รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 154 คนรู้จัก
หลังจากที่ออกจากห้องลงไปยังชั้นล่างแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนก็เจอกับน้าหนานของ ‘ร้านปืนอาฝู’
“พวกคุณดูใจเย็นกันจัง” หญิงสาวผู้สง่างามกวาดสายตามองดูอย่างไม่ตั้งใจและทักทายด้วยรอยยิ้ม
“คุณก็เหมือนกันนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน “เรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราสักหน่อย เกรงว่าพวกเขาทำเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินจนเมืองหญ้าไพรปั่นป่วนไปหมดแล้วล่ะ”
ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายนั้นต่างนัดแนะคำพูดสำหรับให้ปากคำเรื่องนี้กันมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงเป็นอันรู้กันโดยปริยาย จากนั้นฝ่ายหนึ่งก็จะเดินขึ้นชั้นบน ส่วนอีกฝ่ายเตรียมออกไปนอกร้าน
แล้วในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนก็เต้นวูบ รีบถามขึ้นมาทันที
“น้าหนาน คุณรู้จัก ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ แถวนี้บ้างไหม”
น้าหนานมองดูสองคนเบื้องหน้าด้วยความสงสัย
“พวกคุณต้องการจ้าง ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ งั้นเหรอ”
เนื่องจากรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของทั้งคู่ ดูแล้วไม่เหมือนคนไม่รู้หนังสือ
“พวกเราอยากทำความเข้าใจกับเส้นทางสายนี้หน่อยน่ะ ดูว่าพอจะรับภารกิจทำมาหาเลี้ยงชีพได้หรือเปล่า ในฐานะนักล่าซากอารยะแล้ว ถ้าภารกิจไหนทำได้ เราก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปแน่” เจี่ยงไป๋เหมียนให้เหตุผลออกมาตามสัญชาตญาณ
ซางเจี้ยนเย่ารีบรื้อเวทีของเธอทันที
“คุณอธิบายมากเกินความจำเป็นแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะเห็นได้ชัดว่าน้าหนานไม่เชื่อคำพูดเธอแม้แต่น้อย
นักล่าซากอารยะที่สามารถจับตัวยูจีนมาได้อย่างง่ายดาย แถมยังไม่เหลือเบาะแสให้สืบสาวตามรอยมาได้อีกต่างหาก คนแบบนี้น่ะหรือที่จะรับภารกิจเป็น ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ เลือกไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้กับลูกหลานของบรรดาใต้เท้าทั้งหลายไม่ดีกว่าหรือไง
ที่พูดมาเมื่อครู่นี้ คนที่รู้สายสนกลในที่ไหนจะเชื่อล่ะ
น้าหนานรู้อยู่แก่ใจในเรื่องนี้จึงไม่ได้ถามไถ่รายละเอียด เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ในอาคารนี้ก็มีอยู่คนหนึ่ง”
“เขาพักที่ไหนเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
น้าหนานเสยผมที่ตกลงมาบนหน้าผาก
“ไม่ใช่เขา แต่เป็น ‘เธอ’ ต่างหาก”
น้าหนานพูดคำว่า ‘เธอ’ ด้วยภาษาแม่น้ำแดง[1] ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงแยกไม่ออก
แล้วน้าหนานก็พูดต่อ
“เธอไม่ได้พักอยู่ที่นี่หรอก แต่ทุกๆ วันตอนบ่ายสอง เธอจะมาสอนที่นี่ชั่วโมงครึ่ง
“ฮ่า ฮ่า สาวๆ ในลานนี้สิบกว่าคนรวมกลุ่มกันลงขันเพื่อเชิญเธอมาสอนน่ะ
“คนที่พวกคุณเห็นเมื่อคืนนี้ก็มีสองสามคนที่ร่วมเรียนด้วย พวกเขาใช้เงินปันผลของ ‘ร้านปืนอาฝู’ มาจ่ายเป็นค่าเรียน ก็ค่อนข้างพอแหละ ถ้าพวกคุณอยากดู เอาไว้ตอนนั้นฉันจะให้คนไปบอก
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่า ‘สาวๆ’ ที่น้าหนานพูดถึงนั้น หมายถึงผู้หญิงที่ใช้เนื้อหนังเรือนร่างตนเองในการทำธุรกิจ ซึ่งมีทั้งคนที่ทำงานแบบเต็มเวลาและทำแบบพาร์ทไทม์
“ดีเลย งั้นพวกเราออกไปกินมื้อเที่ยงกันก่อนนะ ไว้ใกล้บ่ายสองแล้วก็ให้คนมาเรียกพวกเรา” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองมือของซางเจี้ยนเย่าที่กำลังลูบท้องอยู่ แล้วพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะ”
ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปหมดแล้วเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนนี้ที่พวกตนเพิ่งจะช่วยน้าหนานและคนอื่นๆ แก้แค้น ราวกับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปนานจนไม่ควรค่าจะใส่ใจพูดถึงอีก
เมื่อถึงเวลาบ่ายโมงห้าสิบนาที ประตูห้องของซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนก็ถูกเคาะ
อันที่จริงพวกเขารู้ตัวมานานแล้วว่ามีคนเข้ามาใกล้และยืนรอที่หน้าประตู
“ฉันแค่อยากไปดูหน่อยน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างนอกฟังด้วยรอยยิ้ม
ผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในคนที่ร่วมลงมือสังหารยูจีนเมื่อคืน เธอมีตากลมโต ผมสั้นเสมอหู ดูเยาว์วัยและเฉลียวฉลาด ทำให้ยากที่จะประเมินอายุได้อย่างแม่นยำ
“ยังเหลืออีกสิบนาทีค่ะ” หญิงสาวผู้นี้กล่าวทักทาย “ฉันชื่อกู่ฉางเล่อ เราเจอกันเมื่อคืนนี้”
“ฉันขอไม่แนะนำตัวเองก็แล้วกันนะ ไม่งั้นที่ใช้ชื่อปลอมไปก็ไร้ความหมายกันพอดี เรียกฉันว่าต้าไป๋ก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเสียดสีตัวเอง “ส่วนเขา… เอ่อ… เขาไม่มีชื่อ เรียกว่า ‘เฮ้’ ก็แล้วกัน”
นี่คือการแก้แค้นของเธอที่ก่อนหน้านี้ถูกซางเจี้ยนเย่ารื้อเวที
กู่ฉางเล่อไม่ได้ตอบอะไร เธอกลับหลังหันพร้อมกับพูดขึ้น
“อยู่ที่ชั้นบนสุด ที่นั่นมีแดดดีหน่อย”
ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้ตอนบ่ายระหว่างช่วงเวลาบ่ายโมงครึ่งถึงห้าโมงครึ่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองผ้าพันคอลายดอกไม้ที่คอของกู่ฉางเล่อ ซึ่งดูงดงามกว่าผืนที่ใช้เมื่อคืนนี้ แล้วเธอก็ก้าวเท้าขึ้นหน้าไปสองก้าวแล้วเดินเคียงข้างกันไป
ด้วย ‘ความเคยชินของอาชีพ’ เธอจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่กู่ ทำไมคุณถึงรวมเงินกันไปเชิญ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ มาสอนล่ะ”
สีหน้าของกู่ฉางเล่อค่อยๆ อ่อนโยนลง มุมปากก็ยกโค้งขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
“ก่อนหน้านี้ฉันพลาดพลั้งตั้งท้องขึ้นมาน่ะ และทำใจเอาเด็กออกไม่ได้ ดังนั้นฉันก็เลยคลอดเธอออกมา
“ฉันไม่อยากให้เธอต้องมีอนาคตเหมือนตัวเอง และคิดอยู่ตลอดว่าถ้าอ่านออกเขียนได้ก็จะมีโอกาสมากขึ้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย
“นั่นสิ สถานการณ์ในเมืองหญ้าไพรเองก็ค่อนข้างมั่นคง รู้หนังสือไว้ก็มีข้อได้เปรียบ
“แล้วเด็กคนนั้นไปที่ห้องเรียนแล้วเหรอ”
เธอไม่รู้ว่าสถานที่ซึ่ง ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ใช้สอนหนังสือนั้นเรียกว่าอะไร เธอจึงใช้คำที่ใช้กันบ่อยที่สุดในการเรียก
“เพิ่งจะอายุแค่สองขวบเอง จะไปนั่งเรียนได้ไงกัน” กู่ฉางเล่อยิ้ม “ฉันฝากเธอไว้ที่ร้านน้าหนานน่ะ”
ในขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามอย่างครุ่นคิด
“คุณคิดจะสอนเธอเองหลังจากที่เรียนมาแล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้ฉันยังอายุน้อย ยังได้รับความนิยม ยังมีทางให้เลือก รายได้ก็มั่นคง รวมกับเงินปันผลที่รับจากร้านปืน ฉันก็พอจะรองรับค่าจ้าง ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ไหวอยู่ แต่ถ้ารออีกซักสองสามปีเพื่อให้อันอันโตขึ้นอีกหน่อยและเรียนได้ด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สถานการณ์จะเป็นยังไง ยังจะเหมือนทุกวันนี้อยู่อีกหรือเปล่า ฉันก็เลยคิดว่าหากตัวเองเรียนให้มากขึ้นอีกหน่อย เมื่อถึงตอนนั้นฉันก็ยังมีความรู้พอจะสอนเธอได้ ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่ลงไปแค่ไหนก็ตาม” กู่ฉางเล่อเล่าแผนการณ์ของตัวเอง
“ถูกต้อง คนที่ไม่มองการณ์ไกล ความยุ่งยากใจจะตามมา” เจี่ยงไป๋เหมียนชมออกมาประโยคหนึ่ง
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าก็ตบมือขึ้นมาทันทีเช่นกัน
ในระหว่างที่พูดคุยกันนี้พวกเขาก็เดินขึ้นมาถึงชั้นห้า แล้วเข้าไปในห้องที่ค่อนข้างกว้างขวางห้องหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับตรอก
แสงจากภายนอกส่องผ่านกระจกหน้าต่างแบบสี่ช่อง ทำให้เตียง โต๊ะ ม้านั่ง กระดาษ และกระดานดำแบบง่ายๆ ที่อยู่ภายในห้องสว่างขึ้นมา
ในขณะนี้หญิงสาวเจ็ดแปดคนกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งบ้าง ขอบเตียงบ้าง ต่างกำลังก้มหน้ามองกระดาษในมือและทบทวนคำศัพท์ที่เรียนมาอย่างเงียบๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามองรอบหนึ่ง แล้วดึงซางเจี้ยนเย่าไปนั่งข้างเด็กสาวอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่ง
เด็กสาวคนนี้สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีขาว มองดูบันทึกที่จดไว้จากชั้นเรียนครั้งก่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ
ในห้องนี้ค่อนข้างเย็น เธอจึงตัวสั่นอยู่บ้างเล็กน้อย
รอจนกระทั่งเธออ่านจบแล้วและเงยหน้าขึ้นมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็เผยรอยยิ้มที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย
“เธอมาเรียนที่นี่นานแค่ไหนแล้วเหรอ”
เด็กสาวคนนี้หน้าตางดงาม แต่รูปร่างผอมบางไปหน่อย
เธอตอบกลับมาอย่างมีมารยาท
“เกือบสองเดือนแล้วค่ะ”
“อาจารย์เป็นไงบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
นักเรียนที่เพิ่งเคยมาเรียนเป็นครั้งแรกนั้นมักจะกังวลในเรื่องนี้
“ดีมากเลยล่ะ อดทนมากด้วย ความรู้ก็มาก” เด็กสาวไม่ตระหนี่คำชม
แล้วซางเจี้ยนเย่าก็ถามขัดจังหวะขึ้นมา
“ทำไมเธอถึงรวมเงินกันไปเชิญ ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ มาสอนล่ะ”
เด็กสาวพบความผิดปกติในทันที เธอมองดูเขาแล้วพูดอย่างประหลาดใจ
“ทำไมถึงมีผู้ชายได้ล่ะ”
เรื่องการเรียนการสอนในชั้นนี้เกิดจากหญิงสาวที่ทำธุรกิจขายบริการซึ่งพักอยู่ในลานแห่งนี้ ดังนั้นในเวลาทั่วไปย่อมไม่มีผู้ชายปรากฏตัวขึ้น
“ผู้ชายขายบริการไม่ได้เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
“เพื่อนฉันเองแหละ” กู่ฉางเล่อรีบแนะนำ
สายตาของเด็กสาวกวาดไปที่ใบหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียน และเริ่มงุนงงมากยิ่งขึ้นทุกขณะ
แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่ถอนใจแล้วตอบคำถามเมื่อครู่
“พี่สาวฉันเป็นโสเภณีอยู่ที่ไนต์คลับน่ะ อยู่ที่นั่นไม่ว่าจะรับหรือไม่รับแขก หรือว่าจะรับแขกแบบไหน ล้วนแต่ไม่อาจเลือกได้ด้วยตัวเอง ก็เหมือนเป็นทาสนั่นแหละ
“เมื่อครึ่งปีก่อนเธอติดโรคและถูกไล่ออก จะหาคนมาช่วยดูแลแค่ช่วงสั้นๆ ก็ยังหาไม่ได้ เพียงไม่นานก็เสียชีวิต…
“เธอพูดเสมอว่าเส้นทางสายนี้ไม่มีอนาคต ไร้ซึ่งความหวัง ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาได้ อีกไม่กี่ปีก็อาจจะป่วยตาย บอกฉันว่าอย่าเป็นอย่างเธอ แต่จะให้ฉันทำไงได้ ถึงยังไงก็ต้องเอาชีวิตให้รอดก่อนใช่ไหมล่ะ
“ฉันคัดเลือกแขกเอง ถ้าระวังตัวหน่อยก็ยังไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่มีทางอื่น สุดท้ายก็คงไม่แคล้วต้องเป็นเหมือนพี่นั่นแหละ เมื่อตอนที่เธอตายน่ะ…”
เด็กสาวหยุดไป ก้มหน้าแล้ว ‘หัวเราะ’ ออกมา
“ฉันแค่คิดว่าในตอนที่ยังพอมีเงินอยู่บ้าง ก็เรียนหนังสือเพิ่มสักหน่อย รู้หนังสือมากขึ้น บางทีก็ไม่แน่ว่าต่อไปในภายภาคหน้าอาจจะมีโอกาสได้ไปทำงานเป็นเสมียนในอาคารเทศบาลก็ได้ หรือจะเป็นนักล่าแล้วเลือกรับภารกิจที่ปลอดภัยไม่มีความเสี่ยงก็ได้ แบบนั้นก็จะได้ไม่ต้องทำงานนี้อีกต่อไป”
“ใช่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วยจากใจจริง
เด็กสาวคนนั้นยังต้องการจะพูดอะไรต่ออีก แต่ตอนนั้นเธอก็เห็นมีคนเดินเข้าประตูมา จึงรีบลุกขึ้นมาทักทายทันที
“สวัสดีค่ะอาจารย์อาน”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตามไปแล้วตะลึงเล็กน้อย
‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ ที่เดินเข้ามานั้นกลับเป็นคนที่เธอรู้จัก
นั่นคือนักล่าซากอารยะอานหรูเซียงซึ่งเธอเคยพบที่ ‘แดนร้างบึงดำ’ และ ‘ซากปรักบึงหมายเลข 1’
เธอเป็นสมาชิกของทีมอู๋โส่วสือ ซึ่งรู้จาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ว่าศพของอู๋โส่วสือนั้นอยู่ที่ไหน
สีหน้าที่เย็นชาแต่เดิมของอานหรูเซียงนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เป็นพวกคุณ…”
“แปลกใจไหมล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนและถามอย่างกระตือรือร้น
อานหรูเซียงไม่ได้สวมชุดเขียวลายพรางแบบทหารอีก แต่เป็นชุดสีดำ เธออ้าปากจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
เธอทั้งตื่นตัวระวังและงุนงง
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบชี้ไปที่ประตู
“ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ”
อานหรูเซียงผงกศีรษะอย่างเงียบๆ และเดินออกจากห้องไปภายใต้สายตาจับจ้องด้วยความสงสัยของเหล่านักเรียน
เมื่อเดินออกมาจนสุดทางเดิน เจี่ยงไป๋เหมียนก็เป็นฝ่ายเริ่มพูด
“พวกเรารับภารกิจสืบสวนมา คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับคุณ”
สีหน้าอานหรูเซียงมืดหม่นลงก่อนจะกลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“หลังจากที่ออกมาจากซากปรักนั่น พวกเราก็พาอู๋โส่วสือกลับมาที่เมืองหญ้าไพร นำเขา… นำเขาไปฝังยังสถานที่ที่เขาเกิด
“การเดินทางของเรานั้นเก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย และเหลือกันแค่สองคน เลยต้องทำทุกอย่างกันเอง
“ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรอีก ก็เลยไม่ได้รับภารกิจมาพักใหญ่ หลังจากนั้นพอเริ่มดีขึ้นมาบ้างก็เลยรับภารกิจเรื่อยเปื่อยภายในเมือง รวมถึงการเป็น ‘อาจารย์เฉพาะกิจ’ นี่ด้วย”
“หลังจากนั้นคุณก็ทำแบบนี้มาตลอดเลยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
ในสายตาของเธอนั้น อานหรูเซียงเป็นผู้หญิงที่เหมาะจะออกไปผจญภัยและต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง
อานหรูเซียงหันกลับไปมองห้องเรียนเฉพาะกิจ แล้วพูดอย่างสงบนิ่ง
“เดิมทีฉันแค่อยากจะทำสักสัปดาห์หนึ่ง หาอะไรทำฆ่าเวลาน่ะ”
“แต่กลายเป็นว่าชื่นชอบในอาชีพนี้” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสนใจไม่แพ้กัน
“ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบหรือเปล่า” น้ำเสียงของอานหรูเซียงไม่มีความผันผวนแม้แต่น้อย
บางทีอาจเป็นเพราะเธอได้พบกับคนรู้จักที่เคยช่วยเหลือกันมาก่อน จึงพูดมากสักหน่อย จากนั้นก็พูดต่อราวกับรำลึกความหลัง
“ฉันเติบโตมาในองค์กรนักฆ่าแห่งหนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ช่วงก่อนที่จะเริ่มนวศักราชนั้นมีองค์กรแบบนี้เต็มไปหมด
“ต่อมาองค์กรนั้นถูกทำลายลง ฉันโชคดีที่หนีรอดออกมาได้ จากนั้นก็เร่ร่อนอยู่ในแดนธุลี
“สิ่งที่ฉันเรียนมาตั้งแต่เด็กก็คือวิธีการฆ่าคน ถึงแม้จะเรียนหนังสือ ก็เรียนเพื่อฆ่าคน พอไม่เหลือเป้าหมาย ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรดี มันโหวงไปหมด ฮื่อ… ก็อย่างที่โส่วสือเคยพูดไว้ มันคือความหมายของการมีชีวิตอยู่
“จนกระทั่งได้พบกับโส่วสือ ถึงได้ค่อยๆ หลุดออกมาจากสภาวะแบบนั้นได้ กว่าฉันจะรู้ตัวก็สายเกินไป เขาก็ไม่ยอมรอ…”
พูดมาถึงตรงนี้อานหรูเซียงก็นิ่งงันไปหลายวินาที
“พอเขาตายไป ฉันก็ไม่รู้ว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไรอีก
“แต่เมื่อฉันได้สอนหนังสือให้พวกเขา ฉันก็พบว่าตอนที่พวกเขามองมาที่ฉัน ประกายตาพวกเขามีแสงสว่าง…”
* * * * *
[1] ในนิยายเรื่องนี้ ภาษาแดนธุลี คือ ภาษาจีนกลาง และภาษาแม่น้ำแดง คือ ภาษาอังกฤษ