รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 163 ความโกลาหล
ลมเหนือพัดหวีดหวิว เมฆดำเคลื่อนต่ำ ถึงแม้ว่ายามเฝ้าประตูเมืองจะสวมเสื้อตัวหนาเตอะแต่ก็ยังรู้สึกหนาวจนแทบจะแข็ง โดยเฉพาะใบหน้านั้นรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงด้วยมีด กล้ามเนื้อทั่วร่างชาหนึบเป็นท่อนไม้และหนาวสะท้าน
แม้ว่าตอนนี้ฟ้าจะครึ้มซึ่งเป็นสัญญาณก่อนเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ทว่านี่เพิ่งจะเป็นช่วงสายเท่านั้น หรือความหมายก็คือขณะนี้ยังเป็นเวลากลางวัน ทำให้จิตใจของยามลดการตื่นตัวเฝ้าระวังไปบ้าง
เมื่อพวกเขากวาดสายตามองออกไป ก็เห็นเพียงใบหน้าเฉยชาจนไม่เหมือนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูรูปปั้นซึ่งไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้
“ไม่รู้ว่าทีมล่าทาสกลุ่มอื่นๆ ของ ‘ปฐมนคร’ จะมาถึงกันเมื่อไหร่… ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่เข้าท่า” หัวหน้าหนุ่มที่ห้อยปืนพกไว้ที่เอวเดินไปเดินมาอยู่ที่ประตูเมือง “ถ้ามีคนตายมากขึ้น อาจทำให้เกิดโรคระบาดได้”
สำหรับคนส่วนมากแล้ว เรื่องนี้นับเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าสงครามเสียอีก
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงดังตูม
เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงระเบิด
มันดังมาจากด้านในของถนนเหนือ!
ยามทุกคนที่ประตูเมืองต่างหมุนกายหันหน้าไปดู ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทันใดนั้นเอง จากหางตาของหัวหน้าหนุ่ม เขามองเห็นกลุ่มคนเร่ร่อนแดนร้างที่มีหนวดเคราเต็มหน้าซึ่งอยู่ปะปนกับฝูงชนที่อยู่ใกล้กับประตูเมือง จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมายืน
ทุกคนล้วนแต่มีปืนอยู่ในมือทั้งนั้น!
บ้างถือปืนลูกโม่ บ้างถือปืนลูกซอง บ้างก็ถือปืนไรเฟิลขึ้นสนิม แต่ไม่ว่าจะเป็นปืนอะไรก็ตาม นั่นก็ล้วนแต่เป็นปืนทั้งสิ้น
“ระ…” ขณะที่หัวหน้าหนุ่มตะโกนออกมาได้เพียงแค่คำแรก เขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น
จากนั้นดวงตาเขาก็ดับวูบลงทันที ตามด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ไหลหลั่งถาโถมมาราวกับกระแสน้ำ
ปัง! ปัง! ปัง!
หลังจากที่ยิงกันอย่างดุเดือดไปรอบหนึ่ง ยามที่เฝ้าประตูเมืองก็ล้มลงเกินครึ่ง คนที่ยังเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนก็บาดเจ็บ มีสภาพไม่ดีเท่าไหร่
พวกเขาแต่ละคนรีบวิ่งไปที่ป้อมปราการพร้อมกับตอบโต้ไปด้วยอาวุธที่มี
ทว่าพวกเขาต้องรู้สึกหวาดหวั่นขวัญผวาเมื่อเห็นคนเร่ร่อนแดนร้างดาหน้ากรูกันเข้ามารับกระสุนปืน แม้ว่าจะมีคนล้มลง แต่ส่วนที่เหลือกลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ประหนึ่งว่าที่กำลังรออยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นคือโลกใหม่ หรือไม่ก็เป็นสรวงสวรรค์
สีหน้าคนเหล่านี้ล้วนแต่บิดเบี้ยว ดวงตาแดงก่ำดุจสัตว์ป่าที่มีสติปัญญา หรือไม่ก็พวก ‘คนไร้ใจ’
ณ ขณะนี้ หลี่โถวถือโทรโข่งตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“บุกเข้าไป! บุกเข้าไป!
“บุกเข้าไปก็มีกิน! บุกเข้าไปก็รอดตาย!”
คนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนมากมายสุดคณานับด้านนอกเมืองพากันจ้องมองมา จากนั้นดวงตาค่อยๆ แดงก่ำทีละคนทีละคน
เมื่อเห็นว่าที่ประตูเมืองเหลือยามอยู่เพียงแค่สองสามคนเพราะถูกกำจัดไปเกือบหมดแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนและกรูกันเข้าไปตามสัญชาตญาณทันที
คนที่ยังมีเรี่ยวแรงหลงเหลือก็วิ่งรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่คนอ่อนแอหมดกำลังทำได้เพียงตามหลังไปอย่างช้าๆ
ปัง! ปัง! ปัง!
ปืนกลหลายกระบอกบนกำแพงเมืองเกิดประกายไฟวาบขึ้น คลื่นคนเร่ร่อนแดนร้างที่แห่กันเข้าไปพากันล้มลงคนแล้วคนเล่า
เพียงแค่ยิงกราดไปนาทีเดียวก็มีคนเสียชีวิตอย่างมากมาย
คนเร่ร่อนด้านหลังพากันชะงักและเริ่มลังเล
แต่แล้วปืนกลก็เงียบเสียงลงเพราะจำเป็นต้องเปลี่ยนสายกระสุนชุดใหม่
ในตอนนี้ชุดหัวหอกกลุ่มแรกได้จัดการยามไปจนหมดแล้ว อาไฉและคนอื่นๆ รีบคว้าอาวุธที่ดีกว่าเดิมมาแล้วรีบวิ่งกรูขึ้นบันได ขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์
เมื่อได้เห็นแบบนี้ คนเร่ร่อนที่กระจัดกระจายไปเมื่อครู่ก็แห่กันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้งราวกับกระแสน้ำพัดถล่มเมืองหญ้าไพร
กองกำลังป้องกันเมืองและยามคฤหาสน์ที่ถูกเคลื่อนกำลังมาเนื่องจากการระเบิดที่โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง ในตอนนี้ต่างก็ไม่ทราบว่าควรจะส่งกำลังไปสนับสนุนทางด้านไหนดี
* * * * *
ณ โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง เหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยยกปืนขึ้นมาเล็งที่เพื่อนร่วมงานในบริษัทของตน
ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าใจบางเรื่องขึ้นมาแล้ว
ที่หลินเฟยเฟยเข้าไปในตรอกหมาป่าไพรนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับบาร์แถวนั้นเลย เธอเข้าไปที่นั่นเพื่อใช้เส้นทางลับเข้ามาในถนนเหนือนี่เอง
ซางเจี้ยนเย่าที่ในตอนนี้กำลังปลุกปล้ำอยู่กับมือของตัวเองก็พลันเอ่ยปากถามขึ้น
“ทำไมแกถึงไม่ลงมือยิงเองเลยล่ะ ทำไมถึงต้องไปหาลูกน้องมาอีกสองคน”
เดิมทีนั้น ‘บาทหลวง’ ไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ กลับรู้สึกอยากแบ่งปันแผนที่วางมาอย่างพิถีพิถันนี้ให้คนอื่นฟัง ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่ทำมาก็กลายเป็นว่าไม่มีคนรู้ไม่มีคนเห็นไม่มีคนชื่นชม
“ไม่ต้องรีบ” เขาพูดกับเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟย
จากนั้นก็หันไปมองและยิ้มให้ซางเจี้ยนเย่าในขณะที่โอดิคยังจามไม่หยุด
“ลองเดาดูสิ”
ซางเจี้ยนเย่าตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ฉันเดาว่าน่าจะเป็นเพราะข้อจำกัดของพลังพิเศษของแก
“แก่นแท้ของมันก็คือการเชื่อมโยงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแกเข้ากับอวัยะของอีกฝ่าย ทำให้เป้าหมายนั้นทำสิ่งที่แกต้องการ ‘แทน’ ตัวแกเอง
“หรือพูดได้ว่าที่พวกเรากำลังทำอยู่ตอนนี้ที่จริงแล้วก็คือแกกำลังเป็นคนลงมืออยู่ต่างหาก
“และเนื่องจากพลังนี้เป็นสิ่งที่กระทำลงไปแล้ว ก็เลยไม่สามารถใช้พลังพิเศษทำอย่างอื่นต่อได้อีก ไม่ว่าจะชักปืนออกมาหรือลั่นไกยิง”
‘บาทหลวง’ หัวเราะเบาๆ
“ถึงจะไม่ตรงซะทีเดียว แต่ก็ใกล้เคียง
“แกฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้ แต่ดูเหมือนว่าสมองจะมีปัญหาอยู่บ้าง”
ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้ม มองอีกฝ่ายก่อนจะพูดอะไรแปลกๆ ออกมา
“ล้ม ล้ม ล้ม…”
ทันทีที่เขาพูดคำว่า ‘ล้ม’ สามครั้ง ดวงตาของเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยก็ปิดลง ร่างพวกเขาล้มลงกับพื้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
‘บาทหลวง’ เองก็รู้สึกว่าสติของตัวเองกำลังจะดับวูบลง
เขาโพล่งออกมาอย่างประหลาดใจ
“พะ… พวกแก…”
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งอยู่ใกล้ประตูหัวเราะร่า
“ในฐานะที่เป็นบริษัทซึ่งเชี่ยวชาญด้านชีววิทยาและการแพทย์ การจะมีแก๊สกล่อมประสาทติดตัวไว้บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
“พอรู้แล้วว่าแกสามารถควบคุมมือของคนอื่นให้ทำร้ายตัวเองได้ แล้วมีเหรอที่พวกเราจะไม่เตรียมตัวก่อนจะเข้ามาในนี้”
แขนชีวภาพพลังไฟฟ้าของเธอนั้นยังมีอีกฟังก์ชันหนึ่ง นั่นก็คือชิปที่เชื่อมต่อกับจิตสำนึก หากไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มันก็สามารถปล่อยแก๊สกล่อมประสาทเจือจางซึ่งยากตรวจจับได้
ดังนั้นหลังจากกำจัดกลุ่มโจรที่มีชุดเกราะกระดูกเสริมแรงไปแล้ว เธอบอกว่ามีแผนหนึ่งที่คิดไว้ก็คือการยอมจำนน หลังจากถูกควบคุมตัวไว้ เธอก็สามารถตอบโต้กลับไปได้เต็มกำลัง
และนี่ก็คือวิธีตอบโต้ของเธอ
เมื่อผนวกเข้ากับความอึดในการกลั้นหายใจที่ผ่านการปรับปรุงพันธุกรรมแล้วของตนเอง ก็เพียงพอจะพลิกสถานการณ์ได้แล้ว นอกจากนั้นเธอก็สามารถเปลี่ยนจากแก๊สกล่อมประสาทเป็นแก๊สพิษได้อีกด้วย
แน่นอนว่าเธอไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะได้มีการเตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว ทั้งเธอและซางเจี้ยนเย่าต่างก็ใช้ยาป้องกันไว้ก่อนแล้วเช่นกัน
และด้วยน้ำส้มสายชูที่ ‘บาทหลวง’ ใช้เพื่อยับยั้งโอดิคก็ยิ่งช่วยปกปิดกลิ่นแปลกปลอมของแก๊สได้อย่างสมบูรณ์
นี่ได้ผลดีเกินความคาดหมายของเจี่ยงไป๋เหมียนไปมาก
สติสัมปชัญญะของ ‘บาทหลวง’ ค่อยๆ หลุดลอย
“ฉัน… ไม่…”
เขาเริ่มสำนึกได้และเสียใจว่าตนเองไม่ควรจะพูดมากถึงเพียงนั้น
ต้องบอกว่าเขามีกำลังใจเข้มแข็งมาก ส่วนโอดิคซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นน้ำส้มสายชูนั้นหมดสติไปนานแล้ว ไม่ได้จามอีกต่อไป
รอยยิ้มของซางเจี้ยนเย่าสดใสมากขึ้น
“แกคงไม่ได้คิดว่าตัวเองชอบพูดมากแบบนี้หรอกนะ
“ลองทายซิว่าได้รับผลกระทบจากพลังของฉันไปตั้งแต่เมื่อไหร่”
ตอนที่เขาพุ่งม้วนตัวเข้าไปหา ‘บาทหลวง’ นั้นไม่ใช่แค่เพื่อยิง แต่เพื่อเป็นการผลักดันให้ศัตรูเข้าไปใกล้โอดิค
ไม่อย่างนั้นอยู่ให้ห่างอีกหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไร ภายในอาคารนั้นกว้างขวางใหญ่โตเสียขนาดนี้ จะไปอยู่ตรงจุดไหนก็ได้ทั้งนั้น
ระยะทางเพียงเท่านี้ไม่ได้ส่งผลต่อความแม่นยำในการยิงอย่างมีนัยสำคัญสักเท่าไหร่หรอก
จุดประสงค์ซ่อนเร้นของเขาก็คือการแอบใช้ ‘คนไร้เหตุผล’ กับ ‘บาทหลวง’ ต่างหาก
เพียงแต่เขาไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายทำพฤติกรรมไร้เหตุผลอย่างรุนแรงและรู้สึกเสียใจภายหลังที่ทำลงไป
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผลของ ‘คนไร้เหตุผล’ จะถูกยกเลิกในทันที
เขาเพียงแค่ใช้พลังนี้เป็นตัวสำรองเผื่อไว้ในกรณีที่โอดิคควบคุม ‘บาทหลวง’ ไม่สำเร็จ โดยใช้การกระทำ ถ้อยคำ และการแสดง เพื่อกระตุ้นให้ ‘บาทหลวง’ พูดในสิ่งไร้เหตุผลมากขึ้นเพื่อประวิงเวลาให้กับเจี่ยงไป๋เหมียน
ในเมื่อไม่ได้ ‘ไร้เหตุผล’ อย่างชัดแจ้ง ในช่วงระยะเวลาอันสั้นเป้าหมายจึงแทบไม่สังเกตเห็นว่าตัวเองได้รับผลกระทบอะไรไป ทำให้ ‘คนไร้เหตุผล’ ส่งผลได้นานถึงสองสามนาที
ดังนั้นถึงแม้ว่าซางเจี้ยนเย่าจะต้องปลุกปล้ำอยู่กับทั้งมือตัวเองและของเจี่ยงไป๋เหมียนด้วย รวมทั้งไม่สามารถใช้พลังผู้ตื่นรู้อื่นได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ป้องกันไม่ให้ ‘บาทหลวง’ กลายเป็นคนช่างพูดมากกว่าปกติ
หลังจากฟังคำพูดของซางเจี้ยนเย่าแล้ว ร่างของ ‘บาทหลวง’ ก็ค่อยอ่อนยวบลง ในสายตายังมีความไม่ยินยอมพร้อมใจ
ซางเจี้ยนเย่ายังคงยิ้มไม่เปลี่ยน เขาพูดเสริมอีก
“แกแพ้ก็เพราะว่าแกต่อต้านปัญญา พวกคนรับใช้ของแกล้วนแต่ไร้สมอง เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดที่รอรับคำสั่งอย่างเชื่อฟังเท่านั้น แต่เพื่อนของฉันน่ะแข็งแกร่ง แกร่งมากๆ ด้วย”
ร่างของ ‘บาทหลวง’ ล้มกระแทกพื้นเสียงดังพลั่ก หมดสติไปโดยสมบูรณ์
“เชอะ ไอ้คำพูดประจบประแจงตอนท้ายนั่นไม่ต้องพูดก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนกลับหลังหัน และพยายามเปิดประตูเพื่อระบายอากาศ
ด้วยพละกำลังจากแขนซ้ายของเธอ จึงสามารถยกบานประตูม้วนไฟฟ้าอลูมิเนียมขึ้นมาได้โดยตรง
ลมหนาวภายนอกส่งเสียงหวีดหวิวผ่านเข้าประตูมา เช่นเดียวกับที่พัดเข้ามาทางช่องกระจกที่แตก พัดพากลิ่นแปลกๆ บริเวณนี้ให้กระจายหายไป
ในระหว่างนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจัง
“นอกจากรอให้แก๊สกล่อมประสาทของฉันทำงาน นายยังเตรียมรับมือไว้แบบไหนอีก”
ซางเจี้ยนเย่ายก ‘มอสน้ำแข็ง’ ในมือขึ้นมาทันที จากนั้นก็เล็งที่ศีรษะตนเองแล้วเหนี่ยวไกอย่างแรง
ไกปืนถูกลั่น
เสียงดังแชะ ไม่มีลูกกระสุนอยู่ในลำกล้อง
“ผมใส่ลูกกระสุนไว้กระบอกละสามนัด…” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างยิ้มแย้ม
และจากการโจมตีสองสามครั้งแรก กระสุนก็ถูกใช้ไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว
หากว่ายังมีโอกาสและจำเป็นต้องยิง ซางเจี้ยนเย่าจะทิ้ง ‘มอสน้ำแข็ง’ แล้วเปลี่ยนเป็น ‘ยูไนเต็ด 202’ แทน
เจี่ยงไป๋เหมียนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“สุดท้ายเขาก็ยังถูกนายปั่นหัวอยู่ดี”
ที่จริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องพยายามต่อต้านมือตัวเองเลย สามารถใช้พลังกับ ‘บาทหลวง’ ไปได้ตรงๆ
“แผนคือทำให้เขาสลบ ดังนั้นก็ต้องทำให้เขาสลบ นอกซะจากว่าจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ถึงค่อยเปลี่ยนวิธี” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม ขณะที่กำลังจะสั่งให้ซางเจี้ยนเย่าลากเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยไปที่สนามหญ้าด้านนอก แล้วพอพวกเขาฟื้นขึ้นมาก็ใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อทำให้พวกเขาเป็นมิตร จากนั้นก็ค่อยหาวิธีสลายการสะกดจิตไปตามสถานการณ์
แล้วในตอนนี้เธอก็ได้ยินเสียงปืนดังมาจากระยะไกล
นี่ราวกับว่าเกิดสงครามปะทุขึ้น
“คนเร่ร่อนแดนร้างพวกนั้น…” เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้ว รีบนึกทบทวนรายละเอียดต่างๆ ก่อนหน้านั้น
“ไม่เข้าท่าแล้ว!” เธอพึมพำกับตัวเอง
ซางเจี้ยนเย่าเองก็ถอนหายใจเช่นกัน
“เฮ้อ”
เมื่อเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนมองมา ซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มอธิบาย
“ผมรู้สึกว่า ‘บาทหลวง’ คนนี้อ่อนแอเกินไป ไม่เก่งเหมือนที่ผมคิด”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม
“ฉันเองก็มองเห็นปัญหาข้อหนึ่งเหมือนกัน
“ตอนที่ ‘บาทหลวง’ สะกดจิตเจิงกว่างวั่งและคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยพิจารณาข้อที่ว่าคนพวกนั้นอาจจะฆ่าตัวตายไม่สำเร็จแล้วเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับรูปลักษณ์หน้าตาและพลังพิเศษของ
ตัวเองหรือไง แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
“ไม่ว่านี่จะเป็นลักษณะพฤติกรรมของเขา หรือว่าเป็นการวางกับดักล่อโอดิคก็ตาม ฉันแทบจะนึกไม่ออกเลยว่าเขาลงมือภายใต้การไล่ล่าของกองกำลังใหญ่อย่าง ‘ปฐมนคร’ มานานขนาดนี้ได้ยังไง มันประมาทเลินเล่อมากเกินไป”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยุดชั่วขณะก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันว่าเขาดูเหมือนเหยื่อล่อมากกว่า”