รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 13 ความรู้สึกของพิธีกรรม
ช่วงเวลาสองเดือนผ่านไปในพริบตา
ภายในลิฟต์ที่พาไปชั้น 647 หลงเยว่หงสวมเสื้อใยสังเคราะห์มองภาพเงาสะท้อนตัวเองที่ปรากฏบนผนังโลหะของลิฟต์ ทำท่าเกร็งกล้ามหน้าอก
“การฝึกแบบความเข้มข้นสูงแบบนี้มีประโยชน์จริงๆ ฉันว่าฉันอัดตัวเองสมัยเพิ่งเรียนจบลงไปกองได้ 5 คนเลย เอ่อ… 3 ละกัน”
นอกจากนั้นแล้วรูปร่างของเขาก็ดีขึ้น ดูแล้วมีความแข็งแกร่งสมชายชาตรีมากขึ้น
ซางเจี้ยนเย่าที่มองดูที่รอยแยกระหว่างประตูลิฟต์อยู่ก็พูดขึ้น
“เฮ้อ ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วก็ยังสูงแค่ 175 หล่อก็ไม่หล่อ ผลการเรียนก็ปานกลาง…”
“…” หลงเยว่หงเงียบไปชั่วขณะ ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาตอบกลับไปดี
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วระบายออกอย่างแรง
“เอาจริงนะ ฉันเองก็กินเนื้อทุกวันมาตั้งสองเดือนแล้ว ทำไมไม่เห็นจะสูงขึ้นซักเซ็น”
ระหว่างที่สนทนา ทั้งคู่เดินออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวเข้าห้องหมายเลข 14 ด้วยความคุ้นเคย
พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเช้านี้จะมีฝึกอะไร ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะต้องไปเปลี่ยนสวมเครื่องแบบของแผนกความมั่นคง หรือใส่ชุดธรรมดาเพื่อความคล่องตัวในการต่อสู้ประชิด ดังนั้นจึงต้องไปรายงานตัวกับเจี่ยงไป๋เหมียนก่อนที่จะไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแต่งตัวของห้องอาบน้ำรวม
ตอนนี้ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินล้วนมาถึงแล้วและกำลังล้อมรอบโต๊ะสีน้ำตาลอมแดงของเจ้าของเดิมของห้อง กำลังมองดูอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง
“อรุณสวัสดิ์ครับหัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงล้วนเคยชินกับการตะโกนแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้าขึ้นแล้วกวักมือเรียก
“เข้ามา เข้ามา มีเรื่องจะบอกให้พวกนายรู้”
หลงเยว่หงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าและเห็นว่าอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งคู่เดินตามไปแล้วก็มองเห็นแผนที่ที่มีความเที่ยงตรงต่ำวางแผ่หราอยู่บนโต๊ะสีน้ำตาลอมแดงของเจี่ยงไป๋เหมียน
เจี่ยงไป๋เหมียนกำหมัดชกลงไปบนแผนที่เบาๆ จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม
“โปรแกรมการฝึกวันนี้คือ
“ฝึกภาคสนาม!”
“หือ” หลงเยว่หงร้องอุทานออกมา
เขารู้ว่าการฝึกภาคสนามนั้นไม่ช้าก็เร็วจะต้องมาถึง แต่ไม่คิดว่าฝนยังไม่ทันตั้งเค้าก็เทมาเลย ไม่มีเวลาให้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด!
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไร แต่ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นไม่อาจปกปิดได้
เจี่ยงไป๋เหมี่ยนมองคนรอบกายแล้วพูด
“ทีแรกกะว่าจะเริ่มในอีกสองวัน แต่พอดีว่าเบื้องบนมอบหมายภารกิจเล็กๆ มา ให้เราเดินทางไปส่งไมโครชิปอุปกรณ์กรองน้ำที่นิคมคนเร่ร่อนในแดนร้าง ดังนั้นเราจึงจะออกเดินทางกันวันนี้เลย
“ไป๋เฉิน บอกพวกเขาเรื่องที่หมายกับเส้นทางทั่วๆ ไปให้พวกเขารู้ด้วย”
ไป๋เฉินที่ยังคงพันผ้าพันคอสีเทา ยืนท้าวขอบโต๊ะด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้อีกมือหนึ่งเคาะตำแหน่งบนแผนที่
“นี่คือเมืองฉีเฟิง อยู่ห่างจากบริษัทไปราว 300 กิโลเมตร ถ้าเราใช้ถนนสายที่ซ่อมเสร็จแล้ว ระหว่างทางไม่มีอันตรายอะไรหรอก ผลัดกันขับรถไปวันเดียวก็ถึงแล้ว
“แต่น่าเสียดายที่แดนร้างบึงดำไม่มีถนนที่ว่านั่น ระหว่างทางอาจมีถนนช่วงสั้นๆ ของโลกเก่าที่ยังพอมีสภาพดีอยู่บ้าง แต่หญ้าขึ้นรกและเป็นหลุมเป็นบ่อหมดแล้ว นี่แค่ยกตัวอย่างให้ฟังนะ”
ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงต่างรู้ดีว่า ‘แดนร้างบึงดำ’ นั้นหมายถึงพื้นที่อันตรายด้านนอกบริษัท
มันครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาล เหนือสุดติดกับทุ่งน้ำแข็ง ตะวันออกเฉียงเหนือติดกับเขตของ ‘กองทัพกู้โลก’ ตะวันออกเป็นเขตอิทธิพลของ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ ถ้าตรงไปทางตะวันออกเฉียงใต้เรื่อยๆ ก็จะเข้าสู่ ‘ปฐมนคร’
ส่วนทางใต้คือแดนร้างผืนอื่นและเทือกเขาหลายลูก
ไป๋เฉินยังคงอธิบายต่อไป
“พวกนายคงจะเห็นแล้วว่ามี ‘บึงใหญ่’ คั่นอยู่ระหว่างเรากับเมืองฉีเฟิง พื้นที่หลายแห่งถูกทำสัญลักษณ์ความเสี่ยงสูงมากเอาไว้ จากประสบการณ์ของฉัน สถานที่พวกนี้ไม่มีถนน เป็นแอ่งบึงหนองน้ำล้วนๆ เต็มไปด้วยพวกกลายพันธุ์ สัตว์ร้ายที่น่ากลัว ฝูงสัตว์ประหลาด หรือไม่ก็เป็นซากปรักของโลกเก่า เป็นสถานที่ที่เข้าไปได้แต่กลับออกมาไม่ได้
“ถ้าเข้าไปเขตที่มีมลพิษสูง เราก็ไม่มีเส้นทางให้เลือกมากนัก นอกจากนั้นก็ต้องไม่ใช้เส้นทางที่บริษัทใช้ประจำเพราะมีการสร้างป้อมรักษาการณ์ไว้ทั้งหัวท้ายเส้นทาง แบบนั้นแล้ววัตถุประสงค์ของการฝึกภาคสนามก็คงไม่บรรลุผล
“เมื่อรวมเงื่อนไขข้างต้นและสภาพภูมิประเทศของบึงใหญ่แล้ว ฉันคิดเอาไว้สองเส้นทาง แต่ไม่ว่าเส้นไหนก็ต้องวกเข้าๆ ออกๆ อยู่ในบึงใหญ่ ใช้เวลาไม่ต่างกันเท่าไหร่ น่าจะราวๆ สักหนึ่งถึงสองสัปดาห์กว่าจะไปถึงเมืองฉีเฟิง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย
“พวกนายคิดว่าจะเลือกเส้นไหนดี หรือว่าจะอ้อมบึงใหญ่ไป แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่า อันตรายก็ไม่ได้น้อยกว่ากันเท่าไหร่
“อ้อ ฉันไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับบึงใหญ่มากนัก ยังไม่เคยเข้าไปในหลายๆ จุด พวกนายจะเสนอเส้นทางอื่นก็ได้นะ”
ก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะพูด ซางเจี้ยนเย่าก็เดินก้าวออกไปแล้วชี้ไปที่เส้นทางหนึ่ง
“เส้นนี้ก็ดี”
“ทำไมเหรอ” ไป๋เฉินถามโดยอัตโนมัติ
หลังจากนั้นก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งว่าไม่น่าถามเลย
“รูปร่างเส้นทางดูสวยดีน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงใจ
ไป๋เฉินหันไปหาหัวหน้าทีมเพื่อให้เธอ ‘ตัดสินใจ’
เจี่ยงไป๋เหมียนลูบคางแล้วพูด
“ฉันเห็นด้วยกับเส้นที่ซางเจี้ยนเย่าเลือกนะ ในเมื่อทั้งสองเส้นแทบไม่มีอะไรต่างกัน งั้นก็เลือกอันที่ดูดีกว่าละกัน
“งั้นเลือกเส้นนี้แหละ!”
เมื่อพูดจบเธอมองไปที่ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง ชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของตนแล้วพูดว่า
“พวกนายมีเวลาเตรียมตัว 15 นาที”
“แค่ 15 นาทีเองเหรอ” หลงเยว่หงถึงกับหน้าย่นทันที
“14 นาที 55 วิ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองนาฬิกาแล้วพูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
หลงเยว่หงรีบกลับหลังหันแล้วเผ่นแน่บตามหลังซางเจี้ยนเย่าไปทันที
“เฮ้ รอด้วย!”
ทั้งคู่รีบเข้าไปห้องแต่งตัวของห้องอาบน้ำรวม เปิดตู้ล็อกเกอร์ตัวเอง
ด้วยเพราะอาบเหงื่อต่างน้ำจากการฝึกหนักทุกวัน พวกเขาเลยเก็บเสื้อผ้าหลายชุดไว้ที่นี่เพื่อให้สะดวกในการเปลี่ยน
ภายในบริษัทไม่มีแสงแดด ตอนกลางคืนอากาศก็หนาวมาก พวกพนักงานจึงไม่สามารถตากผ้าได้ ต้องให้ ‘แผนกฝึกฝนปกป้อง’ ส่งคนไปรับเสื้อผ้าเอามาซัก ตากแห้ง แล้วส่งกลับ (ข้าวของชิ้นเล็กๆ ติดตัวสามารถแขวนไว้เหนืออ่างล้างหน้าของตัวเอง หรือใส่ไว้ในกาละมังข้างใต้เพื่อป้องกันน้ำหกใส่)
ซางเจี้ยนเย่าหยิบเอาเป้ลายพรางแบบมาตรฐานของแผนกความมั่นคงออกมา รูดซิปเปิดแล้วยัดเครื่องแบบชุดหนึ่งเข้าไป
จากนั้นก็ใส่ขวดแชมพูและสบู่อาบน้ำแบบทูอินวันลงในถุงพลาสติกใบเล็กแล้วโยนลงเป้
หลังจากใส่ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ข้าวของส่วนตัว และพวกของจิปาถะอื่นๆ ลงไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็รีบถอดเสื้อผ้าแล้วยัดเข้าตู้ล็อกเกอร์
ในสภาพที่สวมกางเกงชั้นในเพียงตัวเดียว เขาหยิบเอาเครื่องแบบสีเทาที่ยังเหลืออีกหนึ่งชุดออกมาสวมบนร่างอย่างรวดเร็ว
เมื่อก้มลงดึงเชือกผูกรองเท้าบูทหนังเสร็จเขาก็เงยขึ้นมาแล้วเดินไปที่กระจกครึ่งตัว จากนั้นก็ยืดลำตัวครึ่งบนยืนตรง
เงาของเขาในกระจก คิ้วตั้งตรง ดวงตาสีน้ำตาลสดใส ผมดำสะอาดเรียบร้อย โครงหน้าชัดเจนและนิ่งสงบ
กอปรกับเครื่องแบบที่ออกแบบมาอย่างดีของแผนกความมั่นคงซึ่งช่วยขับเน้นความเป็นทหาร ซางเจี้ยนเย่าจึงดูสดใสและมีพลัง
ขณะที่มองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ซางเจี้ยนเย่าก็ค่อยๆ หยิบป้ายชื่อออกมาจากกระเป๋าแล้วติดไว้ที่หน้าอกซ้าย
ป้ายชื่อนั้นมีสีแดง มีตัวอักษรสีทองสี่ตัวเป็นภาษาแดนธุลีนูนขึ้นมา
‘ผาน-กู่-ชีว-ภาพ’[1]
* * * * *
พอออกมาจากห้องแต่งตัว ซางเจี้ยนเย่ารออยู่สองนาที เมื่อหลงเยว่หงจัดแจงอะไร เสร็จเรียบร้อยแล้วเดินกลับไปห้องหมายเลข 14 พร้อมกัน
หลงเยว่หงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า แล้วมองซ้ำอีกรอบ สุดท้ายก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“นายไม่รู้สึกว่าฉันมีอะไรต่างไปบ้างเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลงเยว่หงยกมือขึ้นมาแล้วพูด
“ฉันไม่ได้ประหม่า นายไม่รู้สึกเลยเหรอว่าฉันไม่ได้ประหม่าอีกแล้ว
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันต้องกลัวและมองในแง่ร้ายไปแล้วแหงๆ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันรับมือได้ มันก็แค่ฝึกภาคสนาม
“ฝึกมาสองเดือนนี่มีประโยชน์จริงๆ”
ซางเจี้ยนเย่าเดินช้าลงแล้วมองหลงเยว่หงหัวจรดเท้า
แล้วเขาก็ยิ้มขึ้นมา
“นายขาสั่น”
“…” ท่าทีของหลงเยว่หงทรุดลงในทันที
ซางเจี้ยนเย่าไม่สนใจเขา เดินตรงไปยังห้องหมายเลข 14
หลงเยว่หงกลับมาได้สติอีกครั้ง มองดูขาตัวเองพร้อมตะโกนออกมา
“อย่าสั่น! อย่าสั่น!”
เมื่อได้คั่นจังหวะชั่วขณะ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ประหม่าอีกแล้ว
ทั้งสองรีบกลับไปห้องเบอร์ 14 เจี่ยงไป๋เหมียนมองกวาดแล้วหยุดสายตาลงที่หน้าอกด้านซ้ายของซางเจี้ยนเย่า
เธอเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“ไม่จำเป็นต้องติดป้ายชื่อหรอก นี่ไม่ได้เป็นปฏิบัติการในระดับบริษัท
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ที่มีคนน้อย ป้ายชื่อกลับจะยิ่งนำอันตรายมาให้ พวกโจรและคนเร่ร่อนในแดนธุลีไม่สนหรอกว่าจะเป็นกองกำลังใหญ่หรือเปล่า ในบางครั้งถ้าพวกเขาคุ้ยหาเก็บของอะไรมาไม่ได้ซักอย่าง ก็คงอยู่รอดต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงป่วยการที่จะมาใคร่ครวญพิจารณาว่าโจมตีสมาชิกของกองกำลังใหญ่ไปแล้วจะมีผลร้ายแรงอะไรตามมาไหม”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงดังกังวาน
“ความรู้สึกของพิธีกรรมครับ!”
“…พอออกจากบริษัทแล้วก็ถอดออกซะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดพลางกุมขมับ
ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน และหลงเยว่หงสะพายเป้ลายพรางแบบเดียวกันแล้วเดินตามเธอไปที่พื้นที่ลิฟต์
เมื่อเข้าไปในลิฟต์แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบเอาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ออกมารูด แล้วกดหมายเลขชั้น ‘650’ ไฟติดสว่างขึ้น
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีลิฟต์ก็ขึ้นไปจนสุดทาง ประตูเปิดออกไปสู่ลานจอดรถและห้องโถง
ชั้นที่ 650 เป็นชั้นที่อยู่ใกล้พื้นดินมากที่สุดของอาคารใต้ดิน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่นี่แทบไม่มีคนเดินไปมา มีเพียงผนังโลหะสีขาวเงิน ทางเดินที่ถูกกั้นด้วยบานประตูหนา และพนักงานจากแผนความมั่นคงยืนถืออาวุธ
เจี่ยงไป๋เหมียนรูดบัตรครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเปิดประตูออกทีละบาน
เธอเดินนำซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ผ่านทางเดินยาวไปยังอีกฟากหนึ่งของชั้น 650
ในระหว่างขั้นตอนเหล่านี้ ประตูหลายบานมีการสแกนม่านตาและร่างกายผู้ถือบัตรเพื่อยืนยันว่าไม่ใช่ตัวปลอม สำหรับประตูบานสุดท้ายนั้นถึงขั้นต้องใส่รหัสผ่าน
สุดทางเดินมีลิฟต์เรียงกันเป็นแถว เจี่ยงไป๋เหมียนสุ่มเลือกลิฟต์แล้วรูดบัตรก่อนจะกดลงบนปุ่มโลหะที่เขียนว่า ‘เขตพื้นโลก’
ลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้น เบื้องหน้าซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ก็คือจัตุรัสกว้างขวางที่ครอบด้วยโดมโลหะที่มีโครงเหล็กกล้า
“ลานจอดรถ” เจี่ยงไป๋เหมียนแนะนำด้วยรอยยิ้ม
ที่จอดอยู่นั้นไม่ได้มีเพียงแค่รถราสารพัดชนิด แต่ยังมีรถถังกับรถยิงจรวดอีกด้วย พวกมันจอดเป็นระเบียบเรียงเป็นแถวยาวไปจนสุดสายตา ทำให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนพบรถคันที่ถูกจัดสรรไว้ให้อย่างรวดเร็ว
เป็นรถจี๊ปสี่ที่นั่งสีเขียวอมเทา ตัวถังยกสูง ล้อใหญ่ ดูแล้วทรงพลังเป็นอย่างมาก
เจี่ยงไป๋เหมียนเปิดท้ายรถแล้วชี้ไปด้านซ้ายมือ
“พวกนี้คืออาวุธสำหรับฝึกภาคสนามในครั้งนี้ มีปืนพกมาตรฐานขนาดกระสุน 9 มม. ของบริษัท ชื่อว่า ‘มอสน้ำแข็ง’[2] เลียนแบบมาจากปืน ‘แม่น้ำแดง’ ของ ‘ปฐมนคร’ กระสุนชนิดนี้พบได้บ่อยสุดและหามาเติมได้ง่ายสุด”
ปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ มีสีเงินทั้งกระบอก ด้ามจับมีลวดลายกันลื่น
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ
“ได้คนละกระบอก แล้วก็ยังมี ‘ยูไนเต็ด 202’ อีกด้วย
“ส่วนสองอันนี้คือปืนไรเฟิลจู่โจมที่พวกนายรู้จักอยู่แล้ว ปืน ‘นักรบคลั่ง’[3] มาตรฐานของบริษัท ใช้กระสุนขนาด 5.56 มม. …
“ส่วนนี่คือปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’[4] พอติดกล้องเล็งเข้าไปก็ใช้เป็นปืนสไนเปอร์ได้ด้วย…
“นี่คือปืนยิงระเบิด มีฉายาว่า ‘ทรราช’[5]
“พวกนี้ก็คืออาวุธทั้งหมดที่มี กระสุนอยู่นี่ ส่วนปืนพกกับแม็กกาซีนให้พกติดตัวไว้”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงคุ้นเคยกับอาวุธทุกชนิดจากการฝึกในช่วงที่ผ่านมา คุ้นจนไม่รู้จะคุ้นยังไงอีกแล้ว พวกเขาหยิบเอา ‘มอสน้ำแข็ง’ และ ‘ยูไนเต็ด 202’ ขึ้นมาอย่างใจเย็นแล้วเหน็บไว้ที่เข็มขัด
เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่ลังกระดาษทางขวามือ
“อาหารกระป๋องทหาร ธัญพืชอัดแท่ง บิสกิตอัดแข็ง พวกนี้เป็นเสบียงของพวกเรา
“ฮ่า ฮ่า พวกมันไม่พอให้เรากินจนไปถึงเมืองฉีเฟิงหรอก ที่เหลือเราต้องไปหาเพิ่มในแดนร้าง นี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึก”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” ทั้งสามคนไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
“เอาล่ะ ขึ้นรถได้” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมืออย่างองอาจ
เนื่องจากซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงยังขับรถไม่เป็น หญิงสาวทั้งคู่จึงนั่งเบาะหน้าและเตรียมผลัดกันขับ
พวกเธอวางแผนให้สองหนุ่มไปหัดขับในพื้นที่ที่กว้างกว่านี้
ท่ามกลางเสียงกระหึ่ม เจี่ยงไป๋เหมียนขับรถจี๊ปสี่ที่นั่ง ปล่อยให้มันแล่นผ่านจุดตรวจและประตูกั้นบานแล้วบานเล่าในลานจอดรถ
หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยงไป๋เหมียนก็บุ้ยหน้าบอก
“ประตูสุดท้ายแล้ว”
เป็นประตูบานคู่สีขาวเงิน มีพนักงานแผนกความมั่นคงเกือบยี่สิบคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดทาง
หลังการตรวจสอบครั้งสุดท้าย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขับรถจี๊ปแล่นทะยานไปทางประตูโลหะ
ในตอนนี้ทั้งซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงต่างก็อดกังวลไม่ได้และหายใจไม่ทั่วท้อง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจะได้ขึ้นไปสู่พื้นโลก
เมื่อรถจี๊ปเข้าไปใกล้ บานประตูสีขาวเงินก็ค่อยๆ เปิดอ้าออกทีละน้อย
ทันใดนั้นลำแสงสีทองก็สาดส่องเข้ามา ไม่ได้ขาวเหมือนกับแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ หรือเหลืองเหมือนเปลวไฟของเทียน
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงห่อตัวพร้อมกันแล้วยกมือขวามาป้องดวงตา
แสงนี่มันจ้าแสบตาไปหน่อย
* * * * *
[1] ผานกู่ชีวภาพ (盘古生物) “ผานกู่” คือเทพผู้สร้างโลกในตำนานจีนโบราณ ในที่นี้หมายถึง เทพเจ้าจีนโบราณแบบชีวภาพ
[2] มอสน้ำแข็ง (冰苔) อีกชื่อหนึ่ง ตะไคร่น้ำน้ำแข็ง
[3] นักรบคลั่ง (狂战士) หมายถึง นักสู้ที่ต่อสู้ด้วยความโกรธเกรี้ยว และมักเป็นคลาส (อาชีพ) ที่ปรากฏในเกมอยู่บ่อยครั้ง
[4] เจ้าส้ม (橘子) คำว่า“橘子” คือ ส้มแมนดาริน เป็นชื่อปืนที่ผลิตโดยบริษัทออเรนจ์คอมพานี ซึ่งแปลว่า บริษัทส้มแมนดาริน ในที่นี้หมายถึง ปืนชื่อว่า “เจ้าส้ม”
[5] ทรราช (暴君) หมายถึง ผู้ปกครองบ้านเมืองโดยใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำความเดือดร้อนทารุณให้แก่ผู้อยู่ใต้การปกครองของตน