รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 132 พบเพื่อนเก่าในต่างแดน
รอจนกระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นหายลับไปจากครรลองสายตา ไป๋เฉินจึงเก็บปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ แล้วออกจากชายคาดาดฟ้าไป
และในวินาทีถัดมา เธอกับหลงเยว่หงก็หันไปดูอีกฝั่งของตลาดทาสถนนใต้พร้อมๆ กัน
เสียงที่ดังออกมาจากทางทิศตะวันตกยังคงดังอยู่ ไป๋เฉินละสายตากลับมาแล้วพูดกับหลงเยว่หง
“ไปกันเถอะ”
หลงเยว่หงผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม เดินตามไป๋เฉินกลับไปยังถนน
ขณะที่พวกเขาเพิ่งจะออกจากบริเวณที่เสาไฟชำรุด ก็พลันเห็นว่าที่หน้าร้านแห่งหนึ่งริมถนนอันมืดมิดนั้น มีเงาร่างหนึ่งกำลังก้มตัวอยู่ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่าทำอะไรกันแน่
คนผู้นั้นราวกับรู้สึกได้ว่าไป๋เฉินและหลงเยว่หงปรากฏตัวขึ้น จึงรีบหันขวับกลับมามอง
แล้วในวินาทีถัดมา ‘เขา’ ก็วิ่งพรวดพราดหนีไปทันที และเลี้ยวหายเข้าไปที่ตรอกด้านข้างในพริบตา
“ขโมยงั้นเหรอ” หลงเยว่หงคาดเดาออกมา
ไป๋เฉินไม่ได้ตอบคำ เธอเดินไปยังตำแหน่งที่เมื่อสักครู่เงาร่างนั้นยืนอยู่แล้วก้มลงไป จากนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมากองหนึ่ง
* * * * *
ภายในโกดังแห่งหนึ่งที่ถนนตะวันออก แสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาทางกระจกหน้าต่าง เผยให้เห็นเงาตะคุ่มของสิ่งของภายใน
“ให้เรียกคุณว่าอะไรดี” ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วถามเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่ยืนอยู่ในตำแหน่งจุดตัดของแสงเงา
“เฉินซวี่เฟิง” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองตอบอย่างสงบนิ่ง
ถึงอย่างไรที่เขาบอกไปก็ไม่ได้เป็นนามแฝงที่ตนนั้นใช้อยู่ในเมืองหญ้าไพร จึงไม่กังวลว่าจะถูกเปิดโปง
“เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า” เจี่ยงไป๋เหมียนแนะนำพวกของตนอย่างรวบรัด
ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ชื่อนี้คุ้นๆ นะ”
ซางเจี้ยนเย่ารีบถามต่อด้วยความกระตือรือร้นโดยไม่ได้รอเฉินซวี่เฟิงตอบ
“คุณรู้จักเฉินเสียนอวี่หรือเปล่า”
“หือ นั่นพ่อผมเอง!” เฉินซวี่เฟิงตกตะลึง
ได้เจอคนรู้จักเข้าแล้ว!
ซางเจี้ยนเย่ายิ้ม
“ชั้น 495”
“ใช่ ใช่ ใช่ ฉันเป็นลูกคนสุดท้องของบ้านตระกูลเฉิน” เฉินซวี่เฟิงหัวเราะออกมาก่อนจะถามกลับ “คุณก็อยู่ชั้น 495 ด้วยเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างแรง
“ผมน่าจะเคยบีบแก้มลูกสาวคุณด้วย”
“อะไรนะ” เฉินซวี่เฟิงงุนงงไปเล็กน้อย
“เธอน่ารักจ้ำม่ำดีนะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า “ราวสองปีก่อน ปู่เฉินพาเธอไปเล่นที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ อยู่บ่อยๆ แต่พอเธอเข้าโรงเรียนประถมก็เลยไม่ค่อยได้เจอกันอีก”
“สองปีก่อนเหรอ อ้อ ตอนนั้นผมเพิ่งถูกส่งมาที่นี่ ภรรยาผมก็ต้องทำงานเกือบตลอดเวลา ผมเดาว่าคงมีแต่คนรุ่นอาวุโสที่จะคอยดูแลเธอ ก็อย่างที่คุณรู้แหละ โรงเรียนอนุบาลของบริษัทเลิกเรียนค่อนข้างเร็ว” เฉินซวี่เฟิงพอจะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างคร่าวๆ
จากนั้นเขาก็พูดด้วยความ ‘ไม่พอใจ’
“แล้วไปบีบแก้มเธอทำไม ตอนนั้นเธอเพิ่งจะห้าขวบเอง”
“ตอนช่วงที่ปู่เฉินยุ่งๆ อยู่ ถ้าหากพวกเราอยู่ด้วยกันก็จะเล่นเกมกัน ใครแพ้จะถูกบีบแก้มหรือตบมือ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง
“อย่างนี้นี่เอง…” เฉินซวี่เฟิงยิ้มแล้วพูดต่อ “พวกเราสองคนห่างกันสิบปีใช่ไหม สงสัยว่าตอนคุณยังเด็กอยู่ อาจจะเคยถูกผมแกล้ง นี่คงเป็นการล้างแค้นสินะ”
คนทั้งคู่คุยกันอย่างมีความสุข ต่างก็ค่อยๆ รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นสามารถเชื่อใจได้
ถึงแม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความรู้สึกที่เฉินซวี่เฟิงจากบ้านมาสองปีและแทบจะอดใจรอถามไถ่สุขภาพพ่อแม่ไม่ไหว รวมถึงสถานการณ์ของภรรยาและการเติบโตของลูกสาว ทว่าเธอก็รู้ว่ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องสนทนากันก่อน ดังนั้นจึงต้องขัดจังหวะ ‘เพื่อน’ จากบ้านเกิด
“พี่เฉิน คุณพอจะรู้สาเหตุที่ทีมก่อนหน้านี้หายตัวไปหรือยัง”
“เฮ้ อย่าเรียกผมว่าพี่เลย คุณเป็นหัวหน้าทีม อย่างน้อยก็ต้องอยู่ระดับ D6 ล่ะ ผมยังอยู่ห่างจากระดับนั้นอีกเยอะ” เฉินซวี่เฟิงรู้สึกปลาบปลื้มอยู่บ้างที่ถูกเรียก
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปฏิเสธ และถามขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ระดับไหนแล้ว”
“D5 รับผิดชอบเครือข่ายข่าวกรองของที่นี่ ฮ่า ฮ่า แต่ก็มีกันอยู่แค่ไม่กี่คนเองแหละ” เฉินซวี่เฟิงยิ้มแล้วถอนใจ “รอไว้ครบกำหนดเมื่อไหร่ก็จะได้ย้ายกลับ ก็น่าจะได้เลื่อนขั้น”
‘ผานกู่ชีวภาพ’ ค่อนข้างใจกว้างต่อพนักงานที่ส่งออกไปปฏิบัติงานภายนอก
“นั่นก็ไม่ต่างจาก D6 มากเท่าไหร่หรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม “เรามาคุยธุระกันก่อนดีกว่า”
“อืม” เฉินซวี่เฟิงหยิบกองเอกสารออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทบทวนความจำ “ก่อนที่บริษัทจะแจ้งมา ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่ามีทีมที่เดินทางมายังเมืองหญ้าไพร คุณก็รู้ว่าพวกเรามีระดับปฏิบัติการเท่ากัน ไม่ได้มีใครอยู่ใต้ใคร”
“ใช่ นี่ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะมาปฏิบัติภารกิจที่นี่ หากต้องการความช่วยเหลือจากคุณ เราก็ต้องส่งโทรเลขกลับไปที่บริษัทก่อน แล้วให้คนระดับบนสั่งการลงมา” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันจำได้ว่าโทรเลขฉบับสุดท้ายที่ทีมนั้นส่งกลับไปที่บริษัท บอกว่าพวกเขามาถึงเมืองหญ้าไพรแล้ว หวังว่าจะได้พบกับผู้สูงอายุบางคนที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับตอนที่โลกเก่าถูกทำลาย”
เธอกำลังสงสัยว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทีมนั้นพบเหตุไม่คาดฝันหลังจากที่ได้พบกับผู้สูงอายุผู้นั้น
เฉินซวี่เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย
“ตอนที่ผมได้รับโทรเลขจากบริษัท พวกเขาก็หายไปนานกว่าสองสัปดาห์แล้ว เบาะแสส่วนมากก็ถูกทำลายไปหมดแล้ว ไม่มีทางสืบสวนต่อได้เลย”
“แต่ก็ยังพอได้ข้อมูลบางอย่างนิดหน่อย” จากนั้นเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พวกเขาเป็นทีมห้าคน ชายสามหญิงสอง ผมลองพยายามถามหาจากโรงแรม ร้านเหล้า สืบเสาะถามไถ่จากคนนั้นคนนี้ว่ามีกลุ่มคนลักษณะนี้เข้ามาพักในช่วงนั้นบ้างไหม สุดท้ายก็ได้เจอบางอย่างเข้าจริงๆ”
“พวกนักล่าอารยะก็มีกลุ่มชายสามหญิงสองได้ไม่ใช่เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถาม
เฉินซวี่เฟิงหัวเราะ
“แหงล่ะ ก็ต้องมีอยู่แล้ว แถมยังมีมากกว่าหนึ่งทีมด้วยนะ
“แต่หลังจากที่เปรียบเทียบแยกแยะอย่างระวังแล้ว ผมก็มั่นใจว่าเป็นกลุ่มที่พักที่ร้านสุราเมอรี่ ในเมืองหญ้าไพรเนี่ย ที่นั่นถือว่าค่อนข้างดีเลยล่ะ ช่วงเวลาที่พวกเขาเข้าพักก็เป็นเวลาเดียวกับที่บริษัทได้รับโทรเลขครั้งสุดท้ายด้วย”
พูดถึงตรงนี้ เฉินซวี่เฟิงก็เสริมขึ้นอีก
“เหตุผลที่คนในร้านสุราเมอรี่จำพวกเขาได้ก็เพราะว่าทีมของพวกเขานั้นหญิงก็สวยชายก็หล่อ ต่างจากพวกนักล่าทั่วไป
“พูดอีกอย่างก็คือ หลังจากที่การปรับปรุงพันธุกรรมได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย พวกคนหนุ่มสาวของบริษัทเราก็กลายเป็นทัศนียภาพที่สวยงามน่ามอง!”
“คุณก็ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วไม่ใช่เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามขึ้นมาทันที
เฉินซวี่เฟิงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจยาว
“เฮ้อ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้นพ่อแม่อายุมากแล้ว หรือไม่ก็เป็นปัญหาจากร่างกายตัวเอง ผลของการปรับปรุงพันธุกรรมก็เลยไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ข้อดีเพียงประการเดียวก็คือมันทำให้ผมดูกลมกลืน ยากที่จะจำหน้าผมได้ อ้อ ยังมีอีก ก็คือเรื่องทักษะในการปลอมตัวและตามแกะรอย”
“อย่างน้อยก็ยังสูงกว่า 175 นะ” ซางเจี้ยนเย่าปลอบเขาอย่างจริงใจ
เฉินซวี่เฟิงนั้นสูงพอๆ กับเจี่ยงไป๋เหมียน
แหม… ช่างสมกับเป็นเพื่อนรักของหลงเยว่หงซะเหลือเกิน… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบกลอกตาเงียบๆ ในขณะที่ไม่มีใครสนใจตนเอง
จากนั้นเธอก็ขัดจังหวะการพูดคุยสนทนาระหว่างซางเจี้ยนเย่าและเฉินซวี่เฟิงอีกครั้ง
“จากข้อเท็จจริงที่ว่าทีมนั้นเลือกพักที่ร้านสุราเมอรี่ แสดงว่าตอนที่เข้ามาในเมืองหญ้าไพร พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องเจออันตราย หรือไม่ก็คิดว่าไม่มีศัตรูซ่อนอยู่ที่นั่น”
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้กังวลใจ ทำอะไรอย่างเปิดเผย
“ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน” เฉินซวี่เฟิงกลับเข้าสู่หัวข้อสนทนาหลัก “จากข้อสันนิษฐาน เรื่องที่เขาจะทำต่อไปก็น่าจะเป็นเรื่องที่เปิดเผย จึงยังมีโอกาสตามรอยต่อได้”
เขาถือกองเอกสารขึ้นมาแล้วพูดต่อ
“ผมติดต่อเจ้าหน้าที่ในสมาคมนักล่าเพื่อตรวจสอบว่ามีทีมห้าคนที่ลักษณะคล้ายคลึงกัน เข้ามารับภารกิจในช่วงเวลานั้นบ้างหรือเปล่า
“คำตอบก็คือ ไม่มี”
เนื่องจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่หายตัวไปนั้นไม่ได้ปกปิดร่องรอยตนเอง ดังนั้นหากพวกเขาจะรับภารกิจจากสมาคมนักล่า ก็ย่อมจะไม่แบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ สองสามกลุ่มอย่างแน่นอน
เฉินซวี่เฟิงเล่าต่อโดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนซักถาม
“แต่หลังจากตรวจสอบก็พบว่าพวกเขาลงทะเบียนเป็นนักล่า พวกเขาทุกคนต่างก็เป็น ‘นักล่าทางการ’ กันหมดแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ลองเดาดูสิว่าผมตรวจพบได้ยังไง
“พวกเขาใช้ชื่อจริง” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ลังเล
“…” เฉินซวี่เฟิงชะงักไปชั่วครู่ “ใช่! พวกเขาทำตามระเบียบเป๊ะเลย”
“นี่แสดงให้เห็นว่าการกระทำของพวกเขาในช่วงนี้ จะไม่ได้ก่อเรื่องที่เป็นอันตรายอะไร หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขากำจัดอันตรายไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกปลอดภัย” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา
นี่ทำให้สิ่งที่ทีมในเมืองหญ้าไพรประสบเข้านั้น มีโอกาสที่จะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนยิ่งขึ้น
เฉินซวี่เฟิงไม่ได้แสดงความคิดเห็น เขาเล่าต่อ
“ผมใช้เงินไปจำนวนหนึ่ง ทำให้ได้รับรูปของพวกเขามา เป็นรูปที่ถ่ายตอนลงทะเบียนเป็นนักล่าซากอารยะ รวมถึงทุกภารกิจที่พวกเขาทำเสร็จทั้งหมด
“พวกคุณเอากลับไปดูก็แล้วกัน”
ขณะที่พูดเขาก็ยื่นกองเอกสารให้เจี่ยงไป๋เหมียน
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนยื่นมือออกไปรับ
เฉินซวี่เฟิงครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ
“ผมยังมีเบาะแสอย่างอื่นอีกที่สืบมาได้
“เรื่องแรกคือพวกเขาเคยไปที่บาร์วิหคเหิน เกิดการกระทบกระทั่งกับลูกค้าในนั้นสองสามคน แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร นั่นเป็นคืนที่สองที่พวกเขาเข้ามาในเมืองหญ้าไพร
“เรื่องที่สองคือพวกเขาได้เข้าพบสมาชิกระดับสูงของสมาคมนักล่าท้องถิ่น ผมเพิ่งเจอเรื่องนี้เมื่อวานนี้เอง แต่ยังต้องสืบต่อเพื่อให้รู้ว่าเป็นใคร
“เรื่องที่สามคือดูเหมือนว่าพวกเขาเข้าไปในถนนเหนือ มีคนรับใช้ในคฤหาสน์เจ้าเมืองที่ออกมาซื้อของเป็นประจำเคยเห็นกลุ่มคนที่มีลักษณะแบบนี้
“เรื่องที่สี่…”
เมื่อพูดคำว่า ‘สี่’ ออกมา สีหน้าของเฉินซวี่เฟิงก็ค่อนข้างเคร่งเครียด
“จากคำบอกเล่าของบริกรร้านสุราเมอรี่ พวกเขาคืนห้องด้วยตัวเอง
“นั่นคือสองวันก่อนที่บริษัทจะให้ผมสืบสวน”
“พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ราวสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้พวกเขายังคงเคลื่อนไหวอยู่ในเมืองหญ้าไพร แต่ไม่ได้ส่งโทรเลขกลับไปบริษัท ซึ่งเวลาที่หายตัวไปจริงๆ นั้นไม่ได้นานอย่างที่พวกเราคิดกันอย่างนั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
‘ทีมสำรวจเก่า’ ทีมนั้นต่างจากพวกเขาเพราะว่ามีเครื่องรับส่งโทรเลขเป็นของตัวเอง ซึ่งตามระเบียบแล้วจะต้องติดต่อกับบริษัททุกสัปดาห์ และยิ่งกว่านั้น ช่วงหลังจากสองสัปดาห์สุดท้ายไปไม่กี่วัน ทางบริษัทก็ยังส่งโทรเลขมาสอบถามสถานการณ์อีกด้วย
“นี่มันแปลกมาก” เฉินซวี่เฟิงพูดยืนยัน
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว
“และในช่วงนี้ก็มีคนบอกผมว่าเคยเห็นคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยอยู่ในเมือง อ้อ เป็นสองภาพที่อยู่บนสุดเลยน่ะ”
ภายใต้สภาพแสงในตอนนี้ ไม่มีทางที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะมองเห็นภาพได้เลย ดังนั้นเธอจึงไม่ได้มองดูภาพ แต่กลับ ‘พูดกับตัวเอง’ อย่างครุ่นคิด
“ไม่รู้ว่าเป็นคนที่หน้าคล้ายหรือเปล่า หรือว่ามีคนปลอมตัวเป็นพวกเขา หรือว่าที่จริงแล้วพวกเขาไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ”
“เราไม่มีทางยืนยันได้เลย” เฉินซวี่เฟิงไม่ได้หลับหูหลับตาตัดสินใจ
“ยังมีเบาะแสอื่นอีกไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ
“ตอนนี้ยัง” เฉินซวี่เฟิงส่ายหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อ้อ” แล้วถามว่า
“การวางเพลิงห้องสมุดเมื่อตอนเที่ยงนั่นมันเรื่องอะไรกันเหรอ”
เฉินซวี่เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ในเมืองมีพวกเสียสติมากขึ้น ก็คือพวกที่พร่ำสอนว่าที่โลกเก่าถูกทำลายก็เพราะว่าการแสวงหาความรู้และละเมิดข้อห้ามบางอย่าง พวกนั้นต้องการให้ทุกคนเลิกอ่านหนังสือที่หลงเหลือมาจากโลกเก่า”
หลังจากที่พวกเขาสนทนาหารือเกี่ยวกับภารกิจและตกลงเรื่องวิธีการสื่อสารหลังจากนี้กันเสร็จแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เล่าให้เฉินซวี่เฟิงฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ของครอบครัวตระกูลเฉิน จากนั้นต่างก็โบกมือลากันอย่างไม่เต็มใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนพาซางเจี้ยนเย่าเดินรอบเมืองไปหนึ่งในสี่ก่อนจะเลี้ยวกลับมาในตรอกที่ตั้งของ ‘ร้านปืนอาฝู’
เมื่อกลับเข้าห้องมา พวกเขาก็เห็นไป๋เฉินกับหลงเยว่หงกำลังนั่งมองดูกองกระดาษ
“นี่อะไรน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
“ใบปลิว” ไป๋เฉินยื่นกระดาษในมือส่งให้หัวหน้าทีม
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่ามองดูกระดาษพร้อมๆ กัน และอ่านเนื้อหาที่อยู่บนนั้น
“ความรู้คือยาพิษ ความคิดคือกับดัก…
“อย่าจับหนังสือไม่ว่าจะเป็นเล่มไหน…
“อย่าซ้ำรอยความผิดพลาดของโลกเก่า…”
มีวงกลมล้อมรอบคำว่า ‘ซ้ำรอย’ และมีเส้นขีดเพื่อแก้ไข
แก้ไขเป็นคำว่า…
‘ช้ำลอย’
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ช่างเป็นนักอุดมคติกันซะจริง”