รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 129 มือใหม่แกะกล่อง
เจี่ยงไป๋เหมียนเพียงแค่หันไปมองเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ภายในร้านบะหมี่
หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่ซึ่งมีอายุราว 50 ปีที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นควันและน้ำมันก็ถือถาดออกมาแล้ววางชามบะหมี่พริกคั่วน้ำมันสี่ชามไว้ที่หน้าซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ
กลิ่นหอมฉุยชวนให้น้ำลายสอจนทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนแทบระงับความอยากอาหารไว้ไม่อยู่ เธอถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจังนัก
“ห้องสมุดไฟไหม้เหรอคะ”
“ใช่แล้ว” เถ้าแก่ถอนใจ “แต่ผมไม่เห็นควัน น่าจะไหม้ไม่เยอะเท่าไหร่”
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมอง เห็นซางเจี้ยนเย่าหยิบชามแล้วก้มหน้าก้มตาบรรเลงอย่างไม่รีรอ จากนั้นเธอถามต่ออย่าง ‘อยากรู้อยากเห็น’
“ช่วงนี้เกิดไฟไหม้เองบ่อยเหรอ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เธอไม่ได้สนใจว่าคำถามดังกล่าวจะทำให้ตนเองดูเหมือนเป็นคนต่างถิ่น เพราะคนในเมืองหญ้าไพรส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่เป็นคนต่างถิ่นทั้งนั้น
“ที่ไฟไหม้เนี่ย ไม่ได้เป็นเพราะอากาศร้อนหรอก!” เถ้าแก่สั่นศีรษะปฏิเสธ “ผมว่าน่าจะเป็นฝีมือเจ้าพวกเสียนั่นมากกว่า”
“พวกเสียสติ…” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ่งอยากรู้มากขึ้นอีก
เถ้าแก่ร้อง “เฮ้อ” ออกมาคำหนึ่ง
“ตั้งแต่เข้าฤดูหนาวเป็นต้นมา จู่ๆ ก็มีกลุ่มเจ้าลาโง่นั่นโผล่เข้ามาในเมือง พวกนั้นเอาใบปลิวมาสอดไว้ใต้ประตูทุกวัน เขียนพวกข้อความประมาณว่า ‘โลกเก่าถูกทำลายเพราะความรู้’ ‘อย่าเรียนอะไรที่มากเกินกว่าสัญชาตญาณ’ ‘อยู่ห่างจากหนังสือ อย่าคิดอะไรให้มาก’ พวกคุณดูสิ พวกนี้มันใช่ภาษาคนที่ไหนกัน กระดาษพวกนั้นไม่ต้องซื้อหามาหรือไง
“เจ้าพวกเสียสติพวกนี้ ในที่สุดก็ลงมือเผาห้องสมุดจริงๆ ด้วย!”
“แล้วพวกขุนนางไม่ลงมือทำอะไรเลยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินเสียงซางเจี้ยนเย่าจัดการบะหมี่ ต้องพยายามหักห้ามใจตัวเองขนาดหนัก เธอถามต่อ
“ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร ก็เลยไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงนะสิ” เถ้าแก่พูดคุยเรื่องนี้อย่างใส่อารมณ์
จอนสองข้างของเขาเป็นสีขาวล้วนและสั้นมาก มีรอยย่นที่หางตาเล็กน้อย
“นั่นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนลดความคาดหวังของตนที่มีต่อการรักษาความปลอดภัยในเมืองหญ้าไพรลง
เรื่องนี้ช่างเทียบกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่ค่อนข้างไม่พอใจ เธอจึงถามต่อ
“ดูเหมือนว่าพวกคุณจะชอบห้องสมุดกันมากเลยสินะ ถึงได้ไม่ค่อยพอใจกัน”
เถ้าแก่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนสีขาวที่สวมอยู่
“ก็ต้องไม่พอใจอยู่แล้ว พวกเด็กๆ ต้องใช้ที่นั่นเพื่อร่ำเรียนอ่านหนังสือกัน”
“ในเมืองหญ้าไพรไม่มีโรงเรียนเหรอ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนี่นา” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เคยได้ยินไป๋เฉินพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน เลยคิดเองว่าน่าจะมี
เถ้าแก่เหลือบมองไปที่ประตู
“ก็มีอยู่แหละ แต่ว่าอยู่ที่ถนนเหนือ คนทั่วไปเข้าไปไม่ได้
“ครอบครัวคนธรรมดาอย่างพวกเราน่ะ ได้แต่ต้องเรียนเองที่บ้าน ยังดีที่สมัยรุ่นปู่ของผมน่ะมีความรู้เยอะ พ่อก็ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการมาบ้าง ส่วนฉันน่ะแทบจะอ่านตัวหนังสือไม่ออกเลย ทั้งภาษาแดนธุลี ทั้งภาษาแม่น้ำแดง
“ถ้าไม่มีหนังสือแล้วจะสอนพวกเด็กๆ ได้ยังไง ถ้าต้องพึ่งแค่ความรู้ของตัวผมเองละก็… เฮ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย หวังแค่เพียงให้หลานได้มีอนาคต อ่านออกเขียนได้ ได้อ่านหนังสือเยอะๆ จะได้มีโอกาสทำงานที่สำนักงานเทศบาล ไม่อยากให้เขาต้องเป็นเหมือนพ่อ ไม่ยอมอ่านหนังสือก็เลยอ่านหนังสือไม่ออก ไปเป็นนักล่าซากอะไรพวกนั้น สุดท้ายก็เอาชีวิตไปทิ้ง!”
พูดมาถึงตรงนี้ เถ้าแก่ก็นึกถึงเรื่องห้องสมุดที่ถูกไฟไหม้ แล้วก็สาปแช่งด้วยความโกรธ
“ไอ้พวกสมองกลวง!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาระหว่างหัวหน้าทีมกับเถ้าแก่ เธอจึงเข้าใจได้ว่าการที่เมืองน้ำล้อมสามารถรักษาระบบการศึกษาเอาไว้ได้นั้นเป็นเรื่องลำบากขนาดไหน
บนแดนธุลีนั้นไม่ใช่ทุกคนที่จะมีสิทธิ์ได้รับการศึกษา คนส่วนใหญ่ล้วนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่ามีผู้ต้องสงสัย ‘ลอบวางเพลิง’ ก็รู้สึกว่านี่มันบังเอิญเกินไปหน่อยหรือเปล่า จึงลอบถอนใจแล้วพูดติดตลก
“เถ้าแก่ สำเนียงคุณนี่หลากหลายดีจัง”
“สมัยตอนที่รุ่นปู่ฉันเริ่มก่อตั้งเมืองหญ้าไพรขึ้นมาน่ะ ตอนนั้นมีคนมาจากทั่วทุกสารทิศ สำเนียงก็หลากหลาย บ้างก็พูดภาษาแม่น้ำแดง พอฟังไปฟังมาก็พูดเป็น ก็เลยผสมปนเปกันไปหมด”
เถ้าแก่เห็นลูกค้าใหม่เข้าร้านมาจึงหยุดคุยแล้วรีบออกไปต้อนรับ “เชิญ เชิญ มากันกี่คน กินอะไรกันดี”
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า เห็นเขากำลังขุดก้นชามอยู่ จึงคีบบะหมี่ของตนขึ้นมาบ้างแล้วยิ้มถามหลงเยว่หง
“รสชาติเป็นไงบ้าง”
“อร่อยดี… แต่ว่า… เผ็ดไปหน่อย…” หลงเยว่หงตอบอย่างคลุมเครือ
ตอนที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูดคุยกับเถ้าแก่ก่อนหน้านี้ เธอก็คลุกเคล้าเส้นบะหมี่ในชามไปเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้เธอก็เริ่มกัดคำแรก บะหมี่นั้นชุ่มไปด้วยน้ำมันสีแดง มีกลิ่นหอมและเผ็ด ขณะที่เคี้ยวก็รู้สึกถึงความหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของแป้งและความเปรี้ยวที่กลมกล่อม กลิ่นที่สูดเข้าไปเป็นกลิ่นหัวหอม น้ำมัน และความเผ็ด
“น้อยไปหน่อย” ซางเจี้ยนเย่าวางชามวางตะเกียบลงแล้ว ‘ช่วย’ เสริมให้หลงเยว่หง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตระหนี่ต่อลูกทีม เธอเอี้ยวตัวหันไปตะโกนสั่ง
“เถ้าแก่ ขออีกชาม ไม่ ไม่ ขออีกสองชาม”
เธอคิดว่าเพียงแค่ชามเดียวคงไม่พอ ถึงแม้ว่าสองชามนั้นอาจจะมากไปหน่อย แต่เธอก็แบ่งให้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินได้
และเช่นนี้เอง พวกเขาต่างก็กินบะหมี่กันอย่างเหงื่อชุ่มโชกเต็มหน้าผาก
ในความเย็นเยียบหนาวเหน็บของฤดูหนาว นี่เป็นความรื่นรมย์อันยากอธิบายเป็นคำพูดได้
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาคิดเงิน รวมแล้ว 18 ดราส
บะหมี่พริกคั่วน้ำมันชามเล็กราคา 1.5 ดราส ชามใหญ่ 3 ดราส ‘ทีมสำรวจเก่า’ กินกันไปทั้งสิ้น 6 ชาม รวมแล้วเป็นเงินเกือบ 2 ออเรย์
หลังจากได้รับเงินทอนเป็นธนบัตรหนึ่งดราส 2 ใบกลับมา เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งนับธนบัตรที่เหลือด้วยสีหน้าเจ็บปวดอมทุกข์
“เงินนี่ช่างหมดง่ายเสียจริง!”
พวกเขาแลกเงินมาเพียงแค่ 10 ออเรย์เท่านั้น กินอาหารมื้อเดียวก็หมดไปเกือบหนึ่งในห้าแล้ว
เงินเล็กน้อยแค่นี้ใช้กินได้แค่สองวันเท่านั้นเอง
“เอาละ ลองไปดูที่สมาคมนักล่ากันเถอะ จะได้ไปลงทะเบียนสมัคร ถ้าเรายังต้องอยู่ที่นี่กันต่ออีกนาน จะได้หาเงินเลี้ยงตัวได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกับซางเจี้ยนเย่าซึ่งกินมากที่สุด
แล้วพวกเขาก็เดินกลับมาที่ถนนโดยแยกกันเป็นกลุ่มสองคนอีกครั้ง
ซางเจี้ยนเย่าลูบท้องตัวเอง พลางพูดอย่างเศร้าใจ
“ที่จริงชามที่สองน่าจะเปลี่ยนเป็นบะหมี่อย่างอื่นที่มีเนื้อบ้าง”
“ขอเพียงแต่หาเงินได้ ครั้งต่อไปไม่พลาดแน่” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ใส่ใจหมอนี่ที่คิดแต่เรื่องกินเท่านั้น
เนื่องจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ใช้เส้นทางอ้อม ทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่าเดิมกว่าจะมาถึงที่นี่ จึงเหลืออาหารไม่มากนัก ดังนั้นภารกิจหลักในตอนนี้ก็คือการแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตกันก่อน
แน่นอนว่าหากสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ข่าวกรองได้ พวกเขาก็จะมีโอกาสมากขึ้นที่จะมีช่องทางอื่นในการรับวัตถุปัจจัย
ถนนเมืองหญ้าไพรในยามบ่าย แดดไม่ได้ร้อนจัดอีกแล้ว ลมเย็นพัดโชยแทรกผ่านเสื้อผ้าของผู้คนบนท้องถนน
นี่ทำให้คนส่วนมากไม่อยากออกไปไหนมาไหนถ้าไม่จำเป็น นอกจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนของเมืองหญ้าไพรซึ่งพกพาปืนกลมือกับนักล่าซากอารยะที่เร่งรีบไปหาอาหาร บนถนนก็แทบจะไร้ผู้คน เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากเดินมาถึงจัตุรัสกลางแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็เลี้ยวไปทางถนนตะวันตก เดินไปไม่กี่ก้าวก็มองดูสมาคมนักล่าซึ่งยึดครองพื้นที่ของอาคารทั้งหลัง
ด้านล่างของหลังคาที่ทำเลียนแบบชายคาจีนโต๋วก่งก็คือ ‘สมาคมนักล่า’ ซึ่งเป็นผนังสีขาวเป็นรอยดำด่างและหลอดไฟขนาดเล็กจำนวนมากเรียงเป็นตัวอักษร
หลอดไฟนั้นมีทั้งสองภาษา สามารถจินตนาการได้เลยว่ามันจะสว่างสะดุดตาขนาดไหนในยามค่ำคืนเมื่อเปิดไฟ
ชั้นล่างของสมาคมนั้นเป็นห้องโถงโล่งกว้างซึ่งมีเพียงแค่เสากับผนังบางส่วนที่จำเป็นต้องคงไว้
ในขณะนี้ประตูทุกบานที่เรียงเป็นแถวล้วนแต่เปิดออกเพื่อให้ผู้คนเข้าออกได้ตามต้องการ
บนผนังและเสาข้างประตูของทุกจุด มีตัวอักษรสีดำขนาดใหญ่เขียนเอาไว้เหมือนกันหมด
‘เวลาทำการ : 08.30-20.30 น.
‘หมายเหตุ : เจ้าหน้าที่สมาคมได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธได้ตามกฎหมาย
‘คำเตือน : โปรดรักษาความเป็นระเบียบ
‘…’
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังดูเนื้อหาเหล่านี้ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากสมาคมนักล่า
มีสองคนในกลุ่มที่ค่อนข้างสะดุดตา
หนึ่งนั้นเป็นหุ่นจักรกล ทั่วทั้งร่างเป็นโลหะสีดำเงิน ร่างกายโค้งได้รูป พื้นผิวเด่นชัด ดวงตาราวกับหลอดไฟสองดวง เป็นสีแดงเรืองรอง
อีกคนหนึ่งเป็นชายวัยสามสิบ หน้าตาค่อนข้างธรรมดา ดวงตาแหลมคม นิ้วมือขวาทั้งห้าเป็นโลหะสีดำ เหนือข้อมือขึ้นไปนั้นอยู่ในแขนเสื้อจึงไม่อาจมองเห็นได้
‘แขนกล…’ เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ตัวว่าเสียงพึมพำของตัวเองค่อนข้างดัง จึงได้แต่อดกลั้นคิดในใจ
บรรดานักล่าซากอารยะที่ผ่านไปผ่านมาต่างมองดูด้วยสายตาอิจฉา
สายตาของไป๋เฉินก็มองตามพวกเขาไปด้วยเช่นกัน
“มีหุ่นสมองกลด้วย… น่าประทับใจมาก!” หลงเยว่หงถอนใจอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์
ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้เป็นหุ่นสมองกลด้านการต่อสู้ แต่ก็นับได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งสำหรับการเอาชีวิตรอดในแดนร้าง!
พวกมันไม่หิว ไม่เหนื่อย ไม่กลัวก๊าซพิษ ไม่กลัวปืนธรรมดา ไม่กลัวสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย และสามารถแบกน้ำหนักได้อย่างทรงพลัง
ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือระบบจ่ายพลังงาน
น่าเสียดายที่หลังจากโลกเก่าล่มสลายไปแล้วก็มีไม่เกินสามแห่งที่สามารถผลิตหุ่นสมองกลได้อย่างมีเสถียรภาพ ซึ่ง ‘ของโบราณ’ นั้นต่างค่อยๆ ชำรุดไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ถูกทำลายไป ดังนั้นทีมที่มี ‘สหาย’ เช่นนี้ได้จึงเป็นที่อิจฉาตาร้อนเป็นอย่างยิ่ง
ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มีมนุษย์จำนวนมากที่รอดพ้นภยันตรายต่างๆ มาได้ ซึ่งต้องขอบคุณหุ่นสมองกลพวกนี้เป็นอย่างมาก
แม้แต่ในสมัยโลกเก่าเอง หุ่นสมองกลก็ยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายนัก
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตากลับมา จากนั้นก็ถามซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้างอย่างยิ้มแย้ม
“ถ้านายมีโอกาสได้ติดตั้งแขนกล นายอยากให้มีคุณสมบัติอะไรล่ะ”
“เปิดกระป๋อง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“…สมกับเป็นนายจริงๆ” เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันพูด
ระหว่างที่คุยกันนี้พวกเขาก็เดินเข้ามาข้างในห้องโถงของสมาคมนักล่าแล้ว
ด้านบนเพดานนั้นติดตั้งหลอดฟลูออเรสเซนต์ส่องสว่าง ราวกับไม่จำเป็นต้องประหยัดพลังงานไฟฟ้ากันเลย
ในห้องโถงมีโต๊ะมากมายตั้งกระจายอยู่รายรอบเวทีกลมที่อยู่กลางห้อง แต่ละโต๊ะต่างก็มีอุปกรณ์ที่มีหน้าจอ LCD อยู่
ที่เวทีกลมขนาดใหญ่นั้นมีหน้าจอขนาดยักษ์แขวนห้อยเอาไว้อยู่ด้านบน มีรายการภารกิจต่างๆ ค่อยๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้าๆ
ด้านล่างของหน้าจอนั้นเป็นช่องบานหน้าต่างอยู่หลายบาน แต่ละบานก็จะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สีดำอยู่ด้วย
เท่าที่เห็นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกได้ทันทีว่านี่เป็นโลกที่แตกต่างไปจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เป็นสองโลกที่ถูกแบ่งแยกโดยเทคโนโลยี
เธอเห็นหน้าต่างที่ว่างอยู่จึงลากซางเจี้ยนเย่าเดินตรงเข้าไป
เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นหญิงสาวที่ดูสดชื่นสะอาดตา เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
“มาลงทะเบียนเป็นนักล่าค่ะ”
“กรอกแบบฟอร์มนี้ก่อน ถ้าเขียนหนังสือไม่ได้ ฉันจะช่วยกรอกให้” พนักงานหญิงยื่นกระดาษมาให้สองแผ่น ทีท่าไม่ได้กระตือรือร้น แต่ก็ไม่ได้หยิ่งเช่นกัน
เนื้อหาของแบบฟอร์มนั้นง่ายมาก มีชื่อ เพศ อายุ แล้วก็พวกข้อมูลโดยทั่วไป เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบปากกาที่หน้าต่างมากรอกข้อมูล
พูดอีกอย่างก็คือการใช้ชื่อปลอมนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย
เพื่อป้องกันไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าทำอะไรนอกลู่นอกทาง เจี่ยงไป๋เหมียนจึงช่วยเขากรอกแบบฟอร์มด้วย
หลังจากที่ส่งแบบฟอร์มคืนไปแล้ว ทั้งคู่ก็ถ่ายรูปด้วยอุปกรณ์สีดำที่หน้าต่างทีละคน แล้วก็บันทึกลายนิ้วมือ
เพียงไม่นานพวกเขาก็ได้รับ ‘ตรานักล่า’ มาสองชิ้น
ป้ายตราทั้งสองชิ้นเป็นสีทองเหลือง ด้านหน้าเป็นใบหน้ามนุษย์พร่าเลือนและมีดกับหอก มีชิปฝังอยู่ด้านหลัง
“ตอนนี้พวกคุณได้เป็น ‘นักล่ามือใหม่’ แล้ว ขอให้ขยันและรับภารกิจบ่อยๆ อีกไม่นานก็จะได้เป็น ‘นักล่าทางการ’ เมื่อพนักงานหญิงส่งป้ายตรามาให้ก็กล่าวอวยพรด้วยคำพูดตามแบบฉบับ
เจี่ยงไป๋เหมียนโยนป้ายตราขึ้นลง ยิ้มให้ซางเจี้ยนเย่า
“ไปดูกันเถอะว่ามีภารกิจอะไรบ้าง”
ซางเจี้ยนเย่ารับป้ายตรามาแล้วติดไว้ที่หน้าอกด้วยท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง