รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 148 กรรมตามสนอง
“หือ ว่าไงนะ”
ไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียนที่แตะหูตนเองแล้วถามออกมา แต่เป็นซางเจี้ยนเย่า
ไป๋เฉินได้ยินแล้วพลันยืนตัวแข็งทื่อทันที จากนั้นก็ผลักประตูห้องเปิดแล้วเดินเข้าไปข้างในไม่พูดอะไรอีก
ในเวลาเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันขวับมาถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า
“ก็ช่วยพากษ์เสียงให้หัวหน้าไง” ซางเจี้ยนเย่าพูดออกมาอย่างจริงใจ
“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ยินที่เสี่ยวไป๋พูด แต่ก็พอจะเดาได้หรอกน่า นายนี่มันตัวทำลายบรรยากาศทำลายความรู้สึกจริงๆ เลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกปวดใจ “รู้ไหมว่านี่มันเป็นโอกาสดีแค่ไหนที่จะได้สร้างความเป็นทีมเวิร์คน่ะ!”
พูดไปพลาง เธอก็เปิดประตูเดินเข้าห้องไปพลาง
ครั้นพอปิดประตูลง สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปทันที หันมามองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ทำแบบนี้แล้ว สงสัยว่านายคงจะอดได้นอนกับเสี่ยวไป๋แล้วล่ะ
“ที่จริงในสถานการณ์แบบนี้ ถ้านายพูดอะไรที่ฟังแล้วอบอุ่นหัวใจหรือแสดงความกล้าหาญออกมา ไม่แน่ว่าพอเธออารมณ์ดีขึ้นแล้วอาจจะขอแลกห้องกับฉันก็ได้”
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม
“ไม่เหมาะสมหรอก”
“โอ้… รู้เรื่องนี้กับเขาด้วยเหรอเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดสายตามองซางเจี้ยนเย่าหัวจรดเท้า
“เธอไม่ชอบเต้นรำ พวกเราไม่เหมาะสมกัน”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เพียงแค่พูดเล่นหรือว่าคิดแบบนี้จริงๆ กันแน่
เธอจึงทำได้เพียงใช้หอกโจมตีใส่โล่เท่านั้น ยกคำพูดซางเจี้ยนเย่ามาสวนกลับไป
“ฉันคิดว่านายจะบอกว่าการมีคนรักจะส่งผลต่อปณิธานที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติเสียอีก”
“ความสัมพันธ์ของการหลับนอนด้วยกัน กับการเป็นคนรักนั่นมันคนละเรื่องกัน” ซางเจี้ยนเย่าใช้น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าคุณนั้น ‘ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย’ มาอธิบายให้ฟัง
“…แบ่งแยกชัดเจนเลยงั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าขืนยังถกกันเรื่องนี้ต่อ ไม่ว่ายังไงตนเองก็คงไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนเรื่องใหม่ทันที “ผลจากพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ของนายนี่แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนใช่ไหม
“หลังจากยูจีนกลายมาเป็น ‘ทาส’ ของนาย เขาก็มีท่าทางหวาดกลัวจริงๆ เหมือนกับถูกฝึกมานานจนเชื่อง รูปแบบมันไม่เหมือนกับถูกจำกัดว่า ‘คุณเป็นแบบไหน ฉันก็เป็นแบบนั้น’ อีกแล้ว ไม่ได้มีเพียงแค่หาจุดร่วมที่เชื่อมโยงกันแบบก่อนหน้านี้”
“สมัยก่อนก็ทำแบบนี้ได้แหละ แต่จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเป้าหมายและต้องเป็นเรื่องที่เคยขึ้นมาก่อนแล้วด้วย ข้อเท็จจริงที่แตกต่างกันก็จะส่งผลต่อการชักจูงที่แตกต่างกัน ไม่อาจจะเอนเอียงเพื่อเกิดประโยชน์กับตัวผมได้ ทำได้เพียงแค่เลือก หรือไม่งั้นก็ต้องสร้างมันขึ้นมาเอง” ซางเจี้ยนเย่าตอบคำถามหลังออกมาก่อน
ส่วนคำถามแรกนั้น คำตอบก็คือ…
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยูจีนถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“ตอนที่ใช้พลังกับคนคุ้มกันและคนขับรถ ผลมันก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งลงที่เตียงล่างแล้วครุ่นคิดใคร่ครวญ
“นั่นสินะ คืนนี้นายใช้พลังไปสามครั้ง สองครั้งแรกก็ไม่ได้ส่งผลอะไรที่เกินจริงมากกว่าทุกที
“บางที… ผลของ ‘ตัวตลกชักจูง’ อาจจะเกี่ยวข้องกับความนึกคิดจิตรับรู้ของเป้าหมายก็ได้
“ยูจีนนั้นจับทาสมานาน ฝึกทาสมามาก ในใจเขาย่อมต้องมี ‘มาตรฐาน’ สำหรับทาสที่ได้คุณภาพ แล้วพอตัวเขาเชื่อว่าตัวเองกลายเป็นทาสของนาย เขาก็เลยใช้ ‘มาตรฐาน’ นี้เพื่อควบคุมการกระทำของตัวเอง ดังนั้นก็เลยตัวสั่นหวาดกลัวและไม่กล้าต่อต้าน
“แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ถึงแม้ว่าจะคิดว่าตัวเองเป็นทาสของนาย แต่ก็คงไม่มีอาการอะไรขนาดนั้นเพราะไม่รู้ว่าทาสที่มีคุณสมบัติได้เกณฑ์มาตรฐานนั้นมีลักษณะเป็นยังไง จึงไม่สามารถลงลึกในรายละเอียดได้ ทำเพียงแค่ยอมรับในสถานภาพที่ต่ำต้อยกว่าเท่านั้น”
ซางเจี้ยนเย่าคิดตามและยอมรับ
“ก็เป็นไปได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“นี่เท่ากับว่าเป็นลูกติดพันของ ‘ตัวตลกชักจูง’ ที่มีการสะกดจิตตัวเองเสริมเข้าไปอีก ทำให้ส่งผลดีจนน่าแปลกใจ”
พูดถึงตรงนี้เธอก็หัวเราะออกมา
“แบบนี้ต้องเรียกว่ากรรมตามสนอง
“นายว่าไหมล่ะ ตลอดชีวิตของยูจีน เขาอาจจะไม่เคยฝึกทาสจนถึงตาม ‘มาตรฐาน’ ที่เขาตั้งไว้ก็ได้ ท้ายที่สุดแล้วทาสที่ถูกฝึกจนเข้าขั้น ‘มาตรฐาน’ ที่ตั้งไว้ก็คือตัวเองนั่นแหละ
“น่าสนใจ… น่าสนใจจริงๆ”
“ชีวิตคนเรานั้นล้วนขึ้นอยู่กับบุญกรรม ในช่วงเวลานี้…” ซางเจี้ยนเย่าเริ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบที่ใช้เล่าในรายการถ่ายทอด
“พอ… พอ… หยุดเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบขัดจังหวะเขาทันทีก่อนที่จะมีคำพูดที่เป็นลางไม่ดีออกมา
ซางเจี้ยนเย่านั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอย่างเศร้าใจ
หลังจากผ่านไปสองวินาที จู่ๆ เขาก็ถามออกมา
“ในเมื่อยูจีนเป็นคนที่ฝึกทาส งั้นใครที่เป็นคนซื้อล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ
“ที่จริงเรื่องนี้ฉันก็คิดเอาไว้แล้วแหละ แต่อย่าเพิ่งถามเลย เอาไว้รอให้เสี่ยวไป๋เล่าออกมาเองก็แล้วกัน
“เรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่เธอต้องการดัดแปลงพันธุกรรม…”
หลังจากเงียบกันไปครู่ใหญ่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ยังจำได้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร”
“ทบทวนหลังศึก หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นทุกครั้งจะต้องทบทวนหลังศึก” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ติดขัด
“ถูกต้อง” คิ้วของเจี่ยงไป๋เหมียนคลายออก “นายลองคิดทบทวนตั้งแต่เริ่ม ลองดูว่ามีจุดผิดพลาดตรงไหนบ้างที่จะทำให้ถูกตามรอยได้”
ซางเจี้ยนเย่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“คนคุ้มกันที่ถูกผมใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เป็นคนแรก
“ในตอนที่ยืนอยู่ที่ประตูด้านข้างของไนต์คลับ พอจะมีแสงสลัวอยู่บ้างและบางครั้งก็สว่างวูบวาบ ถึงแม้ว่าผมจะสวมหมวกแก๊ปอยู่ แต่เขาก็เตี้ยกว่าผมมาก ไม่น่าเกินร้อยเจ็ดสิบ มีโอกาสที่เขาอาจจะเห็นหน้าผมได้เหมือนกัน
“ในภายหลังเมื่อเขานึกทบทวนเรื่องนี้ขึ้นมา ก็น่าจะรู้ตัวว่าถูกชักจูง คงทำให้เรื่องพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ของผมถูกเปิดโปงออกมาในระดับหนึ่ง”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ
“ใช่แล้ว”
จากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา
“ดังนั้นตอนที่เริ่มเปิดฉากยิงเพื่อสร้างความวุ่นวาย ในสองสามนัดแรกฉันก็เลยหมายหัวหมอนั่นไว้ ป่านนี้คงนอนเฝ้ารากมะม่วงไปแล้วล่ะ”
ขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังคุยอยู่กับผู้คุ้มกันคนนั้น เธอก็จดจำใบหน้าท่าทางของอีกฝ่ายไว้เรียบร้อยแล้ว
“ส่วนทางยูจีนน่ะ พวกคนคุ้มกันที่เหลือค่อนข้างเป็นมืออาชีพ มักจะคอยหลบอยู่ในที่กำบัง ฉันก็เลยไม่ค่อยมีมุมให้เล็งยิง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ยืดเยื้อขนาดนั้นหรอก” พูดแล้วเธอก็ถอนใจ พูดกับซางเจี้ยนเย่า “ว่าต่อสิ”
ซางเจี้ยนเย่าเล่าไปตามขั้นตอน ลงลึกในรายละเอียด
“ตอนที่พวกเราวิ่งไปที่ลานจอดรถ ค่อนข้างเป็นจุดเด่นให้คนสนใจ น่าจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยได้ในภายหลัง”
“ตอนนั้นพวกเราวิ่งกันเร็วมาก แถมยังสวมหมวกไว้ด้วย ไฟถนนเองก็ไม่ค่อยสว่างเท่าไหร่ ไม่มีใครเห็นหน้าเราอย่างชัดๆ หรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“และตอนที่วิ่งนั่นฉันก็จงใจก้มตัวลงไปด้วย จะได้ทำให้พวกพยานที่รู้เห็นในตอนนั้นกะความสูงคลาดเคลื่อน เวลาอธิบายให้ปากคำก็จะเกิดความผิดพลาดทางการรับรู้”
“อ้าว ผมคิดว่าที่หัวหน้าวิ่งท่านั้นเพราะต้องการจะแข่งวิ่งให้ชนะผมเสียอีก” ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกแปลกใจ
เพื่อที่จะไม่ให้เจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งตามทัน เขาจึงเปลี่ยนไปใช้ท่าวิ่งที่คล้ายกัน นั่นทำให้เขาเพิ่มความเร็วได้อีกเล็กน้อย
“นี่นายคิดว่าฉันป่วยทางจิตด้วยหรือไงยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตวาดใส่อย่างฉุนเฉียว “ตอนนั้นพวกเราใส่เสื้อกลับด้าน บุคลิกลักษณะก็ต่างไปจากตอนกลางวันพอสมควร”
ส่วนในตอนที่พวกเขาอยู่ในไนต์คลับ ภายใต้แสงไฟเช่นนั้น สภาพแวดล้อมแบบนั้น และไม่ได้เข้าไปเต้นกับใคร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเห็นใบหน้าของพวกเขาที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกแก๊ปที่กดปีกหมวกต่ำปิดบังใบหน้าอยู่ตลอดเวลา อย่างมากสุดก็จำได้เพียงแค่ว่าทั้งคู่อยู่ที่นั่น
ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ
“ท้ายสุดก็เป็นคนขับ แต่ที่ลานจอดรถไม่มีแสงไฟ ผมเองก็คอยรักษาระยะห่างไว้ด้วย เขาไม่น่าจะเห็นหน้าผมได้นะ แต่ก็อาจเปิดเผยพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ของผมได้
“ผมบอกเขาไปว่าในคนคุ้มกันพวกนั้น มีคนทรยศมากกว่าหนึ่งคน ดังนั้นถ้าหากว่าภายหลังพวกคุ้มกันพบว่าเขายังอยู่ที่ลานจอดรถ ตอนนั้นเพิ่งจะผ่านช่วงเวลาวิกฤตเป็นตาย เขายังถูกความเครียดกดดันอยู่ ก็อาจจะยิงออกไปจนเริ่มการต่อสู้รอบใหม่ได้…”
“นับว่าทำได้ไม่เลว ตราบใดที่เชื่อมโยงมาไม่ถึงตัว พลังพิเศษของนายก็จะยังไม่ถูกเปิดโปง” เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวชมเขา “คนขับรถวิ่งไปหลบเร็วเกินไปหน่อย ฉันก็เลยเล็งเขาไม่ทัน ไม่งั้นฉันก็คงยิงทิ้งตั้งแต่ตรงนั้นไปแล้ว”
จากนั้นเธอก็หันมาถาม
“ตอนที่นายเข้าไปแอบในรถ ไม่กลัวว่าจะมีผู้ตื่นรู้คนอื่นอยู่ข้างๆ ยูจีนหรือไง หรือไม่แน่ว่ายูจีนอาจจะเป็นผู้ตื่นรู้เองก็ได้ ซึ่งเขาก็จะรู้สึกได้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ในรถ”
ในขณะนั้นเป็นสถานการณ์เร่งด่วน เมื่อเธอเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามั่นใจ ในตอนนั้นเธอจึงไม่ได้ถามขึ้น
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างใจเย็น
“ผู้ตื่นรู้ทุกคนสามารถอำพรางตัวตนได้ เพื่อไม่ให้ตนเองถูกผู้ตื่นรู้คนอื่นรับรู้”
“งั้นถ้าเกิดว่าเขามองถูกมองเห็นหรือถูกได้ยินเสียงฝีเท้าล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาอย่างสนใจใฝ่รู้
“การอำพรางตัวตนนั้นจะล้มเหลวทันที ขอเพียงแต่อีกฝ่ายสามารถรับรู้ตัวตนของคุณได้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า การอำพรางตัวตนก็จะล้มเหลว” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์จริง
“นี่มันมหัศจรรย์มาก…” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความคิดเห็นออกมาหนึ่งประโยค
เธอไม่ได้ถามต่อว่าถ้าหากพวกยูจีนสามารถตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้แล้วเขาจะทำยังไง เพราะว่าเรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
บนแดนธุลีนั้น มีเพียง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ และ ‘ชุมนุมอัศวินขาว’ ที่สามารถปรับปรุงพันธุกรรมและผลิตยาปรับปรุงพันธุกรรมออกมาได้ ส่วนกองกำลังที่สามารถ ‘ดัดแปลงพันธุกรรม’ ได้และมีอัตราความสำเร็จสูงก็มีแค่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น…
ส่วนการดัดแปลงพันธุกรรมที่สามารถทำให้ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าได้นั้นเป็นโครงการลับของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’
แต่แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนไม่กล้าใช้ศีรษะรับประกันว่าจะไม่มีเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันนี้ในสถานที่ลึกลับอื่นๆ อย่างเช่น ‘สถาบันวิจัยที่แปด’
ซางเจี้ยนเย่ายังคงทบทวนหลังศึกต่อ แต่เขาข้ามในส่วนที่ว่าทำไมถึงไม่ยิงยูจีนทันทีที่ขึ้นมาในรถ เล่าข้ามไปที่เหตุการณ์ในตอนท้ายเลย
“ร่องรอยที่อาจหลงเหลืออยู่ในรถก็ถูกคุณทำลายจนไม่เหลือซากไปแล้ว…
“ในระหว่างที่กลับมานี่ คุณก็ยังรักษาระยะห่างจากพวกเราด้วย ทำให้คนอื่นไม่คิดว่าพวกเรามากันสามคน…
“แล้วพอมาถึงบริเวณที่ไม่มีกล้องวงจรปิด พวกเราก็เลิกปลอมตัว ดังนั้นพยานรู้เห็นย่อมเชื่อมโยงพวกเรากับเรื่องที่เกิดขึ้นนั่นได้ยาก…”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างเงียบๆ จนจบแล้วก็พยักหน้าเบาๆ
“ก็ประมาณนี้นี่แหละ ปัญหาใหญ่สุดของเรื่องนี้ก็คือนายไม่ยิงยูจีนทิ้งทันที แต่ดันพยายามจับเป็น ก็เลยทำให้เกิดตัวแปรต่างๆ มากมายและทำให้เรื่องราวซับซ้อนยิ่งขึ้น ยังดีที่ไม่เกิดเหตุพลิกผันมากนัก และจัดการเก็บกวาดได้หมดทุกเรื่องแล้ว”
เมื่อวิจารณ์เสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามด้วยความสงสัย
“นอกจากจะจับเป็นแล้วนายยังมีวัตถุประสงค์อื่นอีกหรือเปล่า”
ซางเจี้ยนเย่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“ผมอยากทำให้มันกลัว”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรออกมาด่าเขาดี
แล้วในตอนนี้ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากภายนอก
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่โต๊ะเพื่อมองดูนอกหน้าต่าง
เวลานี้ไฟฟ้ายังไม่ดับ ถนนแต่ละสายยังคงมีแสงไฟจากไฟถนนส่องสว่างอยู่ ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นกองกำลังป้องกันเมืองสองสามคนในเครื่องแบบสีมะกอกถือปืนกลมือเข้ามาในตรอกแล้วสอบถามคนที่สัญจรไปมา
ประตูเมืองทุกด้านมีแสงส่องสว่างแบบเดียวกันพุ่งขึ้นท้องฟ้า และราวกับว่ามีคนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงอึกทึกจอแจ
“ทีมล่าทาสของยูจีนต้องการบุกเข้าเมืองมาตามล่าหาตัวคนร้ายเพื่อช่วยเหลือเจ้านายงั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะครุ่นคิด
นี่เป็นการประเมินจากสภาพการณ์ปัจจุบัน
แล้วเธอก็หัวเราะร่า
“สงสัยว่าพวกเราไปแหย่รังแตนเข้าแล้วล่ะ”