รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 142 แลกเปลี่ยนข้อมูล
“หือ” หลงเยว่หงหวนนึกถึงเรื่องที่เคยประสบพบเจอแล้วถามด้วยความตกใจ “หัวหน้ากำลังจะบอกว่าที่เถ้าแก่ ‘ร้านเสื้อผ้าเก่า’ นั่งสัปหงก นั่นเป็นเพราะพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้งั้นเหรอ ‘นักล่าชั้นสูง’ คนนั้นสืบหาเบาะแสจากความฝันใช่ไหม”
“ก็แค่ ‘อาจจะ’ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ฉันก็คิดไม่ออกแล้วว่าทำไมโอดิคถึงยืนยันได้ตั้งแต่ก่อนที่เบาะแสจะถูกประกาศออกมาเสียอีก ว่ามือปืนมีผู้หญิงเป็นผู้ช่วย แล้วยังตามรอยไปจนถึงห้องเช่าของหลินเฟยเฟยได้ แถมรู้อีกด้วยว่าพวกเราเข้าไปค้นห้องมาแล้ว”
ในตอนนี้ไป๋เฉินซึ่งฟังอย่างเงียบๆ มาตลอดก็พูดขึ้น
“ใครก็ตามที่กลายเป็น ‘นักล่าชั้นสูง’ ได้ในวัยสามสิบ ยังไงก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้วล่ะ”
หากไม่ใช่ด้านความแข็งแกร่งของทีม ก็เป็นทรัพยากรจากเครือข่าย บ้างก็อาศัยความแข็งแกร่งของตนเองเพียงลำพัง
“นั่นสินะ” หลงเยว่หงยอมรับแนวคิดที่ว่า ‘นักล่าชั้นสูง’ คนนั้นเป็นผู้ตื่นรู้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง
พึงรู้ว่าไป๋เฉินนั้นต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสามารถก้าวข้าม ‘นักล่าทางการ’ กลายเป็น ‘นักล่าชั้นกลาง’ ได้ และกว่าจะถึง ‘นักล่าชั้นสูง’ ก็ยังมี ‘นักล่าอาวุโส’ คั่นกลางอยู่อีก
นักล่าซากอารยะในระดับสูงนั้น ยิ่งสูงก็ยิ่งเลื่อนระดับยากขึ้นเรื่อยๆ แต้มนักล่าที่ต้องการก็เพิ่มเป็นทวีคูณ ในระดับต้นๆ นั้น หากว่าโชคดี บางทีรับภารกิจเพียงแค่หนึ่งหรือสองครั้งก็สามารถยกระดับจาก ‘นักล่ามือใหม่’ ไปเป็น ‘นักล่าทางการ’ ได้แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย และเตือนขึ้นมา
“ถ้าหากว่าทีหลังเกิดไปเจอหมอนั่นอยู่ใกล้ๆ ก็ระวังไว้ว่าอย่าไปอยู่ที่เปลี่ยว ยิ่งมีคนมากก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้น”
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงมีความกลัวอยู่บ้าง เธอก็พูดเสริม
“นี่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตพวกนายตกอยู่ในอันตรายสักหน่อย เพียงแค่ว่าความลับหลายๆ เรื่องในใจอาจจะไม่สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้ก็เท่านั้นเอง”
ยามที่คนเราตกอยู่ในความฝันก็ยากที่จะควบคุมตัวเองว่าอะไรควรคิดหรือไม่ควรคิด
หลังจากที่พูดคุยเรื่องนี้จบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็นับธนบัตรจำนวน 50 ออเรย์จากในปึกแล้วยื่นส่งให้ไป๋เฉิน
“เอาไปซื้อกระสุนกับเสบียงที่สามารถเก็บรักษาได้นานหน่อยนะ”
ถึงแม้ว่าระหว่างการเดินทางมายังเมืองหญ้าไพรนั้นจะไม่ได้พบพานกับศัตรูมากนัก แต่ก็ใช้กระสุนไปไม่น้อย
นี่เป็นเพราะว่าทุกๆ สองสามวันพวกเขาจะต้องหยุดพักเพื่อฝึกซ้อมยิงปืน ป้องกันไม่ให้ฝีมือทื่อด้านจนทำอะไรติดขัดในยามที่เกิดเรื่องขึ้น
มือปืนยอดฝีมือนั้น พรสวรรค์ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องหนึ่งก็คือการถลุงลูกกระสุนอย่างไม่ยั้ง
“ทำไมต้องซื้ออาหารเพิ่มด้วยล่ะ” หลงเยว่หงถามเพราะไม่เข้าใจ
เมืองหญ้าไพรนั้นมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และหลากหลาย
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“บางทีฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้
“ไม่ว่าจะเป็นการหายตัวไปของเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟย องค์กรที่เผยแพร่แนวคิดว่าความรู้คือยาพิษ การเสียชีวิตของพ่อค้าข่าวหลิวต้าจ้วง การปรากฏตัวของคนที่คาดว่าน่าจะเป็น ‘นิรันดร์กาล’ แล้วก็ยังเรื่องการเกี่ยวพันกับ ‘นักล่าชั้นสูง’ อีก
“พอมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ก็เลยทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเค้าลางบอกเหตุว่าพายุใหญ่กำลังจะมา
“หากว่าไม่เกิดเรื่องอะไรก็ดีไป แต่ถ้าเกิดวิกฤตอะไรขึ้นมา ยิ่งมีอาหารมากยิ่งมีกระสุนมากก็จะยิ่งทำให้เรามีโอกาสรอดมากขึ้น”
“ฟังดูมีเหตุผล…” หลงเยว่หงครุ่นคิดใคร่ครวญแล้วก็เห็นด้วยอย่างมาก
เขารู้สึกว่านี่จะช่วยรับประกันความปลอดภัยให้ตนเองได้
แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ
“ภารกิจของพวกนายก็คือเติมเสบียงเติมกระสุน ส่วนฉันกับซางเจี้ยนเย่าจะกลับไปที่สมาคมนักล่าดูว่ามีเบาะแสอะไรเพิ่มหรือเปล่า เอาไว้ตอนเที่ยงพอไม่มีใครอยู่ในตรอกแพรแดงแล้ว พวกเราค่อยไปหาเถ้าแก่ ‘ร้านเสื้อผ้าเก่า’ กัน”
พูดมาถึงตรงนี้เธอก็ยิ้ม
“ส่วนภารกิจตามหาเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟย ก็ปล่อยให้นักล่าพวกนั้นทำไปก็แล้วกัน”
นี่ไม่ใช่ว่าเป็นกลยุทธ์อะไรหรอก หลักหลักก็คืออาศัยจำนวนคนไปตามสืบหา เจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเสียแรงไปทำเอง ถึงอย่างไรก็มี ‘อาสาสมัคร’ จำนวนมากคอยทำแทนให้อยู่แล้ว
ในเมื่อรู้กันแล้วว่ามีผู้หญิงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด อีกไม่นานนักทางสมาคมนักล่าก็จะรู้ว่าหลินเฟยเฟยสวมหมวกสวมหน้ากาก ถือกระเป๋าเดินทางสีดำ ออกจากห้องเช่าเข้าไปที่ตรอกเขาเหลือง ไปที่ถนนใต้
ถึงแม้ว่าการแต่งกายเช่นนี้จะค่อนข้างพิเศษและสะดุดตา ทว่าก็มีคนเพียงไม่มากที่จะจำได้หากไม่ได้หยุดมอง นี่เป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่มักจะใส่ใจกับอะไรที่ปรากฏซ้ำๆ ในสายตาตนเองเท่านั้น อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาเพียงแค่สบตากันแวบเดียวแล้วก็แยกจากกันไป
* * * * *
เมื่อแยกจากหลงเยว่หงกับไป๋เฉินแล้ว ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าก็กลับไปยังสมาคมนักล่าอีกครั้ง แล้วนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ริมห้องโถงอีกหน เพื่อรอคอยผลการสืบสวนที่เกิดขึ้น
“รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนระดับสูงของสมาคมเลยแฮะ” เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งรอไปเรื่อยๆ หัวเราะออกมา “พวกเรานั่งรอกันสบายสบาย ปล่อยให้คนอื่นวิ่งหากันขาขวิด”
ซางเจี้ยนเย่าเงยหน้าขึ้นมองไปที่เพดาน
“งั้นพวกเราเปลี่ยนที่ดีไหม”
“นายไม่กลัวว่าพอขึ้นไปแล้วจะไปเจอกับรองประธานที่ชื่อคริสติน่านั่นหรือไง ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกลับมาแล้วหรือยัง” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่า จึงถามหยอกล้อ
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ผมคิดมาแล้ว ผมเต้นรำกับเธอได้”
“พูดอะไรของนายละเนี่ย ฉันหมายถึงเรื่องความสัมพันธ์ต่างหากล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างสนอกสนใจ “แม่บุญธรรม พี่น้อง เพื่อนรู้ใจ คนคอเดียวกัน พ่อกับลูกสาว”
เธอยังไม่ทันพูดจบก็พลันเห็นว่า ‘นักล่าชั้นสูง’ ที่ชื่อโอดิค เข้าประตูมา เขามองไปรอบๆ แล้วเดินตรงเข้ามาหา
โอดิคที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำเนื้อผ้าหนามองที่วัตถุโลหะในหูของเจี่ยงไป๋เหมียน จึงพูดด้วยเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
“ผมจะใช้ข้อมูลเรื่องสถานที่ที่ผู้หญิงชื่อหลินเฟยเฟยถูกพบเห็นครั้งสุดท้ายมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณ
“แต่พวกคุณต้องรับรองก่อนว่ามันคุ้มค่าพอ”
“เร็วขนาดนั้นเชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนแกล้งทำเป็นแปลกใจ
เธอสงสัยว่าโอดิคใช้พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้จึงทำให้สามารถสืบสวนได้อย่างรวดเร็ว และพบเจอร่องรอยของหลินเฟยเฟยหลังจากที่เธอออกจากตรอกเขาเหลืองไป
มีเรื่องราวมากมายที่มนุษย์ไม่อาจจดจำได้ในขณะที่ตื่นอยู่ ทว่ากลับสามารถนึกออกได้ในยามที่หลับฝัน
ซางเจี้ยนเย่าตบมือขึ้นมา ไม่รู้ว่ากำลังชมใครกันแน่
โอดิคชะงักไปชั่วครู่กับเสียงตบมือของซางเจี้ยนเย่า เขาเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูดต่อ
“ผมมีวิธีของผม”
เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“ได้ ฉันรับรองได้ว่าพวกเราได้พบเบาะแสมีค่าในห้องนั้น
“แต่ถ้าคุณไม่เชื่อ เราสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ในรูปแบบของภารกิจ โดยมีสมาคมเป็นผู้รับรอง”
เธอเสนอทางเลือกอย่างหลังเพื่อต้องการให้เป็นตัวเลือกที่อีกฝ่ายจะไม่เลือก ถึงยังไงเธอก็ยังไม่อยากให้ทุกคนรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ เพราะนั่นอาจทำให้หลินเฟยเฟยและคนอื่นๆ ตกอยู่ในอันตรายได้
เหตุผลที่เธอเชื่อว่าโอดิคนั้นจะไม่เลือกก็เพราะเธอประเมินจากรูปแบบการทำงานและสถานภาพในปัจจุบันของคนผู้นี้ว่าเป็นคนที่มีคุณธรรมและมีความมั่นใจสูง
หรือไม่ก็อาจจะเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสละ
ตอนที่เถ้าแก่ ‘ร้านเสื้อผ้าเก่า’ นั่งสัปหงกอยู่นั้น ที่จริงแล้วเขาจะหยิบเสื้อผ้าแล้วออกไปเลยก็ได้
นอกจากนั้น หากว่าเขามีพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ที่ทำให้คนหลับและแทรกแซงความฝันได้ หลังจากที่ได้ข้อมูลมาแล้วก็เพียงแค่ปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นแล้วก็จากไปโดยไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าก็ได้
โอดิคพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ไม่ต้อง ถ้าไม่คุ้มค่า ผมจะใช้อย่างอื่นแทน”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินคำตอบ เธอก็แอบโล่งใจ เพราะเธอเองก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย
จากสถานการณ์นี้ เธอก็เข้าใจบุคลิกและพฤติกรรมของโอดิคได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“ตกลง” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
โอดิคผงกศีรษะเบาๆ แล้วชี้ไปที่ประตูทางเข้าออก
“ไปคุยข้างนอกก็แล้วกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนลุกขึ้นยืนอย่างไม่ช้าไม่เร็วและลอบชำเลืองซางเจี้ยนเย่าก่อนจะใช้นิ้วชี้ถูกับนิ้วหัวแม่มือ
นี่เป็นสัญญาณว่าให้เริ่มแผนสอง
เตรียมตัวไว้ ถ้ามีอะไรผิดปกติ ให้รีบใช้พลังพิเศษทันที!
พึงรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นผู้ตื่นรู้ ซึ่งมีพลังในเขตแดนของการนอนหลับและความฝัน
สำหรับเจี่ยงไป๋เหมียนนั้น เธอวางตัวเองเป็นตัวดึงความสนใจและเป็นเป้าหมายอันดับแรกให้อีกฝ่ายลงมือเพื่อจะได้ซื้อเวลาให้กับซางเจี้ยนเย่า
ถึงแม้ว่าเธอจะมีความมั่นใจ และค้นคว้าทำการบ้านในเรื่องของผู้ตื่นรู้มาไม่น้อย ทว่าในระยะใกล้ขนาดนี้ เธอรู้ตัวดีว่าคงไม่อาจป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ จำต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากซางเจี้ยนเย่าด้วย
นี่เป็นเพราะว่าพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้นั้นมีหลากหลายมากเกินไป รวมถึงการทำให้หัวใจหยุดเต้นและลบความทรงจำด้วย ซึ่งถ้าไม่รู้ข้อมูลมาก่อนหน้า ย่อมไม่อาจจะหาวิธีรับมือได้
เมื่อออกมาจากสมาคมนักล่าเข้าไปยังถนนใต้แล้ว โอดิคก็ลดมือลงแล้วพูดขึ้น
“หลินเฟยเฟยพกกระเป๋าเดินทางสีดำออกจากตรอกเขาเหลือง ตอนแรกไปที่ถนนใต้และต่อไปยังจัตุรัสกลาง หลังจากนั้นก็เลี้ยวไปทางถนนตกและเดินเข้าไปในตรอกนั้น”
พูดมาถึงตอนท้าย โอดิคก็เหยียดมือซ้ายชี้ไปยังตรอกที่อยู่เยื้องไป
นั่นคือปากทางตรอกแห่งหนึ่ง ระยะทางห่างจากสมาคมนักล่าไปไม่ถึง 40 เมตรในแนวเส้นตรง สองฟากมีบาร์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราสองแห่ง ชื่อว่า ‘วิหคเหิน’ และ ‘พฤกษ์ไพร’
“บาร์วิหคเหิน…” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดชื่อออกมาด้วยเสียง ‘เบา’
โอดิคคิดว่าเธอกำลังถาม จึงเสริมขึ้น
“ตรอกนี้มีชื่อว่า ‘หมาป่าไพร’ แต่เดิมไม่ได้ชื่อนี้หรอก มาเปลี่ยนในภายหลัง ข้างในมีสถานที่จำพวกบาร์อยู่มากมาย พวกตลาดมืดของเมืองหญ้าไพรเองก็ซ่อนอยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน
“ผมลงแรงไปไม่น้อยกว่าจะหาพยานสองสามคนมาได้ ก่อนจะยืนยันได้ว่าหลินเฟยเฟยอยู่ที่ไหน แต่ได้ถึงตรงนั้นก็ตันแล้ว
“คนในตรอกหมาป่าไพรไม่ได้ตื่นเช้า เลยทำให้ไม่มีพยานรู้เห็น ตอนนี้พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าหลินเฟยเฟยเข้าตรอกไปหรือว่าไปที่อื่น หรือว่าเข้าไปในบาร์กันแน่”
“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะหยิบใบปลิวออกมาจากกระเป๋าตัวเอง
“นี่ก็คือสิ่งที่พวกเราเจอในห้องที่หลินเฟยเฟยเช่าไว้ มันอยู่ใต้เตียง” เธอยื่นใบปลิวให้โอดิคแล้วจับตามองสีหน้าของเขาอย่างตั้งใจ
หากสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเกี่ยวข้องกับองค์กรที่เผยแพร่แนวคิดว่าความรู้ก็คือยาพิษ เธอจะให้ซางเจี้ยนเย่ารีบ ‘สร้างเพื่อน’ ทันที!
เมื่อโอดิครับใบปลิวมาก็คลี่กระดาษออก หลังจากอ่านแล้วก็พลันขมวดคิ้วขึ้นทีละน้อย
“พวกเขา…”
“คุณรู้จักเหรอ” ภายในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนวูบไหว เปิดปากถามขึ้น
ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเลื่อนขั้นจนกลายเป็น ‘นักล่าชั้นสูง’ ในสมาคมนักล่าได้นั้น ไม่ว่าจะมีความแข็งแกร่งในด้านใดก็ตาม ทว่าเรื่องความรอบรู้นั้นย่อมมีไม่น้อย
สายตาของโอดิคกวาดไปมาระหว่างเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าอยู่สองรอบ ก่อนจะพูดอย่างครุ่นคิด
“แนวคิดแบบนี้ คำขวัญแบบนี้ คล้ายกับองค์กรศาสนาที่เคลื่อนไหวอยู่ที่นี่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา”
“พวกเขาเรียกว่าอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาด้วยความคิดที่ว่าถามไว้ก็ไม่เสียหลาย
โอดิคตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“นิกายทอนปัญญา”