รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 165 ลูกไม้
โชคยังดีสำหรับจิ้งเนี่ยนที่ถึงแม้ว่าตนนั้นจะไม่ได้เป็นผู้คุ้มกันมืออาชีพ แต่ก็ยังตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง นั่นคือ…
ต้องไม่อยู่ห่างจากผู้ว่าจ้างแม้เพียงชั่วขณะ และต้องอยู่ภายในระยะที่สามารถใช้ร่างกายตนเพื่อป้องกันลูกกระสุนให้เขาได้
ดังนั้นในขณะที่เขาใช้ ‘วิถีเดรัจฉาน’ ออกไปนั้น อีกด้านหนึ่งก็ขยับข้อต่อพุ่งไปที่สวี่ลี่เหยียน
แคร้ง! แคร้ง! แคร้ง!
ลูกกระสุนกระแทกที่ศีรษะและหลังของเขา ทำให้เกิดประกายไฟและรอยขีดข่วนจางๆ
นี่ไม่ใช่โล่มนุษย์ แต่เป็นโล่เกราะเหล็กของจริง!
พลั่ก!
สวี่ลี่เหยียนล้มกระแทกพื้นจนเกือบสิ้นสติจากแรงกดทับอันหนักหน่วงของร่างโลหะของหลวงจีนจักรกล
แล้วในตอนนี้อิทธิพลของ ‘วิถีเดรัจฉาน’ ก็ได้สร้างผลกระทบขึ้น
ผู้คุ้มกันทั้งห้าคนก้มลงไปคลานประหนึ่งว่าไม่อาจยืนด้วยขาสองข้างได้อีกต่อไป พวกเขาส่งเสียงร้อง “อะวู้” บ้างก็พยายามยกขาหลังขึ้นเพื่อปลดปล่อยปัสสาวะ
มีเพียงคนที่มีรอยคล้ำใต้ตาเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ เพียงแต่ห้อยสองแขนลงราวกับลิงที่หลุดเข้ามาในโลกมนุษย์
เขาวิ่งท่าทางเหมือนลิง ก่อนที่จิ้งเนี่ยนจะลุกขึ้นมายืนเขาก็กระโดดไปยังช่องบันได จากนั้นจับราวบันไดแล้วยันตัวข้ามกระโดดลงไป
ในระหว่างนี้เขาไม่ได้ร้องคำรามราวกับสัตว์ป่า ทว่ากลับตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ระเบิดพวกมัน!
“ระเบิดพวกมันให้กระจุย!”
จิ้งเนี่ยนประหนึ่งว่าติดตั้งสปริงเอาไว้ เขาดีดตัวพาสวี่ลี่เหยียนลุกขึ้นมายืน
หลังจากที่มองดูช่องบันไดแล้วเขาก็พูดอย่างระวัง
“พวกเรากระโดดไปทางหน้าต่างก็แล้วกัน”
“ได้” สวี่ลี่เหยียนที่เกือบถูกยิงเสียชีวิตและยังอยู่ในอาการตระหนก เขาจึงทำได้แค่เพียงพึ่งพาอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยน
จิ้งเนี่ยนโอบเขาด้วยมือข้างหนึ่ง งอเข่าเล็กน้อยแล้วกระโดดพุ่งชนกระจกหน้าต่างลงไปยังพื้นด้านล่างอย่างง่ายดาย
ผู้คุ้มกันทั้งสี่ซึ่งกลายเป็นสัตว์ป่าก็ฟื้นสติขึ้นมา
พวกเขามองหน้ากันอย่างงุนงง จากนั้นก็รีบตามจิ้งเนี่ยนไปโดยสัญชาตญาณทันที กระโดดพุ่งผ่านหน้าต่างที่แตกไปยังประตูหลังของสมาคม
ในตอนนี้ยามคฤหาสน์ที่อยู่ในละแวกนี้มารวมตัวกันเรียบร้อยแล้ว พากันเข้ามายืนห้อมล้อมสวี่ลี่เหยียนเอาไว้ดุจคูน้ำก็ไม่ปาน
หลังจากที่สวี่ลี่เหยียนขึ้นไปอยู่บนรถกันกระสุนที่ปรับแต่งมาเป็นพิเศษก็รู้สึกสงบใจได้บ้าง ออกคำสั่งกับคนขับรถด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“กลับคฤหาสน์”
พูดจบเขาก็หันมามองหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง แล้วพูดต่อด้วยความซาบซึ้งอย่างยิ่ง
“ขอบคุณอาจารย์เซนท่าน ไม่อย่างนั้นผมคงตายไปแล้ว”
“นโม อนุตตรสัมมาสัมโพธิ การช่วยชีวิตคนได้กุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น” จิ้งเนี่ยนตอบด้วยน้ำเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์
เขาหยุดไปอึดใจก่อนจะเสริม
“อาตมาหวังว่าเจ้าเมืองยังคงจำสัญญาก่อนหน้านี้ได้ ที่ว่าจะอนุญาตให้นิกายพวกเราเข้ามาบรรยายธรรมในเมืองหญ้าไพร”
“ไม่มีปัญหา” สวี่ลี่เหยียนยืนยัน “แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขด้วยนะ อาจารย์เซน พวกท่านห้ามส่งหลวงจีนที่จิตใจอ่อนไหว สติหลุดได้ง่ายๆ มาเด็ดขาด ไม่งั้นผมคงไม่มีทางโน้มน้าวผู้คนได้แน่”
ว่ากันตามตรงแล้ว ในตอนที่เขาอยู่กับจิ้งเนี่ยนก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก เพราะไม่รู้ว่าเมื่อใดจะไปแตะเข้ากับเกล็ดย้อนของอีกฝ่ายจนทำให้เขาเสียสติขึ้นมา
ขณะที่พูดนั้น ประตูกันกระสุนก็ปิดลง
แล้วขบวนรถขนาดย่อมก็ออกเดินทางไปทางถนนตะวันตก เพื่อกลับเข้าไปที่ถนนเหนือ
บนชั้นสามของสมาคมนักล่า ห้องทำงานของรองประธานสมาคม
คริสติน่ายืนอยู่หลังกระจกหน้าต่างมองดูเหตุการณ์ที่เกิด จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่านี่จะเป็นไปตามที่คุณคาดไว้นะ ไม่อย่างนั้นฉันคงถูกย้ายกลับไปที่ ‘ปฐมนคร’”
ร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างเธอนั้นสูงประมาณ 180 เซนติเมตร สวมชุดสีดำ ไว้ผมสั้นอย่างที่พบเห็นได้ทั่วไป แม้ว่าใบหน้าจะดูไม่เลว ทว่ามีรอยคล้ำใต้ตาอย่างมากจนทำให้ดูไม่มีชีวิตชีวา ราวกับว่านอนไม่หลับมาเป็นเวลานานแล้ว
เขาก็คือคนที่แอบลอบปะปนเข้าไปในกลุ่มผู้คุ้มกันของสวี่ลี่เหยียน หลังจากกระโดดลงบันไดไปชั้นล่างแล้วเขาก็กลับขึ้นมาชั้นบนโดยใช้บันไดอีกฝั่ง
สิ่งที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเขาหลุดพ้นจากอิทธิพลของ ‘วิถีเดรัจฉาน’ แล้ว
ชายผู้นี้ปิดปากหาวหวอด
“ผมคงรับประกันไม่ได้หรอกว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง บอกได้เพียงแค่ว่ามีโอกาสสำเร็จค่อนข้างสูง
“คุณไม่ได้มีส่วนในเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว ทำไมต้องกลัวว่าจะถูกตามคิดบัญชีด้วยล่ะ”
คริสติน่านั้นปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวใน ‘มายาแท้จริง’ ย่อมไม่มีใครกล่าวหาเธอได้
คริสติน่าเหลือบมองคนข้างกายแล้วยิ้มให้ด้วยดวงตาชุ่มชื้น
“ถ้าสวี่ลี่เหยียนรอดไปได้ เขาก็จะระวังฉันแน่ และต้องพยายามเต็มที่เพื่อให้สำนักงานใหญ่ย้ายฉันออกไปให้ได้ นอกจากนั้นเขาก็สามารถควบคุมตัวฉันได้โดยไม่จำเป็นต้องอ้างเหตุผลอะไรทั้งสิ้น แล้วให้โอดิคค้นหาเบาะแสด้วยพลังพิเศษผู้ตื่นรู้
“นี่ถ้าไม่ใช่คำสั่งจากเบื้องบน ฉันก็ไม่อยากจะให้คุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยจริงๆ
“จะว่าไปแล้ว พลัง ‘มายาแท้จริง’ ของคุณเมื่อครู่นี้ดูไม่ค่อยเหมือนเขตพลังแห่ง ‘ปัจฉิมมรรตัย’ สักเท่าไหร่ มันใกล้เคียงกับประทานพรแห่ง ‘มายาฉาย’ มากกว่า”
‘มายาฉาย’ คือผู้ครองกาลผู้ควบคุมเดือนสิบเอ็ด บางครั้งก็เรียกว่า ‘เทพแห่งภาพลวง’
ชายที่มีรอยคล้ำใต้ตาคลี่ยิ้ม ไม่ได้สนใจคำพูดของคริสติน่า
พลังพิเศษของเขานั้นอยู่ในเขตพลังของ ‘ปัจฉิมมรรตัย’ แต่เขาเล่นลูกไม้บางอย่างเข้าไปด้วย
ที่จริงแล้วมันคือพลัง ‘ท่องความฝัน’ ซึ่งสามารถกระตุ้นความทรงจำบางอย่างของเป้าหมาย ทำให้เขาสร้างภาพลวงตาที่เป็นจริงขึ้นมาได้
ผู้ตื่นรู้ที่มีพลังนี้ ส่วนใหญ่ก็มักใช้เพียงแค่ทำให้ศัตรูตกอยู่ในสภาวะมึนงง ความจำเสื่อม หวาดกลัว เคลิบเคลิ้ม
พวกเขาไม่เคยสนใจว่านี่เป็นพลังพิเศษที่มีผลครอบคลุมทั้งพื้นที่ สามารถกระตุ้นความทรงจำของหลายๆ คนได้พร้อมๆ กันแล้วสร้างเป็นภาพลวงตาที่ผสมผสานหลากหลายเรื่องราวเข้าด้วยกันได้
หลังจากที่ได้ลงแรงและ ‘วิวัฒนาการ’ มาหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถเชื่อมโยงร้อยเรียงภาพลวงตาเหล่านี้เข้าด้วยกันได้อย่างชำนาญ
ดังนั้นภาพมายาแท้จริงขนาดใหญ่จึงถูกสร้างขึ้นมา
ภาพลวงตานี้สามารถคงสภาพไว้ได้หลายนาทีก่อนที่เป้าหมายจะรู้สึกตัว เขาจึงสามารถสลับเปลี่ยนไปใช้การ ‘สะกดจิต’ เพื่อชักนำให้เรื่องราวดำเนินไปตาม ‘โครงเรื่อง’ ที่วางไว้ได้
การ ‘สะกดจิต’ นั้นเป็นพลังพิเศษที่มีระยะทำการแคบมาก ในการใช้งานแต่ละครั้งจำเป็นต้องเข้าไปในระยะ 5 เมตรจากตัวศัตรูและต้องสบตากันด้วย แต่หลังจากสะกดจิตสำเร็จและสภาพจิตของอีกฝ่ายขยายตัวออกแล้วผสานรวมเข้ากับคนอื่นๆ พวกศัตรูทุกคนก็จะตกลงสู่ภาพลวงตาพร้อมๆ กัน
เมื่อเข้าสู่ภาพลวงตาแล้ว ผู้ที่มีพลังที่เกี่ยวข้องในด้านนี้ก็สามารถใช้ผลกระทบจากภาพลวงตาเพื่อ ‘สะกดจิต’ อย่างผิวเผินในทิศทางตรงกันข้ามได้
พูดง่ายๆ คือก่อนอื่นต้อง ‘สะกดจิต’ ตัวเองและเปลี่ยนแปลงภาพลวงตาที่เกี่ยวข้องกับตนเสียก่อน จากนั้นก็ทำให้ภาพลวงตาส่งผลต่อผู้อื่นผ่านการเชื่อมโยงทางจิต แล้วใช้การเปลี่ยนแปลงของภาพลวงตาเพื่อปลูกฝัง ‘คำใบ้’ ลงไปในระดับหนึ่ง
ด้วยวิธีนี้จะสามารถสร้างผลกระทบได้สองชนิด
อย่างแรกก็คือเป็นการซ้อมไว้ก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปใน ‘มายาแท้จริง’ เพื่อคอย ‘เฝ้าสังเกต’ ว่าพวกเป้าหมายนั้นจะตอบสนองเช่นไร มีพลังพิเศษอะไร
อย่างที่สองคือการ ‘สะกดจิต’ อย่างง่ายๆ สองสามเรื่อง เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการกระทำหลังจากนี้
ด้วยวิธีการใช้งานอย่างแรก จึงทำให้ชายขอบตาคล้ำได้ล่วงรู้พลังพิเศษสองชนิดของจิ้งเนี่ยน จากนั้นก็ ‘สะกดจิต’ ตัวเองล่วงหน้า ทำให้เมื่อตอนที่ตัวเองสูญเสียสติสัมปชัญญะของมนุษย์ไปก็จะกลายร่างเป็นลิงเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย พลางร้องตะโกนด้วยภาษามนุษย์ในขณะที่หลบหนีไปด้วย เช่นนี้ก็จะรับมือกับ ‘วิถีเดรัจฉาน’ ได้
ส่วนการใช้งานอย่างหลังนั้น เขาทำให้จิ้งเนี่ยนกับสวี่ลี่เหยียนยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่ามีผู้คุ้มกันอยู่ห้าคน แล้วแอบปะปนเข้าไปโดย ‘สะกดจิต’ เหล่า ‘สหาย’ พวกนั้น
เมื่อคริสติน่าเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ ก็ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจก่อนจะพูด
“คุณคงจะหาตัวเองใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ เจอแล้วสินะ ถ้าหากเอาชนะเขาได้เมื่อไหร่ ก็สามารถเข้าสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้แล้ว”
“ถ้าคุณคิดอย่างนั้น งั้นก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ” ชายที่มีรอยคล้ำใต้ตายิ้มพลางละสายตากลับมา จากนั้นก็เดินไปที่ประตูห้องทำงาน
คริสติน่ารีบเรียกเขา
“อย่าลืมพาคนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไปที่ถนนเหนือด้วยล่ะ ตอนจบเราต้องสร้างจอมวายร้ายขึ้นมาด้วย”
“ผมให้พวกเขาไปที่นั่นแล้วล่ะ” ชายขอบตาคล้ำพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง
คริสติน่าเหลือบมองเขาแล้วถามต่อ
“ในเมื่อคุณคือ ‘บาทหลวง’ อย่างนั้นคนที่อยู่โรงพยาบาลเป็นใครกันล่ะ”
ชายขอบตาคล้ำพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเขาคิดว่าตัวเองเป็น ‘บาทหลวง’ งั้นเขาก็เป็น ‘บาทหลวง’ นั่นแหละ”
พูดจบเขาก็ยกสองมือขึ้นมาปิดดวงตา แล้วก็ทำตามพิธีกรรมของ ‘นิกายทอนปัญญา’
“โปรดศรัทธาแน่วแน่ต่อองค์เทพ”
หลังจากเสร็จพิธีกรรมเขาก็กลับหลังหันเดินออกจากประตูห้องไป
ทันใดนั้นภาพของเขาในความทรงจำของคริสติน่าก็กลายเป็นพร่าเลือนจนเธอไม่สามารถจดจำลักษณะของเขาได้
ดวงตาเธอชุ่มชื้นมากขึ้นเรื่อยๆ พลางหนีบขาสองข้างเข้าด้วยกันพร้อมกับถอนหายใจอย่างเศร้าใจ
“น่าเสียดาย…”
* * * * *
ณ โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง ถนนเหนือ
ถึงแม้ว่าจะมองเห็นปัญหานี้และสงสัยว่าบุคคลตรงหน้าอาจจะไม่ใช่ ‘บาทหลวง’ ตัวจริง แต่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็ยังคงอยู่ในที่เกิดเหตุ พวกเขาช่วยกันเคลื่อนย้ายโอดิค เหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และคนที่เรียกตัวเองว่า ‘บาทหลวง’ ออกมาข้างนอก และพยายามปลุกสามคนแรกให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว
ที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพราะรู้ว่าข้างกายของสวี่ลี่เหยียนนั้นยังมี ‘นิรันดร์กาล’ อยู่ด้วย สามารถรับประกันความปลอดภัยได้มาก นอกจากนี้สวี่ลี่เหยียนเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา ทั้งสองฝ่ายเพิ่งเคยพบหน้ากันเพียงแค่ครั้งเดียวและมีเพียงแค่สัญญาปากเปล่าเท่านั้น เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้ใส่ใจความปลอดภัยของเขาเท่าไรนัก
เธอตัดสินใจปลุกเหลยอวิ๋นซงและหลินเฟยเฟยให้ ‘ตื่น’ โดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้ถามไถ่เรื่องของเว่ยอวี้ หลูจี้ฉี และอวิ๋นเฮ่อ
ช่วยคนเปรียบดั่งช่วยดับไฟ! ต้องทำโดยด่วนที่สุด!
นี่คือภารกิจหลักของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่เดินทางมายังเมืองหญ้าไพร
ไม่ทราบว่าจมูกของโอดิคมีปัญหา หรือเป็นเพราะว่าเขาสูดกลิ่นน้ำส้มสายชูมากเกินไปจนทำให้เขาจามจนใกล้สิ้นสติอยู่แล้วจึงดมแก๊สกล่อมประสาทเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กอปรกับร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้นเขาก็เลยฟื้นขึ้นมาเป็นคนแรก
เขามองที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก่อนผุดลุกขึ้นมานั่ง
“‘บาทหลวง’ ล่ะ”
“อย่ารบกวนเขา” ซางเจี้ยนเย่าชูนิ้วขึ้นมาทำท่าให้เบาเสียงลง
“เขาไม่ฟื้นง่ายอย่างนั้นหรอกน่า” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหยุดการกระทำของหมอนี่ที่ชวนให้ผู้คนปวดหัว
ซึ่งที่จริงแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็พอจะคาดเดาความหมายของซางเจี้ยนเย่าได้ เขาหมายถึงว่า…
‘บาทหลวง’ นั้นแข็งแกร่ง และเชี่ยวชาญการ ‘สะกดจิต’ หากฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่
ระหว่างที่คนทั้งสองกำลังพูดกัน โอดิคก็ลุกขึ้นมายืนและมองไปรอบข้าง
เขาไม่ได้ถามว่าเป็นพวกคุณหรือเปล่าที่จัดการกับ ‘บาทหลวง’ เพราะว่าคำตอบของคำถามนี้มันเห็นได้อย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว
เขาจึงทำเพียงแค่ถอนหายใจ
“พวกคุณแข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะมาก”
ในตอนแรกนั้นเขาเพียงแค่ประเมินว่าคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าเขามาจากกองกำลังใหญ่ และมีความสามารถในระดับหนึ่ง
แต่ที่ไหนได้ ระดับความสามารถนี้กลับสูงจนน่าตระหนก
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องนี้กัน” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่ชายใบหน้าซีดเซียวซึ่งสงสัยว่าจะเป็น ‘บาทหลวง’ “ฉันรู้สึกว่าเขาอาจจะไม่ใช่ ‘บาทหลวง’ ตัวจริง คุณรีบติดต่อไปหาเจ้าเมืองสวี่ดีกว่า”
โอดิคนึกทบทวนเรื่องราวก่อนหน้านี้และรู้สึกว่ามีจุดน่าสงสัยจริงๆ เขารีบหยิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่โลกเก่าเรียกว่า ‘โทรศัพท์มือถือ’ ออกมา มันใช้สถานีฐานในพื้นที่เพื่อถ่ายทอดสัญญาณซึ่งสร้างโดย ‘สวรรค์จักรกล’ แล้วก็กดหมายเลขโทรออก
สายโทรศัพท์เชื่อมต่อสัญญาณอย่างรวดเร็ว
โอดิคได้ยินเสียงเตือนก่อนแล้วก็มีผู้รับสาย จากนั้นเขาก็รีบรายงานสถานการณ์ทางด้านนี้อย่างคร่าวๆ
และเป็นเพราะซางเจี้ยนเย่าขยิบตาให้เพื่อเป็นการ ‘บอกใบ้’ โอดิคจึงไม่ได้เล่าว่าพวกเขามีบทบาทอะไร
หลังจากวางสาย โอดิคก็หันไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า
“เจ้าเมืองถูกโจมตีโดย ‘นักบวช’ ตัวจริง แต่โชคดีที่มีผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย
“อีกไม่นานยามคฤหาสน์บางส่วนจะมารับช่วงที่นี่ต่อ”
เจี่ยงไป๋เหมียนก้มมองดูเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยที่ยังไม่ได้สติ
“พวกเราพาสองคนนี้ไปได้ไหม
“ส่วนคนที่สงสัยว่าเป็น ‘บาทหลวง’ นั่นจะปล่อยเอาไว้ให้คุณ”
โอดิคซึ่งจมูกยังแดงอยู่นิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“ได้
“พวกคุณพาคนไปคงไม่สะดวกเท่าไหร่ มันสะดุดตาคนอื่นไปหน่อย ขับรถผมไปก็แล้วกัน”
รถออฟโรดคันสีแดงของเขานั้นจอดอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าโรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง
“ขอบคุณ” ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนพูดพร้อมกัน
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามต่ออย่างเป็นกังวล
“คุณได้ถามหรือเปล่าว่าที่ถนนใต้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ถึงแม้ว่าเธอพอจะคาดเดาได้บ้าง แต่ก็ยังต้องการข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ