊ปจากบนห้องพักชั้นสอง เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง ดังนั้นการถนอมพลังงานตนเองเอาไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ถึงแม้ว่าในบางสถานการณ์จะสามารถอดนอนได้สักสองสามวันแล้วยังสดชื่นแจ่มใสอยู่ก็ตาม ทว่าหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้นมาก็อาจทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองล่าช้าไปครึ่งจังหวะ หรืออาจถึงหนึ่งจังหวะ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงความเป็นความตาย
ประสาทสัมผัสของมนุษย์นั้นอาจจะผิดพลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการคงสติรู้ตัว
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจทุกเรื่องอย่างทะลุปรุโปร่งนัก แต่หลงเยว่หงยังคงพยักหน้ารับคำ แล้วก็เห็นซางเจี้ยนเย่ายกลังกระดาษเดินไปที่ทางออกของลานจอดรถของ ‘ร้านปืนอาฝู’
ตรอกซอกซอยในเมืองหญ้าไพรนั้นค่อนข้างแคบ รถสามารถผ่านได้ทีละคันเท่านั้น ไม่อาจแล่นสวนกันได้ และอาคารโดยรอบก็ล้วนสูงกว่า 10 เมตร นี่จึงทำให้มีเพียงแค่ตอนเที่ยงวันเท่านั้นที่แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวสามารถขจัดปัดเป่าขับไล่ความหนาวเหน็บไปได้
แต่เมื่อพวกเขาออกจากตรอกมาถึงถนนใหญ่ แสงอาทิตย์ก็กลายเป็นร้อนขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น ลมไม่ได้เย็นเยียบจนกัดผิวกายอีก
“พวกเราแบ่งเป็นกลุ่มละสองคน เดินให้ห่างกันหน่อย ไปไหนมาไหนสี่คนมันสะดุดตาเกินไป” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วพูดกับหลงเยว่หงกับไป๋เฉิน
ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ ไป๋เฉินเข้าใจความหมายของหัวหน้าทีมทันที เร่งฝีเท้าฉีกตัวออกไปพร้อมกับหลงเยว่หง
เพียงอึดใจเดียว คนทั้งสองกลุ่มก็มีระยะห่างกันห้าหกเมตร
หลงเยว่หงเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“ที่นี่ไม่มีโรงอาหารสาธารณะหรอกเหรอ
“ทำไมคนถึงมากินที่ร้านอาหารกันเต็มไปหมดเลยล่ะ…”
นี่ช่างแตกต่างไปจากนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างที่เขาจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง
ต้องเป็นอย่างเมืองน้ำล้อมกับเมืองฉีเฟิงสิ ถึงค่อยใกล้เคียงหน่อย
“มีพวกนักล่ามาจากข้างนอกกันเยอะน่ะ” ไป๋เฉินใช้คำอธิบายที่เรียบง่ายที่สุด
เรื่องนี้หลงเยว่หงรู้ดีอยู่แล้ว และรู้ด้วยว่าเมืองหญ้าไพรนั้นเป็นสามเหลี่ยมทองคำ เป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัยจากสามกองกำลังใหญ่ มีผู้คนมากมายเดินทางไปๆ มาๆ ทุกวัน จะค่อนข้างเงียบเหงาสักหน่อยก็แค่ในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น
ทว่าเขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่านี่มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เขาถามไป
ไป๋เฉินเหลือบมองเขาแล้วพูดต่อ
“พวกคนนอกส่วนมากนั้นจะไม่พักอยู่ในเมืองหญ้าไพรนานนัก อย่างมากสุดก็แค่สองสัปดาห์เท่านั้น แต่ละครั้งที่มา ถ้าไม่พักที่โรงแรมขนาดเล็กก็เป็นบ้านเช่าแบบชั่วคราว ซึ่งไม่มีพื้นที่ทำอาหาร
“อย่างนี้นี่เอง…” ในที่สุดหลงเยว่หงก็เข้าใจกระจ่าง
นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เด็ดขาด
หากว่าไปเยี่ยมญาติๆ หรือเพื่อนสนิทมิตรสหายที่ชั้นอื่น ก็สามารถเดินทางกลับบ้านตัวเองได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นานนัก หรือบางครั้งก็อาจถูกชวนให้พักค้างคืนด้วย ดังนั้นจึงไม่มีโรงแรมหรือห้องเช่ารายวัน
ระหว่างที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้น จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันเร่งฝีเท้าขึ้นมาจนตามทัน
แล้วเธอก็พูดขึ้นเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาถามทาง
“ตอนกลางคืนในตรอกนี้จะมีคนมากกว่านี้อีกหรือเปล่า”
เธอพูดถึงตรอกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ ‘ตลาดทาสถนนใต้’
ไป๋เฉินนึกทบทวนก่อนตอบออกมา
“ฤดูหนาวตอนกลางคืน นอกจากเขตถนนตะวันตกแล้วก็ไม่มีใครออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกหรอก
“ขอบคุณ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มสดใส จากนั้นก็กลับไปเดินคู่กับซางเจี้ยนเย่า
“หัวหน้าแสดงได้สมบทบาทมาก…” หลงเยว่หงชมออกมาจากใจ
ไป๋เฉินไม่ได้พูดอะไร ยังคงเดินต่อไปยังจัตุรัสกลาง
เมื่อเทียบกับสถานที่อื่นๆ ในเมืองหญ้าไพรแล้ว ที่นี่ค่อนข้างกว้างขวางใหญ่โตมาก พื้นดินก็ราวกับถูกซ่อมแซมและปรับระดับจนเรียบ
กลางจัตุรัสมีรูปปั้นหินของมนุษย์อยู่ เป็นชายชราที่มือข้างหนึ่งถือปืนส่วนอีกข้างหนึ่งถือหนังสือ
เขามีใบหน้าผอม สวมเสื้อคลุมมีฮู้ดซึ่งไม่น่าจะเคลื่อนไหวได้สะดวกนัก เบ้าตาลึกเล็กน้อยนั้นกำลังเฝ้ามองผู้คนที่เดินไปเดินมาเบื้องหน้า
“นี่คือลูกนอกสมรสสวี่เอิร์ดงั้นเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความอยากรู้
“อืม” ไป๋เฉินเดินอ้อมรูปปั้นหินไปยังอาคารเทศบาลที่อยู่ด้านเหนือ “ที่จริงแล้วถ้าจะเรียกสถานะที่ถูกต้องที่สุดสำหรับเขาควรจะเรียกว่าผู้ว่าราชการเมืองหญ้าไพรมากกว่า แต่ทุกคนเคยชินที่จะเรียกเขาว่าเจ้าเมืองน่ะ อ้อ… ยังมีเจ้าหน้าที่เก็บภาษีด้วย จะรับผิดชอบ ‘ปฐมนคร’ โดยตรง ซุ้มแลกเงินก็อยู่ในความดูแลของเขาเช่นกัน”
หลงเยว่หงนั้นใจจริงอยากจะถามต่ออีกว่า ‘ภาษี’ คืออะไร แต่ก็รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองถามมากเกินไปแล้ว เอาไว้ค่อยถามในโอกาสหน้าดีกว่า
เพียงไม่นานพวกเขาก็มาถึงอาคารเทศบาล
ที่นี่เป็นอาคารสี่ชั้นซึ่งทาด้วยสีน้ำตาล มีแปลงดอกไม้อยู่ด้านหน้าอาคาร
ชั้นล่างของอาคาร มีซุ้มเปิดอยู่เกือบสิบซุ้ม มีคนมากมายกำลังต่อแถวอยู่ด้านหน้าซุ้มแต่ละซุ้ม
“เจ็ดซุ้มด้านซ้ายคือซุ้มแลกเงิน” ไป๋เฉินนำหลงเยว่หงไปต่อแถวที่มีคนน้อยที่สุด “กระดานดำข้างหน้าเขียนบอกอัตราแลกเปลี่ยนไว้ ว่าต้องใช้วัตถุปัจจัยเท่าไรในการแลกในแต่ละวัน อะไรที่ไม่ได้เขียนไว้ก็เอามาแลกไม่ได้”
“แล้วพวกเราจะไม่มีปัญหาเหรอ” หลงเยว่หงเกิดความกังวลขึ้นมาบ้าง
“ไม่มีกองกำลังไหนปฏิเสธอาหารหรอก” ไป๋เฉินตอบอย่างมั่นใจ
ซึ่งในความเป็นจริงนั้น คนที่จะนำอาหารมาแลกเป็นเงินอย่างพวกเขานี่เรียกได้ว่าเป็น ‘คนกลุ่มน้อย’ ใน ‘คนกลุ่มน้อย’ เลยทีเดียว
คนส่วนใหญ่ที่มาเมืองหญ้าไพรก็เพื่อต้องการแลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัยอื่นๆ เป็นอาหารสำรอง ทว่าขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้เงินของ ‘ปฐมนคร’ เป็นตัวกลาง
หลงเยว่หงถอนใจโล่งอก แล้วถามต่ออย่างสงสัย
“แล้วถ้าหากว่าวัตถุปัจจัยที่มีนั้นใช้แลกไม่ได้ล่ะ จะทำไงกันต่อ ไปแลกที่ตลาดมืดงั้นเหรอ”
“เอาไปเดินเร่ขายตามถนนก็ได้ หรือไม่ก็ยอมจ่ายสักหน่อยเพื่อตั้งแผงลอยขายในตลาดอย่างเป็นทางการ แต่เป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างจะต้องใช้เวลามากหน่อย” ไป๋เฉินเหลียวมองไปรอบๆ ราวกับว่าต้องการประเมินว่าแถวอื่นๆ มีคนต่อคิวกันมากน้อยขนาดไหน “พอมาที่นี่ไม่กี่ครั้งก็จะเริ่มคุ้นเคยแล้วล่ะ จะรู้ว่ากลุ่มผู้ซื้อหลักของวัตถุปัจจัยแต่ละอย่างนั้นเป็นใครที่ไหน สามารถไปเจรจากับเขาได้โดยตรงเลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งตอนนี้ยกมือขึ้นมาป้องตาก็ใช้คางบุ้ยไปทางกลุ่มของหลงเยว่หง
“นายไปต่อแถวตรงนั้นก่อน ฉันเห็นห้องสมุดสาธารณะอยู่ข้างๆ ว่าจะเข้าไปเดินดูเสียหน่อย”
ด้านขวาของจัตุรัสนั้นมีอาคารผนังสีขาวที่มีประตูทางเข้าออกหลายทาง ทางเข้าแห่งหนึ่งมีป้ายติดเอาไว้ว่า ‘ห้องสมุดสาธารณะเมืองหญ้าไพร’
นี่ก็เป็นหนึ่งในผลงานอันโดดเด่นของสวี่เอิร์ด เจ้าเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองหญ้าไพร
ดังนั้นในมือหนึ่งของรูปปั้นหินจึงถือปืน ส่วนอีกมือถือหนังสือเอาไว้
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินตรงไปยังหลงเยว่หง
เจี่ยงไป๋เหมียนหายใจออก มองควันสีขาวที่กระจายฟุ้งออกไปในอากาศ จากนั้นก็เดินมาถึงทางเข้าห้องสมุดตามที่ใจปรารถนา
บนผนังข้างทางเข้านั้นมีกระดาษแปะเอาไว้หนึ่งแผ่น เขียนเอาไว้ทั้งภาษาแดนธุลีและภาษาแม่น้ำแดง
‘เฉพาะพลเมืองของเมืองและนักล่าทางการขึ้นไป จึงสามารถยืมหนังสือได้’
ตรานักล่านั้นมีประโยชน์ในเมืองนี้จริงเสียด้วยสิ… เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจแล้วเดินเข้าไปข้างใน
ที่นี่คล้ายคลึงกับห้องสมุดของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ประกอบด้วยพื้นที่สำหรับชั้นวางหนังสือและพื้นที่สำหรับนั่งอ่านหนังสือ เจี่ยงไป๋เหมียนเดินตรงไปยังชั้นวางหนังสือ
เธอเดินดูแบบผ่านๆ แล้วก็มาถึงมุมหนึ่งซึ่งไม่โดดเด่นนัก จากนั้นก็ดึงเอาหนังสือออกมาเล่มหนึ่งซึ่งค่อนข้างหนาและดูเก่าแก่
ชื่อหนังสือนั้นมีเพียงภาษาแม่น้ำแดงอย่างเดียว เขียนเอาไว้ว่า…
‘ประมวลกฎหมายรายได้ในประเทศ’
บนแดนธุลีในเวลานี้นั้น หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่าเป็นหนังสือที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ที่เอามาวางไว้ที่นี่ก็เพื่อทำให้ดูมีหนังสืออยู่เต็มชั้น ชั้นวางดูไม่โล่ง ไม่เคยมีใครยืมไปแม้แต่คนเดียว
ในบริเวณที่ซึ่งไร้ผู้คนและมีชั้นหนังสือหลายชั้นตั้งบดบังสายตาเอาไว้ เจี่ยงไป๋เหมียนพลิกหนังสือไปที่หน้า 650 แล้วพับหน้านั้นลงไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบปากกาหมึกซึมและกระดาษจดโน้ตหนึ่งแผ่นออกมาจากกระเป๋าตนเอง รีบเขียนข้อความลงไปหนึ่งประโยค
‘สองทุ่ม ตรอกตรงข้ามตลาดทาสถนนใต้’
นี่คือวิธีติดต่อกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง
หลังจากพับกระดาษโน้ตเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สอดไว้ที่กลางเล่มแล้วสอดหนังสือกลับคืนที่เดิม
* * * * *
ที่ซุ้มแลกเงิน หลงเยว่หงมองดูเงินในมือตนเองก่อนจะพูดกระซิบกระซาบ
“นี่มันกระดาษไม่ใช่เหรอ”
เสบียงของพวกเขานั้นแลกมาได้ 10 ออเรย์ ตามอัตราแลกเปลี่ยนของวันนี้ เงินที่พวกเขาแลกมาสามารถซื้อเนื้อหมูดิบได้ประมาณ 6 กิโลกรัม
ทว่าเงินออเรย์นี้เป็นเพียงแผ่นกระดาษบางๆ ซึ่งมีผิวสัมผัสนูนต่ำ มีลวดลายหลากสีสัน และมีใบหน้าด้านข้างของชายคนหนึ่งและตัวเลข ‘1’ กำกับไว้
“ถ้าอยู่นอกเขตอิทธิพลของ ‘ปฐมนคร’ พวกมันก็มีค่าเท่ากับกระดาษจริงๆ นั่นแหละ” ไป๋เฉินเห็นด้วย “ถ้าเลือกได้ก็เลือกเป็นเหรียญเงินเหรียญทองที่ ‘ปฐมนคร’ ผลิตขึ้นมาจะดีกว่า”
แต่น่าเสียดายที่ถึงจะต้องการก็ใช่ว่าจะหาได้
“งั้นพวกเราก็ไปกินข้าวกันเถอะ” จู่ๆ หลงเยว่หงก็รู้สึกราวกับว่าถ้าไม่รีบเอาไปใช้เสียตอนนี้ เงินในมือจะกลายเป็นกระดาษไปอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนกลับออกมาแล้ว และรวมตัวกับพวกเขาในระยะห่าง
จากคำแนะนำของไป๋เฉิน พวกเขาจึงกลับไปยังถนนใต้ ไปที่ ‘ร้านบะหมี่เจ้าเก่า’ และ ‘แบ่ง’ โต๊ะนั่งด้วยกัน
“บะหมี่พริกคั่วน้ำมันของที่นี่อร่อยมาก” ไป๋เฉินราวกับนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้ สีหน้าพลันอ่อนโยนลง
“พริกคั่วน้ำมันเหรอ” หลงเยว่หงถามอย่างแปลกใจ
ฟังแล้วหรูหราชะมัด!
นี่มันชีวิตในนิคมใหญ่บนแดนธุลีงั้นเหรอ
ไป๋เฉินทำท่าบอกเถ้าแก่ร้านว่าขอสี่ชาม จากนั้นก็อธิบายให้ฟัง
“เมืองหญ้าไพรนั้นค่อนข้างเหมาะสำหรับปลูกหญ้าน้ำมัน[1]กับพริก พวกคฤหาสน์แถวนี้ปลูกขาย ดังนั้นราคาจึงถูกมาก
“เพียงแต่ว่าเส้นบะหมี่ในร้านเล็กๆ แบบนี้คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ประณีตเหมือนที่พวกขุนนางกินกัน…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ไป๋เฉินก็พลันชะงักไป ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันแค่หวังว่ามันจะทำเสร็จเร็วๆ ไม่ต้องรอนานกว่าจะได้กิน ดูสิ ซางเจี้ยนเย่าไม่พูดไม่จามาตั้งนานแค่ไหนแล้ว”
เมื่อพูดขาดคำ ด้านนอกก็พลันมีเสียงเอะอะดังขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ที่นอกร้านมีคนเดินผ่านไป เถ้าแก่ที่ทำบะหมี่จึงถามเขา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
คนที่ผ่านมาคนนั้นพลันชี้ไปทางจัตุรัส
“ดูเหมือนว่ามีไฟไหม้ห้องสมุดน่ะ”
ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนหรี่ลงทันที
* * * * *
[1] หญ้าน้ำมัน (油菜) เป็นวัชพืชชนิดหนึ่ง ขอบใบเป็นหยักคล้ายเลื่อย ขนใบเป็นรูปกลมยาว ช่อดอกเป็นพวง ดอกสีเหลืองอ่อน เมื่อนำเมล็ดมาคั้นจะได้น้ำมัน เป็นพืชน้ำมันที่สำคัญของจีน