รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 161 ต่อสู้กับมือที่ผิดปกติ
ในสภาพแวดล้อมอันหม่นสลัวและเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ รูปวาดเช่นนี้ สัญลักษณ์เช่นนี้ และคำพูดเช่นนี้ ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดและน่าหวาดหวั่น ทำให้ผู้ที่มองเห็นเกิดใจสั่นและอยากเบือนสายตาไม่กล้ามองโดยไม่รู้ตัว
แล้วในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็หันไปมองรอบด้านและเจตนาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“นี่ถ้าหากว่าปิดประตูไว้ด้วยก็จะยิ่งทำให้บรรยากาศสมจริงมากขึ้นไปอีก”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตามสายตาเขาไปก่อนจะพูดอย่างครุ่นคิด
“พวกนี้เป็นประตูม้วนแบบใช้ไฟฟ้า ถ้าเตรียมตัวไว้ก่อนก็สามารถใช้รีโมตคอนโทรลควบคุมจากระยะไกลได้”
เมื่อโอดิคที่แต่เดิมได้รับผลกระทบบางส่วนจากบรรยากาศแวดล้อม ได้ยินการสนทนาที่พิลึกพิลั่นเช่นนี้ก็พลันรู้สึกระอาใจอยู่บ้าง
นี่พวกเขากำลังปรึกษากันเรื่องที่จะสร้างสภาพแวดล้อมตอนนี้ให้มีบรรยากาศที่น่ากลัวขึ้นเนี่ยนะ
ก่อนที่โอดิคจะทันได้เปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น ในหูก็ได้ยินเสียงดังครืดคราด
บานประตูม้วนอลูมิเนียมสีขาวที่ทางเข้าค่อยๆ เลื่อนลงมาโดยอัตโนมัติ ตัดขาดพวกเขาจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
แสงซึ่งมีอยู่ไม่มากนักภายในห้องโถงพลันลดลงไปกว่าครึ่ง ทำให้ภายในห้องซึ่งมีสภาพแสงอันย่ำแย่กลายเป็นมืดมัวสลัวหม่นขึ้นไปอีก
และในขณะเดียวกัน ในมุมที่มืดสนิทมากที่สุดก็พลันมีแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์สว่างขึ้นทีละดวง เปล่งแสงสีเรืองรองออกมา
บนผนังที่สว่างขึ้นนั้นมีภาพวาดที่ราวกับเด็กเขียนเล่น เป็นรูปคนหัวไม้ขีดที่มีท่วงท่าอิริยาบทหลากหลาย
สิ่งที่รูปคนเหล่านี้เหมือนกันก็คือไม่มีใบหน้า เป็นเพียงวงกลมว่างเปล่าเท่านั้น
ภายใต้ใบหน้าเหล่านี้ที่ ‘จับจ้อง’ มา ก็พลันมีเสียงซ่าซ่าดังออกมาจากหน้าจอ LCD ที่แขวนห้อยอยู่กลางห้องโถง หลังจากกะพริบวูบวาบสองสามครั้งก็มีภาพคนปรากฏขึ้นบนจอ
คนผู้นี้สวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำและหน้ากากสีซีดที่ไม่มีใบหน้า เพียงแค่เจาะรูเอาไว้สองรูเผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งภายใน
ดวงตานั้นลึกล้ำประหนึ่งทะเลสาบโบราณในป่าลึก และราวกับว่ามีน้ำวนอยู่ที่ก้นบึ้ง
เมื่อเห็นบุคคลที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ LCD และได้สบสายตากันแล้ว โอดิค เจี่ยงไป๋เหมียน รวมถึงซางเจี้ยนเย่า ต่างก็ไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย
บุคคลที่สวมหน้ากากสีซีดเปิดปาก จากนั้นเสียงของเขาก็ดังผ่านลำโพงที่ติดตั้งไว้ตามจุดต่างๆ
“โลกนี้ไร้ซึ่งความจริงแท้ โปรดศรัทธาแน่วแน่ต่อองค์เทพ…”
เสียงนี้เสมือนว่ามีจังหวะที่แปลกประหลาด มันดังก้องสะท้อนอยู่ในใจของโอดิคและคนอื่นๆ
แต่แล้วจู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามแทรกขึ้นมาอย่างจริงจัง
“แกสวมหน้ากากแบบนั้น ไม่รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกบ้างเหรอ”
หน้ากากที่ไม่มีทั้งรูจมูกและรูปาก!
ชายที่สวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำและหน้ากากสีซีดบนหน้าจอถึงกับชะงักค้าง ลืมเลือนคำพูดที่เตรียมไว้จนหมดสิ้น
โอดิคกับเจี่ยงไป๋เหมียนก็หลุดออกมาจากสภาพบรรยากาศที่อธิบายไม่ถูกเมื่อครู่ทันที รู้สึกว่าได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ได้ยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงอีกครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย เธอเหลือบมองไปทางซ้ายมือของตนเองเงียบๆ และพยักหน้าเล็กน้อย
โอดิคก็รู้ตัวในทันทีเช่นกัน ถามคำถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แกจงใจล่อพวกเรามาที่นี่สินะ
“พฤติกรรมประหลาดตลอดทาง รวมกับการจัดฉากที่นี่ มันก็คือพิธีกรรมสะกดจิตขนาดใหญ่ใช่ไหมล่ะ!”
เขารู้ว่าพลัง ‘การสะกดจิต’ นั้นสามารถเพิ่มอิทธิพลให้มากขึ้นได้ด้วยการเตรียมการจากภายนอก ทั้งยังสามารถเพิ่มระยะทางได้ในระดับหนึ่ง
ร่างของ ‘บาทหลวง’ ที่สวมหน้ากากสีซีดและเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำบนหน้าจอพลันบิดเบี้ยวแล้วหายไป เหลือเพียงเสียงซ่า ซ่า
แต่เสียงของเขายังคงดังออกมาจากลำโพงทั่วทุกแห่งหน ทำให้ผู้คนไม่อาจจับตำแหน่งแน่นอนของเขาได้
“ถ้าหากสะกดจิตแกไม่ได้ แล้วใครจะเป็นตัวละครหลักที่จะเข้าใกล้สวี่ลี่เหยียนและลงมือโจมตีปิดฉากกันล่ะ
“น่าเสียดาย ที่ดันมาเจอคนที่ไม่ยอมเล่นตามกติกาได้…
“แต่ไม่เป็นไร ก็แค่มีเรื่องที่ต้องทำเพิ่มขึ้นอีกหน่อยแค่นั้นเอง…”
เขายังพูดไม่ทันขาดคำ โอดิคก็นำเอาวัตถุสีฟ้าอ่อนขนาดเท่าวิทยุรับส่งออกมาแล้ว
เขากดลงไปบนของสิ่งนี้ และกำลังจะพูดกับคู่สายปลายทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
แต่ทว่าเสียงที่ดังออกมาจากเครื่องรับกลับมีเพียงแค่เสียงซู่ซู่ซ่าซ่าเท่านั้น
คำพูดของ ‘บาทหลวง’ ดังก้องอยู่ในห้องโถงอีกครั้งอย่างเย้ยหยัน
“ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าสวี่ลี่เหยียนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ‘สวรรค์จักรกล’ แกคิดว่าฉันจะไม่เตรียมอุปกรณ์สำหรับป้องกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือไง”
เมื่อได้ฟังจนจบ ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้กำปั้นขวาทุบลงบนฝ่ามือซ้ายของตนเองด้วยความเศร้า
“น่าเสียดาย”
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจดีว่าหมอนี่กำลังเสียดายอะไร
เขาเสียดายที่อีกฝ่ายอยู่นอกระยะขอบเขต อีกทั้งไม่สามารถใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ในการสนทนาผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้
ไม่อย่างนั้น ระหว่างที่ ‘บาทหลวง’ พูดพล่ามมากมายไม่หยุดปาก ซางเจี้ยนเย่าสามารถทำให้เขาคุกเข่าเรียกตนเองว่าพ่อได้อย่างเต็มใจ
ถึงแม้โอดิคจะถูก ‘บาทหลวง’ เยาะเย้ยแต่สีหน้าเขายังคงไม่เปลี่ยน เขาเพียงแค่ยัดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กลับเข้าไปในกระเป๋าแล้วล้วงเอาของอย่างอื่นออกมาแทน
มันคือระเบิดมือลูกสีดำ!
โอดิคกระชากสลักนิรภัยออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอี้ยวตัวเหวี่ยงแขน ขว้างลูกระเบิดออกไปทางกระจกหน้าต่างข้างบานประตู
หลังจากเสียงแหลมของกระจกแตกและเสียงระเบิดดังกึกก้องที่ด้านนอก บอลเพลิงก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
กลางอากาศมีโดรนที่ผลิตโดย ‘สวรรค์จักรกล’ เครื่องหนึ่งซึ่งติดตามโอดิคมาตลอด ได้บันทึกภาพเอาไว้อย่างเงียบๆ จากนั้นก็ส่งกลับไปหาผู้ควบคุมเพื่อให้คนที่เกี่ยวข้องทราบว่าเกิดเหตุผิดปกติขึ้นที่นี่
ภายในห้องโถงนั้น เมื่อโอดิคหยิบลูกระเบิดออกมา ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนก็ผละจากกัน ต่างวิ่งตรงไปหาเสาอาคารเพื่อใช้เป็นที่กำบัง
หลังจากการระเบิดสงบลงแล้ว โอดิคซึ่งเอนหลังพิงผนังก็ตะโกนขึ้น
“มีสองคนกำลังเข้ามาใกล้!
“จากทั้งสองฝั่งของทางเดิน!
“ไม่รู้ว่ามี ‘บาทหลวง’ อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า!”
เขาอาศัยพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ตรวจจับจิตสำนึกของมนุษย์ได้สองคนสินะ แต่เนื่องจากผู้ตื่นรู้สามารถปลอมแปลงตัวตนและอำพรางการตรวจจับนี้ได้เช่นกัน เขาจึงไม่แน่ใจว่า ‘บาทหลวง’ นั้นเป็นหนึ่งในสองคนนี้หรือเปล่า ซึ่ง ‘บาทหลวง’ อาจจะซ่อนตัวแล้วค่อยๆ ย่องเข้ามาใกล้ หรืออาจจะทำในสิ่งตรงกันข้ามคือจงใจทำตัวเป็นคนธรรมดาแล้วเข้ามาพร้อมกับผู้ช่วยก็ได้…
โอดิคไม่ได้ทำให้เป้าหมายหลับเพื่อจัดการกับพวกนั้นทีละคน ซึ่งหมายความว่าระยะห่างในปัจจุบันนั้นเกินกว่าระยะของเขตของ ‘บังคับหลับ’ แต่ก็ยังคงอยู่ในระยะขอบเขตของ ‘อิทธิพลของความฝัน’ และพลังอีกอย่างหนึ่งของเขา… ความคิดมากมายวิ่งพล่านอยู่ในหัวของเจี่ยงไป๋เหมียน
เธอหันไปมองซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะตอบรับ หมายความว่าที่โอดิดบอกมานั้นถูกต้อง
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ชักช้าร่ำไร เธอถือปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ แล้วจัดท่า
พร้อมกันนั้นเธอก็ปลดลูกระเบิดมือสีเขียวแก่ออกมาจากเข็มขัดด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นจากทั้งสองฝั่งของทางเดิน เกิดเป็นประกายไฟขึ้นที่ผนัง
ดูเหมือนว่าศัตรูนั้นเป็นกังวลเกี่ยวกับพลังพิเศษของโอดิค จึงไม่กล้าเข้ามาใกล้นัก ทำเพียงแค่โจมตีจากระยะไกลเท่านั้น
โอดิคถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนตำแหน่งในขณะที่ใช้ปืนพกยิงสวนกลับไป
แต่แล้วทันใดนั้นมือซ้ายที่ว่างอยู่ของเขาก็ยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเอง
เสียงตบอย่างชัดเจนนั้นไม่ได้ดังมากเท่าไรนัก
ทว่าในหูของซางเจี้ยนเย่านั้นมันกลับดังประหนึ่งเสียงฟ้าร้องคำราม
นี่ทำให้เขารู้สึกหูอื้ออึง หัวหมุนวิงเวียน ร่างกายเสียสมดุล
เสียงปืนจากสองฝั่งทางเดินก็พลันเงียบลงทันทีเช่นกัน เห็นได้ว่าพวกเขาต่างก็ได้รับผลกระทบ รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนพื้นที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงศีรษะเล็กน้อย เธอรู้สึกเพียงว่าเสียงนั้นค่อนข้างดังราวกับฟ้าร้องกลางอากาศ
แต่นอกจากนั้นเธอก็ไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร
นั่นเป็นเพราะว่าเธอค่อนข้างจะหูตึง!
นี่ก็คือพลังพิเศษอีกอย่างของ ‘โอดิค’ ซึ่งเรียกว่า ‘คุมโสตสัมผัส’
เขาสามารถทำให้มนุษย์ทุกคนที่อยู่ภายในระยะขอบเขตมีการได้ยินที่เฉียบคมเป็นอย่างมาก หรือไม่ก็ทำให้การได้ยินย่ำแย่ลงจนถึงขั้นหูตึงอย่างรุนแรง
เมื่อครู่นี้ที่เขาใช้ไปก็คือทำให้ได้ยินเสียงดีขึ้นอย่างชัดเจน
ปัญหาเดียวของพลังพิเศษนี้ก็คือมันไม่แยกแยะมิตรศัตรู เพียงแค่ไม่ส่งผลต่อตัวเองเท่านั้น
โอดิครีบฉวยโอกาสนี้พุ่งม้วนตัวเพื่อลดระยะทางระหว่างตนเองกับศัตรูคนหนึ่ง
และในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยกมือขึ้นแล้วยิงไปที่บันไดซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโอดิคมากนัก
เสียงดังปัง ร่างที่กำลังโฉบลงมาจากด้านบนก็กระดอนไปด้านข้าง แล้วปรากฏตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าเขามีปฏิกิริยาตอบสนองทันทีที่เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นมา ทำให้หลบการยิงอย่างฉับพลันนี้ไปได้
ช่องบันไดค่อนข้างแคบ ร่างนั่นกระทบผนังแล้วกระดอนไปมาก่อนจะเปลี่ยนทิศทาง
และตอนนี้นี่เองที่เจี่ยงไป๋เหมียนได้เห็นบุคคลนี้อย่างชัดเจน
เขาชันเข่าอยู่บนพื้นโดยใช้มือข้างหนึ่งยันพื้นไว้ สวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำ ผมสั้นที่ยุ่งไปบ้าง ใบหน้าซีดเซียวราวกับเพิ่งจะฟื้นไข้
เป็น ‘บาทหลวง’
‘บาทหลวง’ บุคคลอันตรายของ ‘นิกายทอนปัญญา’ !
‘บาทหลวง’ มองมาที่เจี่ยงไป๋เหมียนด้วยแววตาเจือความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงตรวจพบตนเองได้
เขาคิดมาตลอดว่าคู่ต่อสู้หลักในครั้งนี้ และเป็นเพียงคนเดียวที่เขามองว่าเป็นคู่ต่อสู้ นั่นก็คือโอดิค
แต่ที่ไหนได้ กลุ่มนักล่าที่ดูแล้วแสนจะธรรมดานั่น ผู้ชายกลับมีความคิดพิลึกพิลั่นจนทำลายบรรยากาศไปหมด ส่วนผู้หญิงก็มีประสาทสัมผัสพิเศษที่ตรวจจับตัวตนของเขาได้
ในตอนนี้โอดิคถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีศัตรูซ่อนตัวอยู่ที่ช่องบันได
ชั่วขณะนี้เขาไม่มีเวลามากพอจะทำให้เป้าหมายที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ‘หลับ’ ได้
หลังจาก ‘บาทหลวง’ หลบพ้นจากวิถีกระสุนของเจี่ยงไป๋เหมียนไปได้ เธอก็ไม่รอช้า รีบขว้างระเบิดมือที่เตรียมเอาไว้ออกไปอย่างฉุกละหุก
กะทันหันเสียจนไม่มีเวลาจะดึงสลักนิรภัยออก
แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็ยกมือขึ้นมาเล็งไว้เรียบร้อยแล้ว เตรียมจะส่งกระสุนเข้าไปที่ลูกระเบิด
ในสภาพแวดล้อมกึ่งปิดผนึกของช่องบันไดเช่นนี้ หากเกิดการระเบิดขึ้นมาก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ ‘บาทหลวง’ จะสามารถรอดพ้นจากคลื่นกระแทกไปได้ ถึงไม่ตายคาที่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส นอกเสียจากว่าเขาจะพุ่งลงบันไดไปชั้นอื่นได้ทันเวลาและนอนหมอบเอาไว้
ทว่าก่อนที่เจี่ยงไป๋เหมียนจะขว้างออกไปนั้น จู่ๆ มือซ้ายเธอกลับยกขึ้นมาราวกับต้องการจะตบหน้าตัวเอง
นี่เหมือนกับที่อานหรูเซียงใช้มีดแทงตัวเอง
‘ร่างกายเคลื่อนไหวเอง’ !
ปัง!
วิถีระเบิดลอยสูงขึ้น เบี่ยงเบนไปจากที่กำหนดไว้มากจนทำให้ตกลงไปยังตำแหน่งอื่น การยิงของซางเจี้ยนเย่าจึงพลาดเป้าอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ซางเจี้ยนเย่าก็ไม่ได้ผิดหวังหรือหงุดหงิด ก่อนที่ลูกระเบิดจะกระทบพื้นเขาก็รีบพุ่งออกมาจากหลังเสา วิ่งออกไปอย่างว่องไว
จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วม้วนตัว รีบกระชับระยะห่างระหว่างตนเองกับ ‘บาทหลวง’ อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นดวงตาคู่หนึ่งซึ่งลึกล้ำประดุจทะเลสาบโบราณในป่าลึก
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้ม แล้วทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตา ‘บาทหลวง’
ทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตา…
แต่นั่นไม่ได้ส่งผลต่อการที่เขายกมือขึ้น เล็งเป้า และลั่นไก