รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 167 กลับสู่ถนนเหนือ
ณ คฤหาสน์เจ้าเมือง ถนนเหนือ
เมื่อสวี่ลี่เหยียนกลับมาถึงบ้านที่คุ้นเคยก็ไม่รู้สึกตระหนกอีกต่อไป เขาค่อยๆ สงบใจลงและมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น
“สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” เขาถามผู้ช่วยที่รีบรุดมาหา
ผู้ช่วยคนนี้เป็นชายวัยกลางคนอายุใกล้สี่สิบ เคยผ่านประสบการณ์มาสองยุคสมัยตั้งแต่สวี่เอิร์ดและสวี่อู๋กง ได้พบเห็นการก่อกบฏและรัฐประหารมาแล้วหลายครั้งหลายครา ในตอนนี้จึงสงบเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“มิสเตอร์โอดิคส่งคนร้ายที่คาดว่าเป็น ‘บาทหลวง’ กลับมาแล้ว เขาต้องการพบท่านขอรับ
“พวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่บุกเข้ามา ได้ฉกฉวยอาวุธและอาหารไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้กำลังรวมตัวอยู่ที่จัตุรัสกลาง ดูเหมือนว่าต้องการจะโจมตีถนนเหนือ
“พวกเขากำลังพัฒนาจากกลุ่มที่สะเปสะปะไร้ระเบียบกลายมาเป็นกลุ่มก้อน ในช่วงแรกกองกำลังป้องกันเมืองได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลายกลุ่มสูญเสียที่มั่น กระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ ในเมือง พวกเขาทำได้เพียงป้องกันและเก็บกวาดในเบื้องต้นเท่านั้น อาจถูกการจลาจลกลืนได้ทุกเมื่อ
“ยามคฤหาสน์ที่ท่านส่งไปโรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่หนึ่ง หลังจากแยกย้ายกลับมาแล้วพวกเขาก็ไปเสริมกำลังที่สะพานทิศเหนือกับอาคารเทศบาล ตอนนี้รวมตัวกับยามเมืองที่นั่นเรียบร้อย ด้วยอาวุธที่มีอยู่ การป้องกันพื้นที่ที่นั่นสักช่วงหนึ่งย่อมไม่เป็นปัญหา แต่พวกเขามีจำนวนคนน้อยเกินไป”
นี่คือสิ่งที่พวกคนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนมหาศาลพวกนั้นพูดเอาไว้
เมื่อเทียบกับเหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่นี้ สถานการณ์นี้ยังไม่ถึงกับเรียกว่าไฟไหม้ขนคิ้ว[1] สวี่ลี่เหยียนสองมือไพล่หลังเดินไปเดินมาแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ลุงหลิว ท่านว่าเราควรจะทำยังไงกันดี”
ลุงหลิวตอบกลับด้วยความเคารพ
“รวบรวมกำลังพลให้มากขึ้นขอรับ”
สวี่ลี่เหยียนผงกศีรษะเบาๆ
“รับคำสั่งของผม
“เรียกสมาชิกสภาขุนนางทุกคนมาหารือเรื่องมาตรการรับมือ บอกทุกคนให้ส่งกำลังคนมาด้วย
“ระดมสมาชิกฝีมือดีออกไปทางประตูเมืองด้านทิศเหนือแล้วอ้อมกลับไปประตูเมืองด้านทิศใต้เพื่อสนับสนุนกองกำลัง
ป้องกันเมืองที่กระจัดกระจายกันอยู่ รวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกัน ขอเพียงจัดการเรื่องนี้ได้เรียบร้อย เรื่องจลาจลก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วล่ะ แต่ถ้ายังไม่ได้ผลอีกก็คงต้องยอมให้หยกศิลาล้วนแหลกลาญ[2] ส่งโดรนทิ้งระเบิดไปถล่มพวกมันให้ราบเป็นหน้ากลอง ไม่ต้องสนใจว่าเมืองจะเสียหายขนาดไหน
“นอกจากนี้ก็ให้ออกภารกิจทหารรับจ้างให้กับนักล่าทุกคน ให้สมาคมประกาศภารกิจทางลำโพงได้เลย”
ในเวลานี้พวกนักล่าซากอารยะต่างก็แยกย้ายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของเมือง ย่อมไม่อาจเข้าไปตรวจดูภารกิจในสมาคมได้
“ทราบแล้ว เจ้าเมือง!” ลุงหลิวตอบรับด้วยความเคารพ
สวี่ลี่เหยียนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเสริมเข้าไปอีก
“เรียกมิสเตอร์โอดิคเข้ามาด้วย”
หลังจากจัดการขั้นตอนต่างๆ อย่างเป็นระบบเสร็จสิ้น สวี่ลี่เหยียนก็ขอร้องหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง
“อาจารย์เซน ขอท่านโปรดใช้ ‘นิมิตพยากรณ์’ เพื่อดูเหตุการณ์หลังจากนี้ด้วย”
แสงสีแดงในดวงตาของจิ้งเนี่ยนสว่างวูบวาบ
“ได้”
แสงจากดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ของเขาสว่างค้างเอาไว้เช่นนั้น
ผ่านไปเจ็ดแปดวินาที จิ้งเนี่ยนก็พูดขึ้น
“อันตรายยังคงมีอยู่ ศัตรูได้จัดเตรียมดำเนินการต่อเนื่องจากการระเบิด ประสกไม่อาจประมาท”
ก่อนที่จะพิชิตตัวเองและเข้าสู่ทางเดินแห่งจิตได้นั้น พลัง ‘นิมิตพยากรณ์’ ของจิ้งเนี่ยนสามารถตรวจสอบได้เพียงแค่เฉพาะเรื่องที่กำลังจะเกิดซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นความตายของตนเองและผู้เป็นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องได้อย่างคลุมเครือเท่านั้น ไม่อาจมองเห็นภาพเหตุการณ์ได้และไม่อาจรู้ที่มาของสาเหตุด้วย
สวี่ลี่เหยียนผงกศีรษะ
“ผมจะระวัง และจะให้ยามค้นตัวทุกคนด้วย
“อาจารย์เซน ผมจะไปทำความสะอาดร่างกายหน่อย จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”
การโจมตีก่อนหน้านี้สวี่ลี่เหยียนล้มลุกคลุกฝุ่นไปสองรอบจนรู้สึกหวาดหวั่นขวัญเสีย และด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่นับว่าเบาของจิ้งเนี่ยนกดทับร่าง ทำให้เขาถึงกับปัสสาวะเล็ดไปนิดหน่อยด้วย
แต่ถึงจะไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็ยังคงคิดจะใช้โอกาสนี้ทำความสะอาดตัวเองเพื่อทำให้จิตใจสดชื่น ปรับความคิดให้เข้าที่ เตรียมรับมือกับความโกลาหลที่ตามมาอยู่ดี
จิ้งเนี่ยนผงกศีรษะเล็กน้อย
เขาได้ตรวจสอบแล้วว่าภายในห้องนอนของสวี่ลี่เหยียน ระเบียงห้อง และสวนหย่อมด้านนอกนั้นไม่มีอันตรายใดๆ ซุกซ่อนอยู่
* * * * *
ณ ลานด้านหลังของ ‘ร้านปืนอาฝู’
ชาวเมืองซึ่งถูกขับไล่ในระลอกแรกเริ่มเคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางไปไว้ที่ทางเข้าออกทุกจุดเพื่อเตรียมสร้างสิ่งกีดขวางและ
ปิดผนึกสถานที่เพื่อรับมือกับกลุ่มโจรบ้าคลั่งที่อาจจะตามมาอีก
ในบรรดาพวกเขา ผู้ใหญ่ทั้งชายหญิงอายุสี่สิบห้าสิบแม้จะทำอะไรไม่คล่องแคล่วเหมือนกับคนหนุ่มสาว แต่พวกเขาก็ทำได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนมีจังหวะจะโคนทำให้เกิดประสิทธิภาพในการลงแรงเป็นอย่างมาก แต่ละคนทำกันด้วยความรู้สึกราวกับปลาที่แหวกว่ายในน้ำ
นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องทำกันอยู่บ่อยครั้งเมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มเป็นสาว
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าจอดรถออฟโรดสีแดงคันใหญ่ในตรอกเสร็จ พวกเขาแบกเหลยอวิ๋นซง หลินเฟยเฟย และเด็กน้อยอีกสองคนเข้าไปในลานก่อนที่จะถูกปิดสนิท แล้วก็ขึ้นไปชั้นสองเพื่อไปสมทบกับไป๋เฉิน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ
เมื่อขอให้น้าหนานกับกู่ฉางเล่อช่วยดูแลเด็กทั้งสองคนแล้ว พวกเขาก็เข้าไปในห้องเพื่อสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน
“ยังอยากออกนอกเมืองอีกไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญแล้วถามขึ้น
ไป๋เฉินนิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“ช่วงที่วุ่นวายปั่นป่วนที่สุดผ่านไปแล้วล่ะ”
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย “ตอนที่เรามาถึงก็พบว่าพวกคนเร่ร่อนไปรวมตัวกันที่จัตุรัสกลางกันแล้ว เป็นไปได้ว่าน่าจะบุกเข้าถนนเหนือ ที่นั่นเป็นแหล่งที่มีอาหารมากที่สุด
“ไว้รอให้ทางเมืองหญ้าไพรจัดระเบียบกันใหม่ได้เมื่อไหร่ ไม่ช้าก็เร็วก็ฟื้นฟูกลับมาได้ พวกเขามีทั้งอาวุธทั้งกระสุนอยู่ในคลังอยู่ไม่น้อย”
ที่นี่คือศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุด เป็นสามเหลี่ยมทองคำที่ถูกขนาบด้วยสามกองกำลังใหญ่ ดังนั้นระบบป้องกันตัวเองจึงสร้างขึ้นมาเพื่อสามารถต้านทานการโจมตีจากกองกำลังใหญ่ได้อย่างน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ตราบใดที่คนเร่ร่อนแดนร้างไม่ได้ใช้คลื่นลูกแรกของจลาจลบุกเข้าสู่ถนนเหนือโดยอาศัยคนมากจู่โจมเข้ามาในตอนไม่ทัน
ระวังป้องกันจนทำให้ระบบของทั้งเมืองกลายเป็นอัมพาตอย่างสมบูรณ์ พวกเขาก็คงมีโอกาสทำสำเร็จได้ไม่มากนัก
ไป๋เฉินพูดต่อ
“ขอเพียงแค่ที่นี่ไม่ถูกโจมตีอย่างหนัก การจะต้านทานเอาไว้จนกว่าสถานการณ์เข้าสู่เสถียรภาพได้ก็ไม่ใช่ปัญหา”
ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำรอง อาวุธ หรือปราการป้องกัน ก็สามารถยื้อได้นานถึงสองสามวัน
เธอหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดอย่างลังเล
“น้าหนานมีคนอยู่ด้วยเยอะ ถ้าหากว่าจะพาออกไปด้วยก็ต้องใช้รถหลายคัน มันสะดุดตาเกินไป อาจจะตกเป็นเป้าได้ง่าย”
“ฉันเข้าใจน่า” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยรอยยิ้มเพื่อไม่ให้ไป๋เฉินรู้สึกลำบากใจ “การรั้งอยู่ที่นี่ก็มีข้อดีอยู่เช่นกัน ให้ทุกคนอยู่กันที่นี่ก็เป็นแผนที่ไม่เลวนักหรอก ดีเสียอีก…”
พูดถึงตรงนี้เธอก็หันไปหาซางเจี้ยนเย่า
“ไปดูหน่อยสิว่าจะปลุกเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยได้ไหม ถ้าพวกเราสามารถรู้ที่อยู่ของเว่ยอวี้กับคนอื่นๆ ได้ ก็อาจจะเข้าไปเสี่ยงภัยในเมืองกันสักหน่อย”
ถึงแม้จะเรียกว่าไปเสี่ยงภัย แต่น้ำเสียงเธอกลับฟังดูผ่อนคลายมาก พูดราวกับว่าจะออกไปเดินเล่นอย่างนั้นแหละ
สุดท้ายเธอก็พูดกับหลงเยว่หงด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้นายทำได้ไม่เลว ตอนนี้นับได้ว่าเป็นนักสู้ที่มีคุณบัติตามเกณฑ์แล้วล่ะ”
เมื่อหลงเยว่หงได้ยินเช่นนี้ก็ยืดอกเชิดหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ซางเจี้ยนเย่าซึ่งเดินไปถึงเตียงแล้วทำท่ากดหน้าอกของเหลยอวิ๋นซงเพื่อปั๊มหัวใจ
เห็นแบบนี้ก็ทำเอาเจี่ยงไป๋เหมียนอดกลอกตาไม่ได้ ทว่าเธอคร้านจะห้าม ปล่อยให้เขาทำตามใจ
ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง… เหลยอวิ๋นซงสำลักอากาศแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือป้ายชื่อที่มีตัวอักษรสีทองบนพื้นหลังสีแดง
มันเขียนไว้ว่า
‘ผานกู่ชีวภาพ’
“จำสิ่งนี้ได้ไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มประเมินอาการของอีกฝ่ายเพื่อตัดสินใจว่าควรจะให้ซางเจี้ยนเย่า ‘สร้างเพื่อน’ กับเขาหรือไม่
เหลยอวิ๋นซงลืมตาเต็มที่แล้ว ทว่าก็ยังดูราวกับว่ายังตาปรืออยู่
สายตาเขาว่างเปล่าเหม่อลอยอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะเป็นประกายขึ้น ราวกับว่าในที่สุดเขาก็ตื่นขึ้นจากฝันร้ายที่จมอยู่ในนั้นเกือบสองเดือน
“พวกคุณมาจากบริษัทเหรอ” เขาถามอย่างร้อนรน
“ลองเดาดูสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม
เขาเพิ่งพูดจบก็ถูกเจี่ยงไป๋เหมียนดึงไหล่ด้วยมือขวา
“คุณยังจำได้ไหมว่าตัวเองเป็นใคร ทำไมถึงมาที่เมืองหญ้าไพร” เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนคำตอบ
คิ้วของเหลยอวิ๋นซงขมวดเข้าหากัน กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็บิดเบี้ยวเล็กน้อยราวกับกำลังเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูก
“ผม ผม…” แล้วเขาก็ลุกพรวดขึ้นมานั่ง หอบหายใจหนักหน่วง “ระวัง… ระวังคนที่ดูเหมือนคนป่วยนั่น!”
เมื่อพูดคำพูดนี้ออกมา ใบหน้าของเหลยอวิ๋นซงก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อราวกับเพิ่งล้างหน้ามา
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“ถ้าหากเขาสามารถหลบหนีออกมาได้นะ”
เหลยอวิ๋นซงยังอยู่ในสภาพที่เพิ่งหลุดออกมาพบแสงสว่าง จึงยังไม่อาจทำความเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงจะฟื้นสติได้อย่างสมบูรณ์
“ผมชื่อเหลยอวิ๋นซง เป็นหัวหน้าทีมย่อยของบริษัท ผมมาที่เมืองหญ้าไพรเพื่อสืบหาเรื่องเมนเฟรมของ ‘สวรรค์จักรกล’
“ตอนที่พวกเราออกมาจากคฤหาสน์เจ้าเมือง ออกมาทางถนนเหนือ เราก็เจอกับผู้ชายสวมเสื้อเทรนช์โค้ทสีดำ เขาผอมมากและดูเหมือนจะป่วยด้วย…”
พูดไปพูดไป เสียงของเหลยอวิ๋นซงก็เบาลงเรื่อยๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“เขา ‘สะกดจิต’ พวกคุณห้าคนในคราวเดียวเลยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
จากการต่อสู้เมื่อก่อนหน้านี้ เธอแทบจะมั่นใจว่า ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมนั่นสามารถสะกดจิตได้เพียงแค่ครั้งละคนเท่านั้น
“เปล่า” เหลยอวิ๋นซงส่ายหัว “มีผมแค่คนเดียวที่มองเขาในตอนนั้น หลังจากนั้นพอกลับถึงร้านเหล้าและนอนหลับไป ผมก็ละเมอเดินออกไปหาเขาอีกครั้ง แล้วก็ทำตามที่เขาสั่งมาว่าให้รอจนฟ้าสางแล้วหาข้ออ้างกับโอกาส เพื่อทยอยพาสมาชิกในทีมไปหาเขาทีละคน…”
เมื่อได้ฟังเรื่องที่เหลยอวิ๋นซงเล่าให้ฟังจนจบ ผลการประเมินของเจี่ยงไป๋เหมียนก็คือ…
หลังจากที่ออกมาจากสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องและถูกกระตุ้นด้วยสิ่งของที่คุ้นเคย เขาก็น่าจะหลุดพ้นจากอำนาจ ‘สะกดจิต’ กลับเข้าสู่สภาวะปกติดังเดิมแล้ว
“คุณรู้หรือเปล่าว่าเว่ยอวี้อยู่ที่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามเรื่องสำคัญที่สุดขึ้นมา
เหลยอวิ๋นซงสั่นศีรษะเชิงตำหนิตัวเอง
“พวกเราแยกย้ายกัน ผมกับหลินเฟยเฟยพักอยู่ในอาคารสองหลังที่อยู่ติดกันในถนนใต้ พวกเราทำเรื่องต่างๆ ตามที่ชายคนนั้นสั่ง ส่วนเสี่ยวอวี้กับคนอื่นๆ ถูกเขาพาตัวไป…”
“งั้นคุณพอจะมีเบาะแสอะไรบ้างหรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
เหลยอวิ๋นซงขมวดคิ้วนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง
“การ ‘สะกดจิต’ ของคนคนนั้นดูเหมือนจะมีระยะเวลาจำกัด เขาจะมาหาเราเป็นระยะเพื่อ ‘สะกดจิต’ ซ้ำอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ออกคำสั่งใหม่ด้วย
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขามาสายไปหน่อย ตอนนั้นผมฟื้นสติขึ้นมาพอสมควรแล้วและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นผมก็เลยออกไปข้างนอกเพื่อสังเกตเส้นทางการเดินทางของเขา
“พวกเขาน่าจะอยู่กันที่ถนนเหนือนะ เพราะตอนนั้นผมได้ยินเขาพูดกับคนที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ว่า ‘พาพวกมันไปที่ถนนเหนือ’”
ในตอนนี้หลินเฟยเฟยก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน
หลังจากที่ทำซ้ำขั้นตอนก่อนหน้านี้แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยืนยันบางคำพูดของเหลยอวิ๋นซงได้
“พวกคุณยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ พักผ่อนก่อนดีกว่า พวกเราจะไปที่ถนนเหนือ จะพยายามหาทางไปเจอกับ ‘บาทหลวง’ ปลอมนั่นให้ได้ ลองดูว่าพอจะเค้นข้อมูลเรื่องที่อยู่ของพวกเว่ยอวี้จากเขาได้หรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตัดสินใจ และต้องการออกไปทันที
ซางเจี้ยนเย่ารีบเสริมขึ้น
“ไปแล้วจะได้คืนรถด้วย”
นี่ทำให้เหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สงสัยอยู่ครามครันว่าพวกตนยังไม่หลุดจากอำนาจ ‘สะกดจิต’ อย่างสมบูรณ์ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแก๊สกล่อมประสาทยังตกค้างอยู่ ดังนั้นสมองจึงเฉื่อยชาจนไม่อาจเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายได้
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนออกจากห้องมาถึงขั้นบันไดก็หันมาพูดกับหลงเยว่หงที่ติดตามมาด้วย
“นายอยู่นี่คอยช่วยเสี่ยวไป๋ละกัน
“อ้อ… คอยเตือนเธอด้วยว่าให้จับตาดูเหลยอวิ๋นซงกับหลินเฟยเฟยไว้ด้วย ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะดูไม่เป็นอะไรแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่มีอะไรจะรับประกันได้”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงรู้สึกอธิบายไม่ถูกเมื่อได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูหน้าต่างแล้วก็กระโดดจากชั้นสองลงไปที่ตรอกด้านนอก จากนั้นก็ขับรถไปถนนใต้พร้อมกับซางเจี้ยนเย่า
เธอรู้ว่าตอนนี้คนเร่ร่อนแดนร้างกำลังรวมตัวกันที่จัตุรัสกลางเพื่อเตรียมจะจู่โจมถนนเหนือ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าใช้เส้นทางสายนั้น ยอมเลือกเส้นทางอ้อมแทน
พวกเขาออกจากประตูเมืองทิศใต้แล้วอ้อมขึ้นไปที่ประตูเมืองทิศเหนือเช่นเดียวกับครั้งก่อน จากนั้นก็ใช้ใบผ่านทางที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษผ่านแนวป้องกันที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาเข้าไปได้อย่างราบรื่น
[1] ไฟไหม้ขนคิ้ว (火烧眉毛) หมายถึงสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วน
[2] หยกศิลาล้วนแหลกลาญ (玉石俱焚) เผาหยกซึ่งสูงค่าไปเผาพร้อมกับหินซึ่งด้อยค่า อุปมาว่า ไม่ว่าคนดีคนชั่วคนโง่คนฉลาด ทั้งหมดล้วนต้องถูกทำลายไปด้วยกัน