รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 14 แดนร้างบึงดำ
จวบจนกระทั่งรถจี๊ปขับพ้นจากบานประตูสีขาวเงินไปแล้ว ทั้งซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงถึงจะปรับตัวเข้ากับแสงด้านนอกได้ พวกเขาต่างก็ลดมือขวาลง เบิ่งตามองออกไปนอกหน้าต่าง
หลังจากที่เริ่มตั้งหลักจากความกลัวที่อธิบายไม่ถูกได้แล้ว พวกเขาก็ได้เห็นฟ้าใสที่แต่งแต้มไปด้วยปุยเมฆขาวสารพัดรูปร่าง หมู่นกที่บินเปลี่ยนแปลงรูปขบวน แนวเทือกเขาที่ส่องประกายด้วยแสงสีทองจางๆ ของดวงอาทิตย์
“พระอาทิตย์… พระอาทิตย์!” หลงเยว่หงตะโกนใส่ลูกไฟสีส้มขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
เขาจ้องมองดูแม้จะรู้สึกแสบตาจนน้ำตาไหล แต่ก็อดละสายตาออกไม่ได้
“อย่ามองพระอาทิตย์ตรงๆ แบบนั้น เดี๋ยวก็ตาบอดหรอก! ถ้าอยากมองล่ะก็.. เอ้า” เจี่ยงไป๋เหมียนคุ้ยหาของจากกล่องใต้ที่พักแขนแล้วยื่นให้หลงเยว่หง
หลงเยว่หงที่แนบอยู่กับหน้าต่างรถหันหน้ากลับมามองก็เห็นแว่นตาที่มีกระจกสีดำ
“…แว่นกันแดด!” เขานึกถึงสิ่งที่เรียนมา และพบกับชื่อที่ใช้เรียก
“ถ้านายไม่เอา งั้นฉันเอาเอง” ในตอนนั้นซางเจี้ยงเย่าหันมาแล้วพูด
หลงเยว่หงหันไปมองแล้วก็เห็นซางเจี้ยนเย่าตาแดงก่ำราวกับจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
“ฮ่า ฮ่า นายก็มองพระอาทิตย์ด้วยเหรอ” หลงเยว่หงอดขำไม่ได้
ในวินาทีถัดมาเขาเห็นซ่างเจี้ยนเย่าคว้าแว่นกันแดดแล้วเอาไปวางไว้บนดั้งจมูกตัวเอง
“เฮ้ย…” หลงเยว่หงไม่รู้ว่าจะโกรธดีหรือแย่งแว่นกลับมาดี
“ยังมีอีกอัน” ขณะที่หลงเยว่หงกำลังจะตะครุบใส่ซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉินที่นั่งข้างคนขับก็ยื่นแว่นกันแดดอีกอันส่งให้เขา
แว่นกันแดดอันนี้มีความวิจิตรมากกว่าของเจี่ยงไป๋เหมียน มันเหมือนกับเป็น ‘หัวใจ’ สองดวงยึดไว้ด้วยกัน เลนส์แว่นตาไม่ได้ดำสนิทแต่เจือสีแดงเล็กน้อย
“อย่าทำหักเชียวนะ ฉันต้องใช้ของตั้งเยอะถึงจะแลกมาได้” ไป๋เฉินเตือนเขา
“ขอบคุณ” หลงเยว่หงขอบคุณเธออย่างจริงใจแล้วสวมแว่น
ด้วย ‘อุปกรณ์’ ชิ้นนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถมองสังเกตพระอาทิตย์ได้อย่างละเอียดและนึกเปรียบเทียบกับรูปภาพที่เคยเห็นจากเครื่องฉายสไลด์
“นี่คือพระอาทิตย์…” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หลงเยว่หงถอนหายใจ เขาถอดแว่นกันแดดออกแล้วส่งคืนให้ไป๋เฉิน
ซางเจี้ยนเย่าเองก็ละสายตากลับมาแล้วค่อยๆ บรรจงวางแว่นกันแดดของเจี่ยงไป๋เหมียนกลับไปในกล่องใต้ที่พักแขน
“นายคิดอะไรอยู่” หลงเยว่หงเหลือบมองเพื่อนสนิท
ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันกำลังคิดว่าที่ตลาดไม่มีขาย แล้วจะไปหาแว่นได้จากไหนล่ะ”
คนในอาคารใต้ดินนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ของแบบนี้ มีเพียงทีมที่ออกปฏิบัติการเท่านั้นถึงจะใช้ ดังนั้นใน ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ หรือตลาดแผงลอยขนาดเล็กของ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ชั้น 495 จึงไม่เคยมีของสิ่งนี้ขาย
เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังขับรถอยู่ก็ถอนหายใจออกมา
“คิดไว้แล้วเชียวว่านายต้องไปโฟกัสผิดเรื่องแหง”
ไป๋เฉินพูดพลางยิ้ม
“เอาไว้ตอนที่พวกเราผ่านนิคมของคนเร่ร่อนในแดนร้าง จะแวะเข้าไปดูหน่อยก็ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเอาบิสกิตอัดแข็งไปแลกแว่นดีๆ กลับมาก็ได้นะ”
“ของฉันเองก็ใช้วิธีนี้หามา!” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดสนับสนุน “แล้วทำไมเธอถึงต้องเอาของไปแลกเยอะนักล่ะ”
“ฉันได้มาจากนักล่าซากอารยะหญิงคนนึง ตอนนั้นเธอเห็นว่ามันสวยดี อยากเก็บไว้ใช้เอง แล้วเธอก็ไม่ได้ขาดเสบียง” ไป๋เฉินเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้ตั้งใจฟัง พวกเขาพิงกระจกหน้าต่างจ้องมองทิวทัศน์ด้านนอก
ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่สองข้างทางก็ดี กระรอกสีน้ำตาลที่บังเอิญวิ่งผ่านก็ดี พวกเขาล้วนมองดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“นี่มันไม่เหมือนกับสภาพแวดล้อมของแดนธุลีที่ฉันจินตนาการไว้เลย…” หลังจากไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หลงเยว่หงก็ขยับขึ้นมานั่งตัวตรง แล้วถอนหายใจ
“แล้วนายจินตนาการไว้ยังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างไม่จริงจังขณะที่รถจี๊ปแล่นกระเด้งกระดอนไปบนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
หลงเยว่หงพยายามเค้นสมองคิดหาคำพูด
“แบบว่า… คือ…”
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้ามาแล้วช่วยอธิบาย
“มืดครึ้ม หนาวเหน็บ เปียกชื้น หดหู่ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝุ่น แสงอาทิตย์ส่องไม่ทะลุผ่านชั้นเมฆ ทุกอย่างเทาๆ ทึมๆ”
“ใช่ ใช่ ใช่! แบบนั้นเลย!” หลงเยว่หงเห็นด้วยแบบเต็มร้อย
ในหนังสือเรียนไม่ได้อธิบายสภาพแวดล้อมของแดนธุลีอย่างละเอียด แต่พูดถึงเพียงแค่สภาวะของมลพิษ โรคภัยไข้เจ็บและความอดอยากเท่านั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทำให้พวกเขามีภาพจำของสภาพแวดล้อมที่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงของแดนธุลี
สำหรับพนักงานที่เคยขึ้นไปที่พื้นโลก เขาไม่สามารถเล่าอะไรได้มากนักเนื่องเพราะมาตรการรักษาความลับ ถึงแม้บางทีพวกเขาจะบอกว่ามีแสงอาทิตย์และอากาศดี แต่คนที่ฟังอยู่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้ข้อศอกควบคุมพวงมาลัยและมองไปข้างหน้า เธอหัวเราะคิกคัก
“บางทีในช่วงแรกๆ ตอนที่โลกเก่าถูกทำลายลงอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่มันก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเพียงพื้นที่บางส่วนเท่านั้นแหละที่มีสภาพแบบนั้น”
“และพื้นที่นั่นหมายถึงอันตราย มันคือมลพิษ โรคร้าย และการกลายพันธุ์” ไป๋เฉินกล่าวเสริม
“เป็นอย่างนี้นี่เอง…” หลงเยว่หงแนบหน้ากับกระจกหน้าต่างอีกครั้ง ชื่นชมกับฉากอันงดงามตระการตาของภูเขาและป่าไม้ที่อาบไล้ด้วยแสงแดด
ซางเจี้ยนเย่าเองก็เช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองผ่านกระจกมองหลัง แล้วแอบหัวเราะ ก่อนจะกดปุ่มอะไรสักปุ่ม
มีเสียงบิ๊บ แล้วกระจกหน้าต่างทั้งสี่บานก็เลื่อนลงด้านล่าง
หลงเยว่หงสะดุ้งตกใจ ผงะยืดตัวขึ้น
“มัน… มัน…
“เปิดหน้าต่างไว้แบบนี้จะดีเหรอ”
“ให้พวกนายสูดอากาศไง” เจี่ยงไป๋เหมียนแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่ได้แกล้งพวกเขา
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้มีทีท่าอะไรเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเขากำลังอิ่มเอมกับความรู้สึกที่กระจกหน้าต่างเลื่อนลงผ่านหน้าเขา เห็นแล้วช่างน่าขบขัน
จากนั้นเขาก็หรี่ตาและสูดหายใจยาว
“เป็นไงบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยรอยยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่ามองดูข้างนอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“กลิ่นเหมือนกับขี้สดๆ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนยอมรับว่าซางเจี้ยนเย่านั้นยอดเยี่ยมเรื่องการดมกลิ่น แต่ไม่อยากจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย
ไป๋เฉินที่เห็นเจี่ยงไป๋เหมียนเปิดกระจกรถ ครุ่นคิดก่อนพูดเปลี่ยนเรื่อง
“หัวหน้า คุณเกิดเมื่อไหร่”
“น.ศ. 23 ทำไมเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบแบบสบายสบาย
“คุณอ่อนกว่าฉันตั้ง 3 ปี…” ไป๋เฉินตกใจเล็กน้อย
หลงเยว่หงกลับประหลาดใจยิ่งกว่า
“หัวหน้า คุณแก่กว่าพวกผมแค่สองปี
“ได้เป็นถึงระดับ D6 แล้ว!”
“นี่คือข้อดีของการทำงานในแผนกความมั่นคงไงล่ะ อันตรายน่ะใช่ แต่การเลื่อนตำแหน่งก็เร็วมาก สุดท้ายแล้วหัวหน้าพวกนายอย่างเช่นฉันคนนี้ จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดติดตลก
เธอหยุดนิดหนึ่ง ก่อนเสริมแบบไม่เป็นทางการ
“นอกจากนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันก็เคยสร้างผลงานไว้บ้างเหมือนกัน
“อ้อ ลืมเตือนพวกนายไปว่าการสังเกตสีของอากาศเป็นเรื่องสำคัญมาก บางครั้งก็ต้องสวมหน้ากากกันแก๊สไว้ล่วงหน้าด้วยนะ”
ครึ่งชั่วโมงถัดมา รถจี๊ปก็แล่นผ่านป่าเขาลำเนาไพร ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเหมือนกับเป็นเด็ก มองดูทิวทัศน์ด้านนอกอย่างตั้งใจ อะไร อะไร ก็ดูตื่นตาตื่นใจไปหมด
เมื่อเห็นผืนดินข้างหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ต้นไม้รอบๆ ค่อยๆ บางตาลง ถนนไม่ได้ขรุขระอีก หลงเยว่หงก็พลันขมวดคิ้วพูดขึ้น
“ฉันรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมข้างนอกมีบางอย่างไม่ค่อยปกติ เหมือนขาดอะไรไป…”
ซางเจี้ยนเย่านั่งตัวตรงพูดด้วยเสียงทุ้มแต่ไม่ต่ำ
“ไม่มีคน”
ไม่มีคน… ใช่แล้ว! หลงเยว่หงตบต้นขาฉาดแล้วพูดต่อ
“ใช่แล้ว นอกจากด่านรักษาการณ์ไม่กี่จุดที่ผ่านมาแล้ว ก็ไม่มีมนุษย์ซักคน!”
คนในด่านรักษาการณ์ย่อมต้องเป็นพนักงานของบริษัทอย่างไม่ต้องสงสัย
“คนแถวนี้ถ้าไม่ถูกทางบริษัทดูดซับไป ก็ร่อนเร่ไปแหล่งอื่นที่มีอาหาร หรือไม่ก็…” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พอเลยป้อมข้างหน้าไปแล้วจะเข้าสู่พื้นที่ของแดนร้างบึงดำของจริง ที่นั่นถึงจะมีโอกาสเจอมนุษย์มากขึ้น”
“แต่นั่นคงไม่ใช่อะไรที่พวกนายอยากเจอนักหรอก…” ไป๋เฉินเสริมด้วยเสียงต่ำโดยไม่ได้หันหน้ามา
“เธอว่าอะไรนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามาถาม
“หัวหน้า ตั้งใจขับรถหน่อย!” ไป๋เฉินสงบสติอารมณ์แล้วตะโกนด้วยรอยยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็เงียบกันไปแล้ว ในบางครั้งบางคราวก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างดูทิวทัศน์ค่อยๆ เปิดโล่งขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านนานแค่ไหน จู่ๆ หลงเยว่หงก็ถามขึ้น
“หัวหน้า ผมยังไม่ได้บอกที่บ้านเลยว่าจะออกไปฝึกภาคสนาม ช่วงนี้จะไม่ได้กลับบ้านซักพัก จะทำไงดีเนี่ย”
“เดี๋ยวไว้เบื้องบนก็ส่งคนไปแจ้งให้แหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองถนนข้างหน้า ดึงพวงมาลัยเบาๆ
หลงเยว่หงหุบปากตนเอง
ในรถจี๊ปเกิดความเงียบอีกครั้งเป็นเวลาเนิ่นนาน
พอเลยป้อมชายแดนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ออกมา ภูมิประเทศด้านหน้าก็ราบเรียบขึ้นเรื่อยๆ
ดินที่นี่มีสีดำอมเทาและค่อนข้างอ่อนนุ่ม มีร่องรอยสารพัดปรากฏอยู่มากมาย บ้างก็มาจากล้อรถ บ้างก็มาจากสัตว์ และบ้างก็มาจากมนุษย์
ต้นไม้ข้างถนนเริ่มบางตา ทำให้มองเห็นหนองน้ำสีดำได้จากระยะไกล
ลำต้นของต้นไม้พวกนี้เป็นสีดำ มีใบสีเขียวเข้ม บางต้นสูงมาก อย่างน้อยก็ 20-30 เมตร บางต้นก็เตี้ยมาก สูงราวๆ ระดับศีรษะคน สิ่งที่ดูเหมือนๆ กันก็คือมันหงิกงอบิดเบี้ยวดูประหลาดพิลึกพิลั่น เหมือนซากศพสัตว์ประหลาด จากภายใต้แสงอาทิตย์มองดูแล้วดำมืดไปหมด
“ที่ริมบึงน้ำยังไม่ต้องระวังอะไรมาก แต่พอเข้าไปลึกๆ ต้องชะลอความเร็วและคอยสังเกตทางให้ดีเผื่อว่าถนนข้างหน้าถูกบึงน้ำกลืนไปแล้ว ถ้าเราเผลอขับเข้าไปล่ะก็คงต้องทิ้งรถแล้วถอยกลับสถานเดียว” ไป๋เฉินถือโอกาสบรรยายให้สองหนุ่มฟัง “หัวหน้า ตรงนั้นมีแหล่งน้ำสะอาดอยู่”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า
“ดีเลย งั้นพักกันซักหน่อย จะได้เติมน้ำด้วย
“พื้นที่แถวนี้เปิดโล่งดูไม่มีอันตราย ไว้พอพักเสร็จแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง พวกนายถือก็โอกาสหัดขับรถเลยละกัน
“หวังว่าพวกนายจะขับกันเป็นภายในวันนี้”
เธอหักพวงมาลัยพารถจี๊ปเข้าไปในพื้นที่ป่าโปร่งในแดนร้าง
ที่ตรงนี้มีแม่น้ำใต้ดินที่ไหลออกมาสู่พื้นผิว แล้วไหลต่อไปหลายร้อยเมตรก่อนที่จะกลับลงไปสู่ใต้ดินอีกครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนหยิบเอาแผงชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งไว้บนหลังคารถจี๊ปและกาน้ำร้อนที่มีขนาดไม่เล็ก เดินไปยังริมแม่น้ำ เธอพูดกับซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หง
“ธารน้ำใต้ดินแบบนี้โดยปกติก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราต้องคอยสังเกตไว้สองอย่าง
“อย่างแรกคือมีพวกพืชที่กลายพันธุ์อย่างชัดเจนอยู่ในละแวกใกล้ๆ หรือเปล่า อย่างที่สองคือดูว่าพวกสัตว์ในน้ำมีหน้าตาดูแปลกไปจากสายพันธุ์ของมันหรือเปล่า
“ถ้าผ่านเงื่อนไขสองข้อนี้แล้วก็ให้ต้มน้ำก่อนแล้วค่อยใส่ในถุงน้ำ ถ้าต้มไม่ได้ก็ให้ใส่ ‘ยาฆ่าเชื้อชีวภาพ’ ลงไปในน้ำ”
หลังจากสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนก็นั่งยองที่ริมน้ำแล้วเติมน้ำลงในกาน้ำร้อนจนเต็ม
จากนั้นก็วางกาน้ำร้อนลงบนแท่นชาร์จพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชาร์จไว้แล้วเสียบปลั๊ก
ในระหว่างขั้นตอนนี้ก็หยิบขวดพลาสติกสีขาวออกมา เท ‘ยาฆ่าเชื้อชีวภาพ’ ขนาดเท่าเล็บนิ้วก้อยออกมาหนึ่งเม็ดแล้วโยนลงไปในน้ำ
นี่คือ ‘ยาฆ่าเชื้อชีวภาพ’ แบบพิเศษของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’
หลงเยว่หงมองดูอยู่ด้านข้างอย่างตื่นเต้นเหมือนอยากจะลองทำด้วยตัวเอง
สำหรับเขาที่ต้องไป ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ทุกวันเพื่อเอาน้ำร้อน นี่นับเป็นเรื่องแปลกใหม่
ครอบครัวของเขามีหลายคน โควต้าพลังงานสำหรับเด็กก็มีจำกัด กาน้ำร้อนเองก็ไม่ใช่ของถูก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเอากระติกน้ำร้อนไปเติมน้ำที่ห้องน้ำร้อนในตลาด
หลังจากจัดการเสร็จแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยืนขึ้นเหลือบมองหลงเยว่หงแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ตอนนี้สิ่งที่นายควรทำก็คือหยิบ ‘มอสน้ำแข็ง’ ออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดๆ จู่โจมเรา หรือฉกเสบียงของเราไป
“นี่ไม่ต้องนับไป๋เฉิน รายนั้นประสบการณ์เพียบ เห็นไหมว่าซางเจี้ยนเย่าก็คอยระวังรอบๆ อยู่”
หลังจากดึงเอาปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ออกมา ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังมองดู ‘ต้นน้ำ’ จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
“หัวหน้า ทางนั้นมีเงาคนพุ่งไป!”