รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 170 ปัง
เมอร์ริคที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะสามารถมองเห็นสถานการณ์ของสวี่ลี่เหยียนได้อย่างชัดเจน เขารีบคลานออกมาแล้ววิ่งไปยังมุมห้องที่จ้าวเจิ้งฉีอยู่
ระหว่างที่วิ่งเขาก็ตะโกนไปด้วย
“ระเบิด!
“เขาพันระเบิดไว้รอบตัว!”
เป็นเพราะจ้าวเจิ้งฉีกับคนอื่นๆ นั้นอยู่ค่อนข้างไกลและมีโต๊ะบังอยู่ทำให้มองไม่เห็นสภาพของสวี่ลี่เหยียนอย่างละเอียด พวกเขาจึงรีบถามออกมาอย่างร้อนรน
“ระเบิดแบบไหน”
“มีอะไร”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะดูเหมือนว่าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วละก็ พวกเขาคงสั่งให้ผู้คุ้มกันของตนรีบเคลียร์ทางแล้วเผ่นแน่บออกจากห้องโดยไม่ลังเล แล้วออกไปรวมตัวกับผู้คุ้มกันด้านนอกทันที
“‘เห็ดน้อย’! สวี่ลี่เหยียนเอา ‘เห็ดน้อย’ พันรอบตัว!” เมอร์ริครีบเล่าสถานการณ์ให้ฟัง
ระเบิดชนิดนี้มาจาก ‘ออเรนจ์คอมพานี’ เป็นรุ่น H404 เนื่องจากพลังทำลายที่รุนแรงมาก มีฉายาว่า ‘เห็ดน้อย’[1]
“บัดซบ!” ฟรานเชสโก สมาชิกสภาขุนนางสายเลือดแม่น้ำแดงอีกคนหนึ่งอดด่าออกมาไม่ได้
นี่ถ้าหากว่า ‘เห็ดน้อย’ พวงนี้ระเบิดขึ้นมา หมายความว่าภายในห้องประชุมนี้และพื้นที่ด้านนอกในบริเวณใกล้เคียงคงไม่มีใครรอด ยกเว้นพวกตัวประหลาดทั้งหลาย
หลังจากความปั่นป่วนโกลาหลช่วงสั้นๆ ผ่านพ้นไป จ้าวเจิ้งฉีมองไปที่โอดิค ลุงหลิว และ ‘คนลึกลับ’ ในเสื้อคลุม แล้วถามเสียงดัง
“เกิดอะไรขึ้น
“อ้อ ใช่ ระ…รีบทำลายระเบิดก่อน”
บทสนทนาดังกล่าวทำให้เขาตัวสั่นเล็กน้อย
“หลวงจีนยากไร้ผู้นี้จะลงมือเอง” ภายใต้การควบคุมจากชิป นิ้วโลหะทั้งห้าของจิ้งเนี่ยนค่อยๆ ปลดระเบิดที่ผูกติดกับร่างสวี่ลี่เหยียนด้วยความแม่นยำระดับสูงสุด
เวลานี้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เนื่องจากตนเองนั้นทำผิดพลาดแบบ ‘ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น’
ในการมาเป็นผู้คุ้มกันที่เมืองหญ้าไพร เขาถึงขนาดต้องติดตั้งอุปกรณ์เสริมซึ่งปกติไม่เคยได้ใช้งาน และใช้มันเพื่อตรวจสอบเหล่าขุนนางและผู้คุ้มกันคนอื่นๆ อย่างละเอียดว่าพวกเขาพกพาระเบิดมาเกินกว่าข้อกำหนดหรือไม่ ทว่าเขากลับละเลยผู้ว่าจ้างของตัวเองไป
โอดิคไม่ได้ทำตัวโอ้อวด เขามองจ้าวเจิ้งฉีแล้วอธิบายคร่าวๆ
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ‘บาทหลวง’ ของ ‘นิกายทอนปัญญา’ จู่โจมเจ้าเมืองสวี่ แต่ถูกยับยั้งไว้ได้
“ทว่าจุดประสงค์แท้จริงนั้นไม่ใช่เพื่อลอบสังหาร แต่เพื่อต้องการเข้าประชิดตัวและสบตาเพื่อ ‘สะกดจิต’ เจ้าเมืองสวี่ ให้เขาเรียกขุนนางทุกคนมาประชุมเพื่อหารือจากนั้นก็ทำการระเบิดฆ่าตัวตาย กวาดล้างคนระดับสูงของเมืองหญ้าไพรทั้งหมดในคราวเดียว”
ประโยคในครึ่งหลังนั้นเขาเพิ่งจะยืนยันได้ในตอนนี้เอง
หากต้องการเพียงแค่ลอบสังหารสวี่ลี่เหยียน ‘บาทหลวง’ ไม่จำเป็นต้องวางอุบายทำเรื่องที่ ‘ไร้ประโยชน์’ มากมาย แต่เนื่องจากเป้าหมายที่แท้จริงของเขานั้นยิ่งใหญ่และยุ่งยากอย่างยิ่ง
นั่นคือการกำจัดขุนนางทั้งหมดของเมืองหญ้าไพร!
พึงรู้ว่าสวี่ลี่เหยียนนั้นอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองจากหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยน ไม่ว่าจะติดต่อผ่านช่องทางปกติ หรือแอบ ‘สะกดจิต’ ด้วยวิธีใดก็ตาม ล้วนมีโอกาสถูก ‘นิมิตพยากรณ์’ ทำลายลงได้ทั้งนั้น และนอกจากนั้นแล้วภายใต้สายตาจับจ้องของ ‘นิรันดร์กาล’ นั้น การ ‘สะกดจิต’ ย่อมถูกตรวจพบได้อย่างง่ายดาย เมื่อถึงตอนนั้น แม้อยากหนีก็ยากหนีพ้น
ในขณะเดียวกัน การประชุมที่สวี่ลี่เหยียนเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นการประชุมแบบไหน ทุกคนจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด สามารถพกพามาได้เพียงแค่อาวุธยิงที่มีพลังทำลายในระดับเบา อย่างเช่นปืนพกที่สามารถซุกซ่อนอยู่บนร่างได้เท่านั้น
ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังหารขุนนางทั้งหมดในเมืองหญ้าไพร
ที่นี่ยังมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในระดับวางใจได้
ส่วนแรงจูงใจเบื้องต้นที่ทำให้มีเป้าหมายใหญ่ถึงขั้นนี้ ยังไม่อาจทราบได้ชั่วคราว
“นโม อนุตตรสัมมาสัมโพธิ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…” หลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนเอ่ยนามพระพุทธองค์
ในที่สุดเขาก็เข้าใจความเป็นมาเป็นไปทั้งหมด รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อีกทั้งยังพบต้นเหตุที่แท้จริงของลางสังหรณ์อันตราย ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าเป็นการลอบสังหารครั้งที่สอง
“สุดยอดมาก!” ซางเจี้ยนเย่าชื่นชมไม่ขาดปาด
หากไม่เป็นเพราะว่าเขากำลังถือปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ และกำลังเผชิญหน้ากับพวกคนคุ้มกันหลายสิบคนเพียงลำพัง เขาย่อมไม่พลาดโอกาสตบมือขึ้นมาอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนจะไม่ได้หันหน้ากลับไปมองก็ยังรู้ว่าใบหน้าเขาต้องแสดงความชื่นชมออกมาจนทะลักล้น
เขาชื่นชมการแสดงของ ‘บาทหลวง’ ที่เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้
จ้าวเจิ้งฉี ฟรานเชสโก และคนอื่นๆ ซึ่งแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนี้ ต่างพากันโล่งอก ไม่ได้สนใจคำโอ้อวดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของโอดิคเพิ่งพูดออกมา
ตอนที่ ‘นักล่าชั้นสูง’ ผู้นี้มาถึงเมืองหญ้าไพรนั้น พวกเขาย่อมต้องส่งคนไปสอบถามข้อมูลของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องมาบ้างไม่มากก็น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกว่าโอดิคเป็นคนแปลกหน้า ต่างพากันมองมาด้วยความสำนึกขอบคุณ
“มิสเตอร์โอดิคใช่ไหม ต้องขอบคุณมากจริงๆ ไม่งั้นพวกเราคงโดนระเบิดตายไปแล้ว”
“ไว้กลับไปแล้วพวกเราจะเตรียมของขวัญขอบคุณไว้ให้อย่างแน่นอน”
“บัดซบ ตลอดชีวิตตาแก่คนนี้ เคยผ่านคลื่นลมมรสุมมานับครั้งไม่ถ้วน แต่วันนี้เกือบต้องมาตายน้ำตื้น กลายเป็นผีโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกใครฆ่า! มิสเตอร์โอดิค พวกเรามาสนิทชิดเชื้อกันให้มากหน่อย เอาไว้รอให้เรื่องนี้จบก่อน คุณต้องมาเป็นแขกที่คฤหาสน์ผมนะ”
“เมืองกลับมาเป็นระเบียบเมื่อไหร่ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือต้องจับพวกสาวกของ ‘นิกายทอนปัญญา’ มาให้หมด เอามาเผาให้ตายที่จัตุรัสกลาง!”
ขณะที่พูดกันอยู่นั้น หลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนก็ถอดระเบิด H404 ออกมาจากร่างของสวี่ลี่เหยียนแล้ว และถือเอาไว้พร้อมกับรีโมทคอนโทรลสีดำ
เดิมทีนั้นเขาต้องการนำของความเสี่ยงสูงชิ้นนี้ไปที่ไกลๆ จากห้องประชุมด้วยตัวเอง แต่เมื่อมองดูสวี่ลี่เหยียนก็เลิกล้มความคิดไป
ผู้คุ้มกันที่ได้มาตรฐานไม่ควรอยู่ห่างจากผู้ว่าจ้างของตนเกินสามเมตร
“ใครจะเป็นคนรับผิดชอบเอาเจ้านี่ไปจัดการ” จิ้งเนี่ยนยกมือขึ้นมาแล้วถามด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์
เมืองหญ้าไพรนั้นตั้งอยู่ที่ริมชายแดนของแดนกันดารหลวงจีน คนที่อยู่ภายในห้องประชุมจึงไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดกับหลวงจีนจักรกล ในตอนนี้พวกเขาพอจะคาดเดาตัวตนของจิ้งเนี่ยนได้บ้างแล้ว แต่หลังจากมองดูพวงระเบิดกับรีโมทคอนโทรลแล้วทั้งหมดต่างเลือกที่จะเงียบเสียงไว้ก่อน
เห็นได้ว่าไม่มีขุนนางคนใดยินยอมลดสถานภาพตนเองไปทำเรื่องนี้ การส่งผู้คุ้มกันออกไปจะทำให้พลังการป้องกันตัวของตนอ่อนแอลง ส่วนการเรียกยามด้านนอกเข้ามาก็จะเป็นการละเมิดกฎและอาจกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นได้ง่าย ทำให้ขุนนางคนอื่นๆ คิดว่ามีคนต้องการฉวยโอกาสเปิดฉากยิง
นอกจากนี้ จะแน่ใจได้ยังไงว่ายังมีรีโมทอันอื่นที่ใช้ควบคุมระเบิดกองนี้อีกหรือเปล่า แล้วถ้าหากว่า ‘บาทหลวง’ หรือพวกพ้องแอบอยู่ในคฤหาสน์เจ้าเมือง พอถึงเวลาเหมาะสมก็กดสวิทช์ให้ระเบิดล่ะ
หากเป็นแบบนั้น คนที่ถือระเบิดอยู่ก็คงไม่แคล้วเละจนไม่เหลือซาก!
แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็เห็นด้วยเรื่องที่ต้องการนำเจ้าสิ่งอันตรายนี้ออกไปให้เร็วที่สุด
พวกเขาต่างก็มีความคิดที่คล้ายกัน จึงหันไปมองโอดิคอีกครั้ง หวังให้เขาสั่งให้ลูกน้องเป็นคนไปจัดการเผือกร้อนก้อนนี้
ซางเจี้ยนเย่ารีบขันอาสาโดยไม่รอให้ใครออกปาก
“ผมเอง!”
เขารู้สึกสนใจเจ้า ‘เห็ดน้อย’ พวงใหญ่นี่มาก
“ดี!”
“กล้าหาญมาก!”
เหล่าขุนนางในห้องประชุมต่างก็มีมติเป็นเอกฉันท์ และส่งสัญญาณให้ผู้คุ้มกันของตนลดอาวุธลง หยุดการเผชิญหน้ากัน
ซางเจี้ยนเย่าตรงเข้าไปหาหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยน ยื่นมือซ้ายออกไปหยิบพวงระเบิดมา
จากนั้นยื่นมือขวาให้ ทำท่าว่าต้องการจับมือ
จิ้งเนี่ยนตะลึงไปชั่วอึดใจเดียว แล้วยื่นมือขวาซึ่งเป็นโครงโลหะของตนออกมาอย่างงุนงงเล็กน้อย จับมือกับซางเจี้ยนเย่า
“อาจารย์เซน เอาไว้ผมค่อยเปิดเพลงให้คุณฟังทีหลัง คุณต้องชอบแน่” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างกระตือรือร้น
นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกำลังอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดจริงจัง เจี่ยงไป๋เหมียนคงยกมือปิดหน้าตัวเองไปแล้ว
ในเวลานี้หลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนไม่รู้ว่าจะตอบกลับเช่นไรดี แต่ยังดีที่จ้าวเจิ้งฉีเข้ามาช่วยเหลือไว้
“ตอนนี้ปลุกเจ้าเมืองได้แล้วล่ะ มีรายละเอียดบางเรื่องที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้”
โอดิคไม่คัดค้าน เขาผงกศีรษะให้จิ้งเนี่ยน
หลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนจับไหล่ของสวี่ลี่เหยียนแล้วเขย่าทันที
เดิมทีซางเจี้ยนเย่าเฝ้ามองดูด้วยความกระตือรือร้น แต่เนื่องจากเขากำลังถือวัตถุอันตราย จึงได้รับคำสั่งอย่างเป็นเอกฉันท์ให้รีบนำมันออกไปโดยด่วน
ดังนั้นเขาจึงจำต้องขยับเท้า ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปที่ประตูเข้าออกทีละนิดทีละนิดอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
สองสามวินาทีถัดมาสวี่ลี่เหยียนก็รู้สึกตัวตื่น
ในตอนแรกเขามึนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รีบก้มศีรษะลงมองดูรอบเอวของตน
“เจ้าเมืองสวี่ คุณถูก ‘บาทหลวง’ สะกดจิตน่ะ” โอดิคเตือนความจำเขา
สีหน้าของสวี่ลี่เหยียนเปลี่ยนไปแปรมาครั้งแล้วครั้งเล่าในขณะที่เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความโล่งใจ
“ผมนึกออกแล้ว…
“ในตอนที่กำลังทำความสะอาดตัวเองอยู่นั้น ก็มีเสียงพูดว่า ‘ระเบิดพวกมัน!’ ดังขึ้นมาในหัว หลังจากนั้นผมก็เห็นระเบิดวางอยู่ในคลังแสงลับภายในห้อง…”
หลังจากความพยายามล้มเหลวและได้รับการบอกเล่าความจริง ผลของการ ‘สะกดจิต’ ก็สลายไป
“เจ้าเมือง… ไม่ใช่ว่าผมจะถือว่าตัวเองเป็นผู้เฒ่าผู้แก่หรอกนะ แต่ทีหน้าทีหลังจะทำอะไรก็ระวังตัวให้มากหน่อย อย่าเอาแต่วิ่งไปๆ มาๆ ที่สมาคมนักล่านักเลย” จ้าวเจิ้งฉีฟังเรื่องราวจนจบแล้วก็ถือโอกาสสั่งสอนแฝงนัยไปประโยคหนึ่ง
สวี่ลี่เหยียนสภาพจิตเริ่มดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนั้น เขามองไปที่ยามนอกห้องแล้วพูดด้วยจิตสังหาร
“ไปบอกให้ซุนเสวี่ยเฟิงจัดทีมโดยด่วนที่สุด เราจะตอบโต้กลับไปโดยเร็ว ภายในหนึ่งชั่วโมงจะต้องไล่พวกคนเร่ร่อนนั่นออกไปจากเมืองให้ได้”
เมื่อเห็นว่าการระวังภัยถูกยกระดับ เมอร์ริคและคนอื่นๆ ค่อยโล่งใจ ทยอยเดินกลับไปยังโต๊ะยาวแล้วแสดงความคิดเห็นของตนออกมา
“ใช่แล้ว เจ้าพวกสารเลวสมควรตายพวกนั้นไม่รู้ว่าทุบทำลายข้าวของไปตั้งเท่าไหร่ หวังว่าพวกมันคงไม่ทำลายเสบียงมากเกินไป”
“อาหารของพวกเรากว่าจะปลูกขึ้นมาได้ ต้องลำบากยากเย็นอาบเหงื่อต่างน้ำ จะปล่อยให้พวกมันฉกฉวยเอาไปง่ายๆ ได้ยังไง จับเจ้าพวกนี้มาบางส่วนให้เป็นทาสก็นับว่าเมตตาไปถึงสวรรค์แล้ว”
“ทำไมถึงไม่ยอมอยู่นอกเมืองอย่างเงียบๆ รอจนกว่าทีมล่าทาสทีมอื่นๆ จาก ‘ปฐมนคร’ มาถึงกันนะ”
“ใครใช้พวกมันไม่รู้จักเก็บสะสมเสบียงสำรองเอาไว้ พออดตายขึ้นมาแล้วจะโทษใครได้”
“ผมว่าไม่ควรขับไล่พวกมันให้ออกนอกเมืองไปหรอก ถ้าไม่สั่งสอนบทเรียนหนักๆ ให้พวกมันบ้าง ก็ไม่มีทางเข็ดหลาบหรอก!”
“เก็บพวกมันเอาไว้ก็สร้างปัญหา สู้หาวิธีกำจัดพวกมันโดยไม่ต้องเปลืองกระสุนดีกว่า”
จ้าวเจิ้งฉีและคนอื่นๆ ต่างก็พูดไปร้อยแปดพันเก้า แล้วหันเหหัวข้อมายังแผนเยียวยาของสวี่ลี่เหยียน
“เจ้าเมือง คุณห้ามใจอ่อนเด็ดขาด”
“ถึงแม้ว่าอยากจะช่วย แต่จะให้เปล่าๆ ไม่ได้ ชาวเมืองพวกนั้นก็ยังมีทรัพย์สิน มีร้านค้า มีข้าวของเครื่องใช้ไม่ใช่หรือไง เอาพวกนั้นมาแลกเป็นอาหารสิ…”
“คนก็ตายไปไม่ใช่น้อย ไม่น่าจะขาดแคลนอาหารใช่ไหมล่ะ”
“ต้องเร่งพวกเขาให้รีบฝังศพโดยด่วน ไม่งั้นถ้าเกิดโรคระบาดขึ้นมาคงได้เป็นเรื่องใหญ่ เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันไปหมด”
“ถึงช่วยไปก็ช่วยได้แค่ช่วงสั้นๆ จะให้ช่วยตลอดทั้งฤดูหนาวก็ไม่ไหวหรอก ควรต้องพิจารณาวิธีการที่เหมาะสมกว่านี้ หรือไม่งั้นก็ไปขอยืมอาหาร ขอยืมวัตถุปัจจัยมาจาก ‘ปฐมนคร’ ไหมล่ะ”
“การจะเพิ่มประชากรไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เดี๋ยวไว้ก็มีคนมากันเยอะแยะเองแหละ”
“โลกนี้น่ะ อาหารมีค่ากว่าผู้คน…”
“ทุกท่าน ทุกท่าน สามัคคีคือพลังที่สำคัญสุด สามัคคีคือพลังที่สำคัญสุด”
สารพัดเสียง สารพัดถ้อยคำ กระหน่ำใส่หูเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ในหัวของสวี่ลี่เหยียนถึงกับอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง
ปัง!
ในตอนนี้นี่เองก็พลันมีเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด
โคมระย้าที่แตกไปแล้วนั้น คราวนี้ร่วงหล่นลงมากระแทกโต๊ะ
เมอร์ริคที่มักจะทำอะไรเนิบนาบพลันไถลก้นลงใต้โต๊ะอีกครั้ง ส่วนจ้าวเจิ้งฉีผู้อ้วนท้วนก็กระโดดผลุงราวกับแมวลุกจากเก้าอี้ไปอยู่ที่มุมห้อง แต่คราวนี้เขารีบมากเสียจนไม่มีเวลาคว้าเอาลูกชายคนโตติดมือไปด้วย
ในขณะที่กลุ่มขุนนางต่างวงแตกแยกย้ายไปอีกครั้ง โอดิคก็ซ่อนตัวอยู่ที่หัวโต๊ะยาวพลางมองดูหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนซึ่งยืนอยู่ที่ประตู
ซางเจี้ยนเย่าซึ่งยืนอยู่ตรงนั้นถือพวงระเบิด ‘เห็ดน้อย’ กับรีโมทคอนโทรลสีดำไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ถือ ‘มอสน้ำแข็ง’ เล็งไปที่โต๊ะยาว
พอรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมองมา เขาก็ถามด้วยรอยยิ้มอันสดใส
“ถ้าหากว่าผมกดปุ่มนี้ เจ้าระเบิดพวงนี้มันจะระเบิดดังปังหรือเปล่า”
เมื่อทุกคนได้ยินคำถามนี้ โดยเฉพาะคำว่า ‘ปัง’ ที่เน้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก็ทำเอาหัวใจทุกคนแทบจะหยุดเต้นไปในทันที รวมทั้งสวี่ลี่เหยียนด้วย
โอดิคโพล่งขึ้นมาทันควัน
“คุณบ้าไปแล้วเรอะ”
ซางเจี้ยนเย่ามองเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่จางหายไป แล้วตอบคำ
“คุณเพิ่งรู้เหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งยืนอยู่ข้างเขาก็ได้แต่ถอนใจ จากนั้นก็หันหลังกลับไปพร้อมกับยกปืนพกขึ้นเล็งเพื่อช่วยคุ้มกันด้านหลังให้
* * * * *
[1] เห็ดน้อย (小蘑菇)เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ระเบิดขึ้น จะเกิดควันที่มีลักษณะคล้ายดอกเห็ด ดังนั้นฉายาของระเบิดเห็ดน้อยจึงเปรียบได้ว่าเป็นระเบิดนิวเคลียร์ขนาดย่อมนั่นเอง