รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 169 สภาขุนนาง
โอดิคกดหมายเลขแล้วโทรออกไป ทว่าไม่มีผู้รับสาย
“คงเป็นเพราะกำลังประชุม ก็เลยปิดเสียง…” โอดิควิ่งไปพลาง พูดในสิ่งที่ตนเองคาดเดาไปพลาง
ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าต่างก็ไม่ได้พูดอะไร รีบกวดฝีเท้าวิ่งไล่ตามไปติดๆ
* * * * *
ณ ห้องประชุมสภาขุนนางในคฤหาสน์เจ้าเมือง
มีโต๊ะยาวตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้อง ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็คือเจ้าเมืองสวี่ลี่เหยียนซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา
ส่วนโต๊ะทั้งสองฝั่งนั้นก็มีคนนั่งฝั่งละสามคน
นี่ก็คือขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดซึ่งดำรงตำแหน่งสูงสุดของเมืองหญ้าไพร เพียงแต่ว่าหลังจากที่สวี่ลี่เหยียนขึ้นมาเป็นผู้ปกครอง ศูนย์กลางอำนาจก็ได้ถ่ายโอนไปที่ศาลากลางและกองกำลังป้องกันเมืองแทน เจ้าเมืองซึ่งเป็นผู้ควบคุมกองกำลังทั้งสองหน่วยนี้และได้รับการสนับสนุนจาก ‘ปฐมนคร’ แล้วค่อยๆ ริดรอนอำนาจของสภาขุนนางไป
แต่ด้วยวิกฤตการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ต่อให้สวี่ลี่เหยียนกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ยังไม่กล้าเพิกเฉยความเห็นของขุนนางอีกหกคน
พวกเขาล้วนมีทั้งกองกำลังส่วนตัว ทั้งคฤหาสน์ ทั้งประชากร รวมไปถึงทรัพยากรอีกสารพัดชนิด หากพวกเขาเกิดฉกฉวยใช้ประโยชน์จากความโกลาหลและรวบรวมพวกคนเร่ร่อนมาไว้ในมือ นั่นก็เพียงพอที่จะพลิกฟ้าคว่ำดินในเมืองหญ้าไพรได้แล้ว
เวลานี้ภายในห้องประชุมสภา ด้านหลังของขุนนางแต่ละคนมีเพียงแค่คนคุ้มกันอยู่เพียงสองคนเท่านั้น แม้แต่เจ้าเมืองสวี่ก็เช่นเดียวกัน
นี่เป็นเพราะหลังจากที่สภาถูกก่อตั้งขึ้นมาก็เกิดความขัดแย้งครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดการรั่วไหลครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า และเกิดการนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดก็ค่อยๆ ‘พัฒนา’ กลายเป็นกฎเช่นนี้ขึ้น
เมื่อใดที่เข้าไปในห้อง จะนำผู้คุ้มกันติดตามเข้าไปได้มากสุดเพียงแค่สองคนเท่านั้น
ในทำนองเดียวกัน ขุนนางกับผู้คุ้มกันสามารถพกพาอาวุธเข้ามาได้ แต่ห้ามเปิดเผยออกมาให้เห็นเด็ดขาด
กฎข้อบังคับการควบคุมอาวุธของเมืองหญ้าไพรนั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากสภาเช่นนี้เอง
ในครั้งนั้นบรรดาผู้นำของกองกำลังติดอาวุธทั้งหลาย ไม่ได้รับอนุญาตให้พาผู้คุ้มกันพกอาวุธเข้ามาด้วย พวกเขาจึงกลัวว่าอาจถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ กังวลว่าจู่ๆ เจ้าเมืองจะโยนจอกสุรา[1] แล้วมีมือปืนนับสิบนับร้อยโผล่พรวดออกมายิงใส่พวกเขา
แต่ถ้าปล่อยให้พวกเขานำอาวุธเข้าไป ในใจก็จะมีความฮึกเหิม แต่ละคนต่างก็เคยผ่านช่วงยุคสมัยของกลียุคกันมา ปากกระบอกปืนล้วนเคยอาบเลือด เพียงแค่พูดจาไม่เข้าหูก็อาจจะกลายเป็นการนองเลือดเล็กๆ ขึ้นมาทันที แล้วลากคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้นจึงต้องให้พวกเขาทิ้งคนคุ้มกันไว้ข้างนอก ในระหว่างการหารือจะพาเข้ามาได้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น และในขณะเดียวกันก็ต้องซ่อนอาวุธเอาไว้ให้มิดชิด ห้ามผู้อื่นเห็นเด็ดขาด นั่นก็คือต้องเก็บอาวุธเอาไว้ในที่ซึ่งไม่สะดวกจะหยิบออกมาใช้งาน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากว่าพวกเขาต้องการจะชักปืนออกมายิงศีรษะฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ก็จะมีช่วงเวลาให้ฝ่ายที่เป็นกลางได้ห้ามปรามเพื่อให้พวกเขาใจเย็นลงบ้าง
และนอกจากนี้พวกเขาก็จะมีความกังวลว่าซองปืนพกของตนจะใส่ไว้ในตำแหน่งที่หยิบไม่สะดวกมากพอ ทำให้ชักปืนช้ากว่าอีกฝ่ายไปสองสามวินาที หรือแม้แต่หลายสิบวินาที เช่นนั้นย่อมเกิดเรื่องหรรษาขึ้นแน่นอน ดังนั้นใจเย็นลงสักหน่อยดีกว่า แล้วโต้เถียงด้วยคารมแทนที่จะเป็นลูกปืน
นอกจากมาตรการนี้แล้ว ในการประชุมก็ยังมีการตรวจสอบวัตถุระเบิดอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครพลีชีพอวยพรให้กับทุกคน
ในเวลานี้ทางด้านซ้ายมือของสวี่ลี่เหยียนคือหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนในเสื้อคลุมยาว ด้านขวามือคือลุงหลิว ผู้ช่วยของเขา มีหนึ่งบู๊หนึ่งบุ๋นกำลังดี
แน่นอนว่านี่ย่อมไม่ได้หมายความว่าลุงหลิวจะไร้ความสามารถด้านการต่อสู้
เมื่อสมัยที่เขายังหนุ่มแน่น ด้วยปืนสองกระบอกในมือ ไม่ทราบว่ายิงสังหารศัตรูที่ต้องการทำลายเมืองหญ้าไพรและก่อรัฐประหารนองเลือดไปมากน้อยเท่าใด
เพียงแต่ว่าในปัจจุบันนี้เขาอายุมากแล้ว ความดุดันจึงลดน้อยถอยลง กอปรกับพบว่าตนเองนั้นถนัดจัดการด้านการเมืองมากกว่า คำพูดติดปากเขาจึงเปลี่ยนมาเป็น ‘สามัคคีคือพลังที่สำคัญสุด’
สวี่ลี่เหยียนมองดูทุกคนรอบห้อง ไม่ได้ใช้ภาษาทางการหรือถ้อยคำที่เป็นทางการใดๆ เพียงแค่พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ท่านลุงและท่านอาทุกท่าน พวกคุณน่าจะเห็นแล้วว่าภายนอกนั้นกำลังเกิดอะไรขึ้น”
เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีอ่อนน้อม หัวหน้าของตระกูลจ้าว จ้าวเจิ้งฉีก็ลูบเคราตนเองแล้วพูดขึ้น
“เจ้าเมือง หากมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ เมืองหญ้าไพรก็เป็นของทุกคน ใครจะไม่ให้ความร่วมมือบ้างล่ะ”
จ้าวเจิ้งฉีอายุห้าสิบปี เคราเริ่มมีสีเทาแซมเล็กน้อย สำหรับแดนธุลีที่ผู้คนล้วนผอมแห้ง ความอ้วนท้วนของเขาจึงค่อนข้างสะดุดตา
ผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านหลังเขา คนหนึ่งคือเดนตายที่ตระกูลเขาเลี้ยงดูมา อีกคนคือลูกชายคนโตของเขาซึ่งมีอายุสามสิบต้นๆ เขาถูกพามาที่นี่ด้วยเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับรูปแบบและขั้นตอนของสภาขุนนาง
เมืองหญ้าไพรก็เป็นของทุกคน… สวี่ลี่เหยียนแค่นเสียงเย้ยหยันอยู่ในใจ แต่เบื้องหน้ากลับพูดออกมาอย่างจริงใจ
“ตอนนี้มีผู้คนล้มตายไปมากมาย กำลังพลขาดมือขนาดหนัก พวกคนเร่ร่อนอาจทะลวงฝ่าแนวป้องกันของอาคารเทศบาลได้ทุกเมื่อ และรุกคืบเข้าไปที่ถนนเหนือ
“หวังว่าท่านลุงท่านอาทุกๆ ท่านจะช่วยส่งกองกำลังส่วนตัวออกมาเพื่อสร้างกองกำลังอันเป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับตอบโต้กลับไป สลายกลุ่มคนเร่ร่อนพวกนั้น ขับไล่ออกไปนอกเมืองก่อนที่พวกเขาจะจัดระเบียบรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้อย่างจริงจัง”
จ้าวเจิ้งฉีเหลือบมองเมอร์ริคซึ่งเป็นพ่อสามีของลูกสาวตนเอง รอให้เขาพูดออกมาก่อน
ตระกูลของเมอร์ริคนั้นเป็นชาวแม่น้ำแดง ทว่าหลังจากแต่งงานกันมาหลายชั่วคน เขาจึงมีลักษณะเด่นของชาวแดนธุลีมากกว่า ใบหน้าค่อนข้างนุ่มนวล รูขุมขนเล็กลง
เขามีผมสีบลอนด์ดวงตาสีฟ้า ริ้วรอยค่อนข้างลึก พูดอย่างเชื่องช้าอยู่เป็นนิจ ราวกับว่าถึงฟ้าจะถล่มลงมาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
“เจ้าเมือง การจะส่งกองกำลังส่วนตัวออกไปก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เมืองหญ้าไพรก็เป็นของทุกคน เราจะนั่งดูดายอยู่ได้ยังไง ใช่ไหมล่ะ
“ขอเพียงแค่ให้พวกเราเหลือกำลังพลบางส่วนไว้ปกป้องคฤหาสน์ ส่วนที่เหลือก็ยกให้คุณไปจัดการได้เลย
“เพียงแต่ว่าคนของผมไม่ใช่ทหารประจำการ ถูกฝึกมาเพื่อปกป้องคฤหาสน์ หากจะให้พวกเขาไปสู้รบ ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องยากเท่านั้น ผลลัพธ์ก็อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ด้วย
“เอาอย่างนี้ไหม ให้คนของพวกเราเข้าไปแทนกองกำลังป้องกันเมืองกับยามคฤหาสน์ของคุณ คอยป้องกันที่สะพานทิศเหนือกับอาคารเทศบาลเอาไว้ แล้วให้กองกำลังพวกนั้นรับหน้าที่ในการโจมตีตอบโต้”
เนื่องจากสวี่ลี่เหยียนใช้ภาษาแดนธุลี ดังนั้นเมอร์ริคจึงใช้ภาษาเดียวกัน แถมยังพูดได้คล่องแคล่วลื่นไหลมีคารมคมคายอีกด้วย เพียงมองดูก็รู้ว่าฝึกฝนมาไม่น้อย
เมื่อเมอร์ริคพูดจบ ทั้งจ้าวเจิ้งฉีและขุนนางในสภาคนอื่นๆ ต่างก็ขานรับเห็นพ้องต้องกันเป็นเสียงเดียวในทันที
เส้นเลือดบนขมับของสวี่ลี่เหยียนเต้นกระตุก มือทั้งสองกำที่พักแขนเก้าอี้จนแน่นโดยไม่รู้ตัว
ทว่าหลังจากได้รับสายตา ‘สามัคคีคือพลังที่สำคัญสุด’ จากลุงหลิว เขาก็ข่มใจแล้วยิ้มออกมา
“ผมเข้าใจความกังวลของท่านลุงท่านอาทุกๆ ท่าน ผมตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะเลือกคนที่ไม่บาดเจ็บจากกองกำลังป้องกันเมืองและยามเมืองเพื่อจัดตั้งกองกำลังสำหรับตอบโต้ เพียงแต่ว่าจำนวนคนคงมีไม่พอ พอถึงตอนนั้นก็คงต้องเลือกจากกองกำลังส่วนตัวของพวกคุณมาเสริมด้วย”
หลังจากมองดูกันและกันแล้ว จ้าวเจิ้งฉีก็ผงกศีรษะ
“ได้ งั้นก็แบบนี้แหละ”
ขุนนางคนอื่นๆ ไม่ได้ถกเรื่องนี้กันต่ออีก
นี่เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นต่างก็มีผลประโยชน์ของตัวเองอยู่ที่ถนนตะวันออก ถนนตะวันตก และถนนใต้ ที่จะต้องให้ความใส่ใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าของแท้จริงของโกดังสินค้า แต่ก็ยังเป็นเถ้าแก่ร้านเหล้า เจ้าของร้านขายข้าว ไม่ก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไนต์คลับ ดังนั้นพวกเขาจึงหวังอยากจะรีบแก้ปัญหาเรื่องคนเร่ร่อนแดนร้างให้เร็วที่สุด เพื่อให้ทรัพย์สินของตนเองเสียหายให้น้อยที่สุด
หลังจากเรื่องนี้ได้ตัดสินใจกันอย่างเป็นทางการเสร็จสิ้นแล้ว สวี่ลี่เหยียนก็เปลี่ยนมาพูดถึงประเด็นที่สอง
“ท่านลุงท่านอาทุกท่าน การจลาจลน่าจะคลี่คลายได้ในเร็วๆ นี้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก แต่ว่าพวกเรายังต้องหารือกันต่อถึงวิธีจัดการเรื่องหลังจากนั้น
“ด้านนอกถนนเหนือ ชาวเมืองไม่รู้ว่าตั้งเท่าไหร่ที่ถูกฆ่าตาย ถูกปล้นชิง ฤดูหนาวที่กำลังมาถึงนี้ก็คงจะลำบากสาหัสกันมาก ผมจึงยินดีที่จะเป็นผู้ริเริ่มในการบริจาคอาหารเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น อ้อ… พวกเวชภัณฑ์ก็ต้องบริจาคด้วยเหมือนกัน คงมีหลายคนที่บาดเจ็บแต่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา”
ทันทีที่เสียงของสวี่ลี่เหยียนขาดคำ จ้าวเจิ้งฉีก็สั่นศีรษะอย่างจริงจัง
“พวกเราเองก็ไม่มีอาหารสำรองเหมือนกัน
“นอกจากนี้ เหตุการณ์นี้มันก็เกิดแค่ช่วงเช้าสั้นๆ แค่แป๊บเดียว ในเมืองจะสูญเสียอาหารไปมากแค่ไหนกันเชียว ให้พวกเขาประหยัดประหยัดกันหน่อย แค่นี้ก็อยู่รอดจนพ้นฤดูหนาวกันได้แล้ว”
ล้อเล่นหรือเปล่า ของพวกนี้ไม่ใช่ ‘ทรัพย์สิน’ ตัวเองหรือไง ทำไมจะต้องเอาไปช่วยชาวเมืองพวกนั้นด้วย
“นั่นนะสิ” เมอร์ริคเห็นด้วย “พวกชาวเมืองทั่วๆ ไปจะตายไปบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร พวกเรามีทาสกันเหลือเฟืออยู่แล้ว”
“ใช่ ใช่ ถ้าใครกล้าสร้างปัญหา ก็ไล่ออกไปเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างไปเลย!” สมาชิกสภาขุนนางอีกคนหนึ่ง จางเหวินซิน แสดงความเห็นออกมา “รอไว้ให้สถานการณ์เข้าที่ดีแล้ว ขอเพียงพวกเราทางนี้ยังมีอาหารให้ขาย เดี๋ยวก็มีคนหลั่งไหลเข้ามาที่เมืองหญ้าไพรเองนั่นแหละ แค่นี้ก็มีคนมาเสริมส่วนที่หายไปแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงคัดค้านจากพวกเขา สวี่ลี่เหยียนก็ยกมือขึ้นมาถูขมับ รู้สึกในหัวมีเสียงอื้ออึง
เขาแทบจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์อย่างจริงจัง
“ถ้าพิจารณาถึงข้อที่ว่าครอบครัวของพวกทหารต่างก็อาศัยอยู่นอกถนนเหนือกันทั้งนั้น ถ้าพวกเขาเกิดแปรพักตร์ขึ้นมา พวกเราก็คงต้องหนีไปปฐมนครแล้วล่ะ”
จ้าวเจิ้งฉีหัวเราะร่า
“เจ้าเมือง เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกสมาชิกครอบครัวของกองกำลังส่วนตัวของพวกเราทั้งหมด พักกันอยู่ในคฤหาสน์ทั้งนั้นแหละ”
แต่ไม่ใช่ครอบครัวของกองกำลังป้องกันเมืองนะสิ… สวี่ลี่เหยียนรู้สึกว่าเส้นเลือดบนขมับเต้นกระตุกอย่างรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ
ไม่ได้มีเพียงแค่เสียงคัดค้านของสมาชิกสภาขุนนางเท่านั้นที่ดังหึ่งๆ อยู่ในหัวเขา เขายังได้ยินเสียงแว่วตะโกนก้องอยู่ภายในหูอีกด้วย
“ระเบิดพวกมัน!
“ระเบิดพวกมันให้กระจุย!”
ดวงตาของสวี่ลี่เหยียนค่อยๆ พร่ามัวจนต้องใช้มือหนึ่งประคองศีรษะตนเอง ส่วนอีกมือหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบรีโมทคอนโทรลสีดำขนาดเล็กออกมา
“ระเบิดพวกมัน!
“ระเบิดพวกมันให้กระจุย!”
เสียงปีศาจดังก้องอยู่ในหู ทำให้ลมหายใจของเขาหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ
แล้วในขณะนั้นเอง ประตูห้องประชุมขุนนางก็เปิดออก
เสียงยามตะโกนเข้ามาในห้อง
“ท่านเจ้าเมือง มิสเตอร์โอดิคต้องการพบท่านโดยด่วนครับ!”
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งอยู่ที่ประตูมีสายตาอันคมเฉียบเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ชำเลืองมองแว่บเดียวก็เห็นว่าสายตาของเจ้าเมืองนั้นผิดปกติ
มันเลื่อนลอยและดูบ้าคลั่ง
“เร็วเข้า!” ด้านหนึ่งเธอร้องเตือนโอดิค อีกด้านหนึ่งเธอก็ชักปืนพกออกมายิงโคมระย้าคริสตัลซึ่งแขวนไว้เหนือโต๊ะยาวในห้องประชุมสภาขุนนาง
ซางเจี้ยนเย่าชักปืนขึ้นมาคอยช่วยระวังหลังให้เจี่ยงไป๋เหมียน
เสียงดังปังและเสียงเพล้งดังขึ้นพร้อมกัน เศษแก้วร่วงกราวกระจายไปทั่ว
พวกเหล่าขุนนางทั้งหลายนั้น นอกจากสวี่ลี่เหยียนแล้วทุกคนล้วนแต่อายุไม่น้อย ต่างก็เคยผ่านสงคราม ผ่านการจลาจลมากันมาแล้วทั้งนั้น จึงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงปืนอย่างแคล่วคล่องว่องไวกันมาก
เมอร์ริคผู้พูดจาเนิบช้า ไถลตัวลงใต้โต๊ะ จ้าวเจิ้งฉีผู้อ้วนท้วนสมบูรณ์เอี้ยวตัวกระโดดผลุงออกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว พลางดึงลูกชายคนโตรีบพุ่งไปยังมุมห้อง…
คนคุ้มกันของพวกเขารีบชักปืนออกมาทีละคน ต่างมองหาแล้วเล็งมาที่ประตู
เสียงปืนดังลั่นทำให้สวี่ลี่เหยียนที่หัวโต๊ะตกตะลึงไปเช่นกัน ส่งผลให้เขาคืนสติจากเสียงปีศาจได้เล็กน้อย จึงหยุดการเคลื่อนไหวแต่เดิมไป
แต่ทว่าการคืนสติเพียงเล็กน้อยนี้ก็ถูกครอบงำอย่างรวดเร็ว สวี่ลี่เหยียนที่ดวงตาแดงก่ำกวาดสายตามองดูรอบห้องแล้วกดรีโมทควบคุมในมือตนเอง
ทว่าจู่ๆ เปลือกตาเขาก็หนักอึ้งในทันใด เขาสิ้นสติไปฉับพลัน เอนหลังพิงเก้าอี้ราวกับเข้าสู่ห้วงนิทรา
โอดิคสามารถคว้าช่วงเวลาสั้นๆ ที่เจี่ยงไป๋เหมียนสร้างขึ้น กระโดดพุ่งไปข้างหน้าแล้วพุ่งม้วนตัวอีกหนึ่งรอบจนเข้ามาใกล้สวี่ลี่เหยียนในระยะที่สามารถใช้ ‘ห้วงหลับใหล’ ได้!
จากนั้นเขาก็มองเห็นปากกระบอกปืนที่ทั้งดำทั้งหนาที่ ‘ยื่น’ ออกมาจากมือของหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยน
“เจ้าเมืองถูก ‘บาทหลวง’ สะกดจิต เขาจะระเบิดฆ่าตัวตายไปพร้อมกับทุกคนที่นี่!” โอดิครีบตะโกนเรื่องที่เขาคาดเดาไว้ออกมา
ประโยคนี้ทำให้การตอบโต้ของผู้คุ้มกันและยามนอกห้องหยุดลงโดยฉับพลัน แล้วหันมาเผชิญหน้ากับเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า
หลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนนั้น ด้านหนึ่งก็ยังคงเล็งที่โอดิค อีกด้านหนึ่งก็ยื่นมือโลหะออกไปฉีกกระชากเสื้อคลุมของสวี่ลี่เหยียน
สภาพของเจ้าเมืองถูกเผยออกมาทันที
เขามัดระเบิดเอาไว้รอบเอวสองสามรอบ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นระเบิดแรงสูงที่ผลิตโดย ‘ออเรนจ์คอมพานี’
ถ้าหากสิ่งนี้ระเบิดขึ้นมา ไม่เพียงแต่คนในห้องประชุมสภาขุนนางเท่านั้นที่ไม่รอด แม้แต่ห้องที่อยู่ถัดไปอีกสองสามห้องเองก็ไม่เหลือซากเช่นกัน
บุคคลเพียงคนเดียวที่อาจจะพอมีหวังรอดได้ในสถานการณ์เช่นนั้นคงมีเพียงอาจารย์เซนหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยน
* * * * *
[1] โยนจอกสุรา (摔下杯子) เป็นสำนวนที่ปรากฏอยู่ในนิยายเรื่องสามก๊ก ตอนที่จิวยี่วางแผนสังหารเล่าปี่โดยลวงให้มางานเลี้ยง ในระหว่างงานหากจิวยี่โยนจอกเหล้าเมื่อไหร่ นั่นคือการส่งสัญญาณให้ทหารที่เตรียมซุ่มไว้ ออกมาสังหารเล่าปี่ทันที