รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 143 ปัจฉิมมรรตัย
ถึงแม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนพอจะจินตนาการได้ว่าชื่อของนิกายนั้นอาจจะแตกต่างไปจากเนื้อหาในใบปลิว และแม้กระทั่งมีการสะกดคำผิดบ้าง ทว่าเคยไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะใช้ชื่อว่า ‘ทอนปัญญา’ อย่างเปิดเผยขนาดนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าพวกเขาอาจจะพอใจที่ถูกคนอื่นเรียกว่าเป็นพวกปัญญาอ่อนก็ได้
“ทำไมถึงชื่อแบบนี้ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามกลั้นหัวเราะแล้วถามอย่างจริงจัง
ซางเจี้ยนเย่าตอบออกมาตัดหน้าโอดิค
“ถ้าทำให้สติปัญญาของทุกคนลดน้อยถอยลง พวกเขาก็จะได้กลายเป็นคนที่ฉลาดขึ้นมา”
โอดิคเหลือบมองดูคนที่พูดจาไร้สาระผู้นี้ ไม่รู้ว่ากำลังพูดเล่นหรือว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่จะเข้าร่วมกับนิกาย ‘ทอนปัญญา’ กันแน่
หลังจากถอนหายใจยาว โอดิคก็อธิบายสั้นๆ
“ก็อย่างที่หลายคนรู้นั่นแหละว่าพวกนิกายทอนปัญญาเชื่อกันว่าการที่โลกเก่าถูกทำลายลงไปเป็นเพราะผู้คนในสมัยนั้นได้ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับเรื่องต้องห้ามหลายอย่าง จนทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้น
“ยิ่งกว่านั้น พวกเขาเริ่มมีความเชื่อที่เลยเถิดไปอีก เชื่อว่ามนุษย์นั้นรอบรู้มากเกินไป ใช้ทรัพยากรมากเกินไป ถ้าคนในโลกเก่าไม่ใช้ความคิด ไม่เพิ่มสติปัญญา ไม่อ่านหนังสือ ไม่เรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ ก็จะไม่มีทางไปสำรวจในเรื่องต้องห้ามได้ ไม่มีทางนำมนุษย์ไปสู่วันสิ้นโลก ไม่มีทางทำให้เกิดวันโลกาวินาศขึ้นมา
“พวกเขายังเชื่ออีกว่าการปรากฏขึ้นของ ‘โรคไร้ใจ’ และการดำรงอยู่ของ ‘คนไร้ใจ’ นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่พิบัติภัย แต่ยังเป็นนิมิตแห่งการรู้แจ้งที่เหล่าผู้ครองกาลประทานมาให้อีกด้วย เมื่อใดที่มนุษย์เสื่อมถอยลงไปจนถึงระดับสติปัญญาของ ‘ผู้ไร้ใจ’ เมื่อนั้นโลกใหม่ก็จะมาถึงและเปิดประตูออก
“ดังนั้นนิกายทอนปัญญาจึงเผยแพร่แนวคิดที่ว่าความรู้คือยาพิษ ความคิดคือกับดัก หวังว่าจะเผาตำราทุกเล่ม กำจัดสถานศึกษาทุกแห่ง เพื่อให้ผู้คนดำรงชีวิตโดยใช้เพียงสัญชาตญาณและประสบการณ์ที่ได้รับการสอนสั่งจากพ่อแม่เท่านั้น
“ส่วนเรื่องภายภาคหน้านั้น อย่างเช่นการสำรวจ ก็เพียงแค่ทำตามวิวรณ์แห่งผู้ครองกาล หรือฟังการชี้นำจากเหล่าผู้ถูกเลือกไม่กี่คนก็พอแล้ว
“สำหรับพวกเขานั้น การคิดก็คือบาป”
เมื่อฟังจนถึงตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ผงกศีรษะ และตัดสินพวกเขาออกมาอย่างกระตือรือร้น
“งั้นพวกเขาต้องเป็นพวกโกหกหลอกลวงแน่นอน”
“ในแดนธุลีนั้น ผู้คนมีเรื่องต้องวิตกกังวลมากเกินไป บางทีการเลิกคิดนู่นคิดนี่อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้มีความสุขก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยน้ำเสียงเชิงเสียดสีและสะท้อนใจ
สุดท้ายแล้วเธอก็ถามต่อ
“พวกนิกายทอนปัญญานับถือผู้ครองกาลองค์ไหนเหรอ”
โอดิคครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะตอบ
“‘ปัจฉิมมรรตัย[1]’
“ผู้ควบคุมเดือนสาม ‘ปัจฉิมมรรตัย’”
“ปัจฉิมมรรตัย… มนุษย์คนสุดท้าย… ฉันจำได้ว่าคำนี้อยู่ในงานเขียนเชิงปรัชญาของโลกเก่าฉบับหนึ่ง หมายถึงคนที่ฐานะต่ำต้อย โง่เขลา ธรรมดาสามัญ คิดแบบทาส” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกทบทวนความจำ[2]
โอดิครู้สึกประหลาดขึ้นมาทันที เขาเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่า ‘ปัจฉิมมรรตัย’ นั้นมีความหมายเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่าเป็นคำที่เต็มไปด้วยปริศนาลึกลับ สมกับเป็นนามแห่งผู้ครองกาล
หลังจากนิ่งเงียบไปสองสามวินาที โอดิคก็มองดูทุกคนรอบๆ ก่อนจะจบการสนทนา
“ก็ประมาณนี้แหละ หวังว่าในภายหน้าพวกเรายังมีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันใหม่”
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกตัวขึ้นมา จึงถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมคุณถึงปล่อยให้พวกเราถามตั้งเยอะแยะล่ะ
“เราให้เบาะแสคุณไปแค่เรื่องเดียวเอง”
“เบาะแสของพวกคุณมีค่ามากกว่าข้อมูลที่ผมให้ไป” โอดิคพูดออกมาอย่างสุขุม
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
แต่แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมาทันที
“พ่อคุณเป็นชาวแดนธุลีเหรอ หรือว่าแม่”
คำถามข้อนี้ทำให้โอดิครู้สึกนิ่งอึ้งไปในทันที ไม่รู้ว่าทำไมหัวข้อสนทนาถึงวกมาจนถึงเรื่องนี้ได้
ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับแต่ประการใด เขาจึงตอบออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เป็นพ่อผมน่ะ”
“เขาแซ่อะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกตื่นเต้น
โอดิคยิ่งรู้สึกงุนงงมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วตอบเสียงต่ำ
“แซ่โอว”
เขาเริ่มตื่นตัวขึ้นทันทีเมื่อพบสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ เพราะเขาเคยพบกับผู้ตื่นรู้มามากมายหลายคน เขารู้ดีว่าบางครั้งอันตรายก็มาในรูปแบบของข้อความธรรมดา
“พรืด…” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา “อย่างนั้นชื่อของคุณก็คือ…”
ในเมื่อเขาแซ่โอว อย่างนั้นก็ชื่อว่า ‘ดิค’[3] ซึ่งถ้าเรียกชื่อแซ่ติดกันก็ฟังแล้วเหมือนเป็นชื่อในภาษาแม่น้ำแดง
“อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย” ซางเจี้ยนเย่าใช้กำปั้นขวาทุบลงไปที่ฝ่ามือข้างซ้าย แสดงสีหน้าว่าฉันเดาถูกจริงๆ ด้วย
“…” โอดิคกวาดสายตามองเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าสลับไปมาหลายครั้งราวกับว่ากำลังมองดูคนที่สมองผิดปกติ มีปัญหาทางจิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาหันหลังเดินกลับไปยังห้องโถงของสมาคมนักล่า
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูเขาเดินจากไป และพูดโดยไม่ได้หันหน้ากลับมามอง
“นายไม่ได้ ‘สร้างเพื่อน’ กับเขาเลยด้วยซ้ำ”
“เขาตอบมาเยอะแล้วน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจ
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ “ในเรื่องการใช้พลังพิเศษ นับว่านายยังมีมโนธรรมอยู่บ้าง ไม่ได้ ‘สร้างเพื่อน’ กับหัวหน้าคาราวานการค้าเฟอร์ลินเพื่อล้วงความลับส่วนตัว เพียงแค่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออำนวยความสะดวกในการขอความร่วมมือกับรับประกันความปลอดภัยให้ตัวเองเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้มีปัญหาอะไร
“ส่วนโอดิคก็เล่าทุกเรื่องที่เขาพูดได้ให้เราฟังหมดแล้ว การ ‘สร้างเพื่อน’ กับเขา อย่างมากก็แค่ช่วยให้เรารู้ว่าเขาเป็นผู้ตื่นรู้หรือเปล่า มีพลังพิเศษทั้งสามอย่างเป็นอะไรบ้างและสละอะไรไป ถ้าเขาไม่ได้แสดงท่าทีที่มุ่งร้ายหมายขวัญต่อเรา ทางที่ดีก็อย่าทำเลยดีกว่า จะได้ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์”
เธอใช้โอกาสนี้สอนสั่งซางเจี้ยนเย่าเพื่อช่วยให้เขามีทัศนคติทั้งสาม[4]ที่ถูกต้อง
นี่เป็นความรับผิดชอบของหัวหน้าทีม
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับมาสามคำ
“หวังเป่ยเฉิง”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนพลันอับอายกลายเป็นโทสะ แต่ก็รู้ตัวขึ้นมาทันที “นั่นฉันเพียงแค่สมมติหรอกย่ะ ไม่ได้จะอัดเขาจริงๆ เสียหน่อย!”
ซางเจี้ยนเย่ามองมือซ้ายของเจี่ยงไป๋เหมียนที่ยกขึ้นมาแล้วรีบเบี่ยงสายตาไปมองที่ตรอกหมาป่าไพร
“ไม่รู้ว่าบาร์พวกนั้นจะเปิดกันตอนไหน”
“นายคิดจะไล่ถามไปทีละร้านเกี่ยวกับหลินเฟยเฟย หรือคิดจะไปเต้นรำทีละร้านให้หมดล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทงใจ
ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในบาร์นี่ เขาเต้นกันด้วยเหรอ”
“ไม่ต้องมาแกล้งโง่เลย เมื่อคืนทำอย่างกับว่านายไม่ได้ยินเสียงเพลงดังออกมางั้นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนเปิดโปงเจตนาแฝงของซางเจี้ยนเย่าออกมาอย่างไร้ความปรานี
ถึงแม้ว่าการศึกษาระดับมูลฐานของบริษัทจะไม่ได้พูดถึงว่าภายในบาร์สามารถทำเรื่องอื่นได้นอกเหนือไปจากการดื่ม ทว่าเสียงเพลงจากถนนตะวันตกนั้นยังคงดังอยู่จนกระทั่งตีสองตีสามถึงจะเงียบสนิท คนที่มีสมองปกติดีย่อมสามารถเชื่อมโยงได้อยู่แล้ว
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าพูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ
“เรื่องนี้ปล่อยให้เสี่ยวไป๋จัดการเถอะ เธอคุ้นเคยกับตลาดมืดที่นี่ รู้ดีว่าควรจะไปถามใคร”
“อืม” ซางเจี้ยนเย่าค่อนข้างเศร้าใจ แต่เขาก็เห็นด้วยว่าคนที่เหมาะสมที่สุดในทีมที่จะจัดการเรื่องนี้ก็คือไป๋เฉิน
“ไปกันเถอะ ไม่ต้องไปรอที่สมาคมอีกแล้ว ช่วงนี้คงยังไม่มีเบาะแสอะไรใหม่หรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินนำไปยังจัตุรัสกลาง เตรียมที่จะทำการ ‘สำรวจประเพณีท้องถิ่นเมืองหญ้าไพร’
นี่คือการบ้านนอกหลักสูตรซึ่งเธอสั่งตัวเองให้ทำ
ระหว่างที่เดินอยู่นั้น จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันหัวเราะร่า
“ในทีมเราเนี่ย นอกจากนายแล้วทุกคนก็มีสีอยู่ในชื่อกันหมดเลย ต้าไป๋ เสี่ยวไป๋ แล้วก็เสี่ยวหง[5]มีนายคนเดียวที่ไม่เข้าพวก
“ชื่อผมเป็นสีของแสงอาทิตย์” ซางเจี้ยนเย่าตอบสวนขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“นั่นสินะ ‘เย่า’ แปลว่าแสงอาทิตย์นี่นา…”
* * * * *
เมื่อถึงเวลาเย็น ไป๋เฉินที่พันผ้าพันคอสีเทาก็พาหลงเยว่หงไปยังตรอกหมาป่าไพร
เทียบกับตอนเช้าแล้ว ที่นี่ในเวลานี้ดูคึกคักกว่ามา เสียงเพลงดังไปทั่วทุกแห่งหน ผสานกันเป็นท่วงทำนองที่ครึกครื้น
พวกนักล่าซากอารยะจำนวนมากที่ชีวิตยืนอยู่ขอบเหว มีวันนี้ไม่มีพรุ่งนี้ จึงไม่มัวแต่กังวลทุกข์ใจ ขอเพียงในมือมีเงินมีวัตถุปัจจัยอยู่บ้าง ย่อมอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดื่มด่ำปรนเปรอตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นสุราหรืออ้อมกอดจากสาวๆ หรือหนุ่มๆ ทำให้ลืมเลือนความโหดร้ายของชีวิตไปได้ชั่วคราว ไม่ต้องคิดว่าพรุ่งนี้จะไปทำภารกิจอะไร ไปเสี่ยงภยันตรายที่ไหน หรือจะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือไม่
ในเมืองหญ้าไพรที่ซึ่งสมาคมนักล่าค่อนข้างทรงอิทธิพลเป็นอย่างมาก จึงทำให้ธุรกิจบาร์และไนต์คลับในท้องที่พลอยรุ่งเรืองเงินสะพัดตามไปด้วย
บนแดนธุลีนั้น ถึงแม้ว่าในช่วงเวลานี้จะมีนิคมคนเร่ร่อนจำนวนมากที่อาหารขาดแคลนจนแทบไม่เพียงพอต่อการประทังชีวิต ทว่าที่นี่กลับยังสามารถนำอาหารและผลไม้บางส่วนมากลั่นสุราได้
และในขณะเดียวกัน สำนักงานเทศบาลเมืองหญ้าไพรเองก็ยังร่วมมือเปิดไฟเขียวให้ โดยแบ่งเขตของถนนสายนี้ให้อยู่นอกเขตที่พักอาศัย แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ไม่ถูกตัดไฟ
ภายใต้หลอดไฟกะพริบวูบวาบ ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงเดินเข้าไปในไนต์คลับที่ชื่อว่า ‘วันนี้’ พวกเขาเดินอ้อมพื้นที่เต้นรำกลางร้านซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนที่เต้นยักย้ายส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่งจนมาถึงด้านหน้าของเคาน์เตอร์บาร์
ไป๋เฉินงอนิ้วแล้วเคาะลงไปบนเคาน์เตอร์เจ็ดครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ออเรย์ทองคำสองแก้ว”
นี่คือเหล้าองุ่นชนิดหนึ่ง เหตุผลที่ชื่อว่าออเรย์ทองคำก็เพราะว่าในปฐมนครนั้นมันเป็นที่นิยมกันมาก เฉกเช่นเดียวกับธนบัตร ‘ออเรย์’ ที่ใครๆ ก็ชื่นชอบ
บาร์เทนเดอร์ซึ่งกำลังเช็ดแก้วอยู่นั้นก็พลันเงยหน้าขึ้นมามองไป๋เฉิน
“ผมมีคำแนะนำที่ดีกว่านั้น”
“อะไรเหรอ” ไป๋เฉินถามอย่างให้ความร่วมมือ
บาร์เทนเดอร์หัวเราะ
“ยอดข้าว
“คุณลองชิมดูได้ แค่ออกไปทางด้านหลังนี่เอง”
แล้วเขาก็ชี้ไปยังประตูไม้ที่ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นทางเข้าไปห้องครัวที่อยู่อีกฟากหนึ่ง
“ได้สิ” ไป๋เฉินหมุนตัวไป
ในตอนนี้บาร์เทนเดอร์ก็เคาะเคาน์เตอร์เป็นจังหวะโดยแบ่งเป็นยาวสี่สั้นสามสลับกัน รวมทั้งหมดแปดครั้ง
ไป๋เฉินไม่ได้หันหน้ากลับมา เธอรู้ว่านี่เป็นรหัสลับที่บาร์เทนเดอร์บอกกับเธอ ซึ่งหมายถึงว่ารหัสลับที่ใช้เป็นสัญญาณติดต่อกันนั้นเปลี่ยนไปแล้ว จะต้องใช้รหัสนี้ในการติดต่อกันในครั้งถัดไป
เมื่อผลักเปิดบานประตูที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องครัว ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็เดินผ่านห้องที่เต็มไปด้วยกองขยะและทางเดินแคบๆ มองเห็นชายกำยำสองคนในชุดดำถือปืนกลมืออยู่
หลังจากที่แสดงรหัสลับที่ถูกต้อง พวกเขาก็ปล่อยให้ผ่านเข้าไปยังบันไดลงสู่ใต้ดิน
ข้างในนั้นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่มาก มีโต๊ะ เก้าอี้ และข้าวของอย่างอื่นอยู่มากมาย มีผู้คนหลายสิบนั่งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ พูดคุยสนทนากับมิตรสหายรอบตัวอย่างมีความสุขภายใต้แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์
ที่นี่ราวกับเป็นสถานที่ชุมนุมส่วนตัวในที่รโหฐานมากกว่าจะเป็นตลาดมืด แตกต่างไปจากจินตนาการของหลงเยว่หงอย่างสิ้นเชิง
ไป๋เฉินกวาดสายตาไปทั่วเพื่อมองหาคนที่เหมาะสมสำหรับถามคำถามว่าเคยพบเห็นหลินเฟยเฟยแถวเขตบาร์บ้างหรือไม่
แล้วสายตาเธอก็พลันชะงักค้างทันที
บนโซฟาสีแดงแก่ มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน
เขามีความสูงตามมาตรฐานทั่วไป ราว 170 เซนติเมตร ทว่าด้วยแขนที่หนาเป็นลำ ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม มองเพียงแว่บเดียวก็รู้สึกได้ถึงความทรงพลัง
ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว ชายผู้นี้สวมเพียงเสื้อยืดแขนสั้นสีดำที่ทำจากผ้าฝ้ายและกางเกงขาสั้นแบบขากว้างสีสันสดใสอย่างไม่แยแสใส่ใจต่ออุณหภูมิรอบตัวอย่างสิ้นเชิง
เขาโกนศีรษะล้าน มีรอยสักรูปหมาป่าสีดำเหลือบเขียวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของปฐมนครอยู่บนหนังศีรษะ ใบหน้าดุร้ายน่ากลัวจนทำให้เด็กร้องไห้จ้าแม้ว่าจะยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ตาม
เขามีคนสองคนที่สวมชุดดำอยู่ด้านหลัง ดูแล้วน่าจะเป็นผู้คุ้มกันประจำตัว ที่เอวมีรอยตุงออกมา เห็นได้ว่ามีอาวุธซุกซ่อนเอาไว้
ชายซึ่งไม่อาจคาดเดาอายุได้อย่างเจาะจงผู้นั้นค่อยๆ เดินก้าวเข้ามาหาไป๋เฉิน พลางแสดงรอยยิ้มหยอกล้อ
“เธอหนีไปจริงๆ ด้วยสินะ
“แถมยังกล้ากลับมาที่นี่อีกด้วย”
สายตาของเขามีแต่ความเย็นชา ไม่มีรอยยิ้มในดวงตาแม้แต่น้อย
ร่างไป๋เฉินสั่นเทิ้มเล็กน้อย สูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมีตามปกติไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อหลงเยวห่งเห็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความกลัวอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ไม่อาจทนดูอยู่เฉยๆ ได้
หัวหน้าเคยบอกเอาไว้ว่าพวกเราต้องปกป้องซึ่งกันและกัน… หลงเยว่หงกัดฟันก้าวขึ้นไปขวางด้านหน้าไป๋เฉิน
ร่างกายเขาสั่นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังคงจ้องมองชายหัวล้านที่ดูดุร้ายอย่างไม่ยอมหลบสายตา
เอ่อ… ที่จริงฉันก็ไม่ได้เตี้ยสักเท่าไหร่นี่นา… เมื่อมองดูความสูงของชายเบื้องหน้า เขาก็ตระหนักถึงความจริงในเรื่องนี้ขึ้นมาได้
* * * * *
[1] ปัจฉิมมรรตัย (末人) แปลว่า มนุษย์คนสุดท้าย
[2] เป็นคำที่ปรากฏใน Thus Spoke Zarathustra ประพันธ์โดย Friedrich Wilhelm Nietzsche อธิบายถึงทฤษฎีที่ตรงกันข้ามกับสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า (Beyound-Man) ของ Übermensch
[3] โอดิค (Odick – 欧迪克) ถ้าแยกคำว่า ‘โอว’ ให้เป็นแซ่ จะมีชื่อว่า ‘ดิค’ (Dick) ซึ่งคำนี้หมายถึงอวัยวะเพศชาย
[4] ทัศนคติทั้งสาม (三观) ได้แก่ ทัศนคติต่อโลก (世界观) ทัศนคติต่อชีวิต (人生观) และทัศนคติต่อคุณค่า (价值观)
[5] เสี่ยวหง (小红) ชื่อของหลงเยว่หง มีคำว่า ‘หง’ ซึ่งแปลว่า (สี) แดง