รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 176 แนวทางใหม่
หลังจากสอบปากคำ ‘บาทหลวง’ ปลอม กัวเจิ้งเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขับรถพาซางเจี้ยนเย่ากลับไปยังจัตุรัสกลางผ่านทางสะพานทิศเหนือ
ในแวบแรก สิ่งที่ดึงดูดสายตาไว้คือสีขาวขนาดใหญ่
นอกจากหิมะที่ยังไม่ละลายแล้ว ก็ยังมีผ้าปูที่นอนสีขาวแขวนห้อยไว้ตามบานหน้าต่างหลายแห่ง มีเครื่องหมายที่วาดด้วยชอล์กบนผนัง แล้วก็แถบผ้าสีขาวที่ผูกไว้ในระดับความสูงของประตู
สำหรับในเมืองหญ้าไพร นี่หมายถึงว่ามีญาติพี่น้องในบ้านเสียชีวิตลง
ถึงแม้ว่าในเมืองหญ้าไพรนั้นจะมีวัตถุปัจจัยมากกว่าคนเร่ร่อนแดนร้างส่วนใหญ่ ทว่านอกจากพวกตระกูลขุนนางแล้ว ครอบครัวของชาวเมืองธรรมดาไม่อาจทำใจนำผ้าขาวที่ล้ำค่าของครอบครัวมาทำเป็นชุดไว้ทุกข์และแถบผ้าขาวงานศพ จึงได้ใช้วิธีการต่างๆ ตามแต่จะประยุกต์ใช้ และกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้
ลมหนาวเสียดกระดูกพัดโชย สีขาวโบกสะบัดปกคลุมไปแทบทั้งเมือง
เดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะระบายความรู้สึกออกมาสักสองสามประโยค ทว่าหลังจากอ้าปากแล้วก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมาพูดกับซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ
“ไปวนรอบเมืองดูกันหน่อยก็แล้วกัน”
“ได้” ซางเจี้ยนเย่ามองดูนอกหน้าต่าง ไม่ได้ปฏิเสธ
เจี่ยงไป๋เหมียนหักพวงมาลัย ทำให้รถออฟโรดกันกระสุนสีเขียวขี้ม้าเลี้ยวไปทางถนนตะวันตก
ระหว่างทางก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังง่วนทำงานไม่หยุดมือ บ้างก็กำลังกวาดหิมะไปข้างถนน บ้างก็กำลังซ่อมพื้นที่เสียหาย บ้างก็กำลังซ่อมแซมร้านค้าทั้งสองฝั่งถนน
นี่คือแผนเยียวยาที่ดำเนินการโดยสภาเมืองหญ้าไพรและสมาคมนักล่า ทุกคนจะได้รับอาหารในระดับพื้นฐาน แต่ถ้าต้องการจะได้มากกว่านั้น จะได้กินอิ่มท้องมากขึ้นหน่อย ก็ต้องใช้แรงงานเพื่อแลกเปลี่ยน
นี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ขาดแคลนอาหารได้ครอบครองทรัพยากรจำนวนมาก และถือโอกาสบูรณะเมืองหลังจากการจลาจลไปด้วยเลยทีเดียว
ถึงแม้ผู้คนที่วุ่นวายเหล่านั้นต่างก็หายใจออกมาเป็นควันสีขาวไม่แตกต่างกัน ทว่ากลับแยกออกเป็นสองกลุ่มโดยอัตโนมัติ
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ เพราะนี่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเกิดจลาจลครั้งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชาวเมืองดั้งเดิมของเมืองหญ้าไพรย่อมไม่อาจยอมรับพวกคนเร่ร่อนแดนร้างภายนอกได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าตัวการที่ทำให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของพวกเขาเสียชีวิตได้ถูกประหารชีวิตหรือถูกส่งตัวไปเป็นทาสตามสถานที่ต่างๆ แล้วก็ตาม แต่ในสายตาพวกเขา คนนอกเหล่านี้ก็คือก็คือตัวต้นเหตุทั้งหมดนั่นแหละ
ดังนั้นเมื่อพวกเขามองเห็นพวกคนเร่ร่อนที่ทำงานหนัก ในสายตาก็มีความไม่ยอมรับและความเกลียดชังแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“เรื่องนี้คงไม่อาจแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น เลือดที่ไหลนองบนท้องถนนนั้นล้างออกได้ง่าย แต่ลิ่มเลือดในหัวใจยากจะละลาย” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาแล้วพูดด้วยความสะเทือนอารมณ์
“ถ้ากลายมาเป็นพี่น้องกัน เรื่องพวกนี้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไรแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา
“แล้วปณิธานที่ว่า ‘ช่วยเหลือมนุษยชาติ’ ของนายเนี่ย ก็คือจะทำให้ทุกคนกลายมาเป็นพี่น้องกันหรือไงยะ”
“ก็เป็นแนวทางหนึ่งน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าทีว่าเขาพิจารณาเรื่องนี้ไว้เช่นกัน
“ถึงจะเป็นพี่น้องกันก็มีบัญชีที่ต้องชำระเหมือนกันนั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ให้เขาเห็นถึงจุดที่เป็นปัญหาสำคัญที่สุด
ความสนใจของซางเจี้ยนเย่าถูกดึงไปเรื่องอื่นนานแล้ว เขามองไปนอกหน้าต่างแล้วพูด
“ที่นี่ไม่ค่อยเสียหายเท่าไหร่”
เขาหมายถึงบาร์และไนต์คลับ รวมถึงตรอกหมาป่าไพรด้วย
“เถ้าแก่ที่นี่มีทั้งพวกลูกน้องอันธพาล มีทั้งอาวุธ แล้วก็คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอีกด้วย การจะต้านทานพวกคนเร่ร่อนที่ไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเอาไว้สักช่วงหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ “และนอกจากนั้น แถวนี้ก็ไม่ใช่พื้นที่แรกที่ถูกจู่โจมกระทันหันและได้รับผลกระทบ พวกเขามีเวลามากพอจะระดมคนเพื่อเตรียมรับมือในเบื้องต้น”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดแฝงนัย
“ถนนตะวันตกมีทั้งปลามังกรคละรวมกัน ไม่รู้ว่ามีอีกกี่นิกายที่ซุ่มซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่ามีผู้ตื่นรู้มากน้อยแค่ไหนที่ไม่เผยตัว”
“อย่างพวกนิกายรัตติกาลที่สามารถสร้างผลกระทบต่อหัวใจคนได้” ซางเจี้ยนเย่ายังจำข้อมูลที่ได้รับมาจากจางเหล่ย สามีของเมิ่งเซี่ยได้
ตอนนั้นเพื่อนของเขาได้พบกับผู้ตื่นรู้ของนิกายรัตติกาลที่บาร์ในเมืองหญ้าไพร
“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มทันที “นายยังไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมนิกายนั่นเลย ไม่ได้ลิ้มลองศีลมหาสนิทของพวกเขาด้วย พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้นึกขึ้นได้ ดีนะที่พี่น้องชาว ‘คนไร้ราก’ ของนายออกเดินทางไปตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว ไม่งั้นนายอาจจะได้เห็นเป็นขวัญตาว่าผู้ตื่นรู้ของนิกาย ‘เนตรศักดิ์สิทธิ์’ จะรับมือกับคนเร่ร่อนแดนร้างจำนวนมหาศาลนั่นด้วยวิธีไหน”
ซางเจี้ยนเย่ามองดูรถที่ค่อยๆ เลี้ยวไปรอบๆ และพูดด้วยความมั่นใจ
“ที่เขาจากไปตั้งแต่เนิ่นๆ คงเป็นเพราะสังเกตเห็นว่าคนเร่ร่อนอาจทำให้เกิดจลาจลครั้งใหญ่”
“นายไปหาเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
“พี่น้องมีใจเดียวกัน ย่อมคิดเหมือนกัน” น้ำเสียงของซางเจี้ยนเย่านั้นราวกับบอกว่าฉันก็ต้องเข้าใจจิตใจของอีกฝ่ายอยู่แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ “เหอะ เหอะ” ออกมาคำหนึ่ง ขับรถออฟโรดกันกระสุนไปทางถนนตะวันออกพลางพูดไปด้วย
“ฉันจะพานายไปที่แห่งหนึ่ง”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ถามว่าเป็นที่ไหน เขาเพียงแค่ลูบท้องบอกใบ้
เมื่อเข้ามาในถนนตะวันออกจนเกือบสุดถนน รถออฟโรดกันกระสุนก็หยุดลง ด้านข้างเป็นอาคารซึ่งมีที่จอดรถและลานกว้าง
เหนืออาคารหลังนี้มีข้อความสองบรรทัดซึ่งเขียนด้วยภาษาแดนธุลีและภาษาแม่น้ำแดง
‘โรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่สอง’
หลังจากจอดรถแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็พาซางเจี้ยนเย่าเดินเข้าไปข้างใน
ตลอดทางที่เดินเข้าไปนั้นมีเสียงร้องครวญครางดังระงมจนทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด
ตลอดทั้งห้องโถงมีเตียงคนเจ็บและที่นอนปูเรียงรายอยู่บนพื้นเต็มไปหมด ที่นอนอยู่บนนั้นคือคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการจลาจล
พวกเขาทั้งหมดพันแผลไว้อย่างง่ายๆ และกินยาสามัญ ถ้าใครโชคดีก็ได้รับการผ่าตัด หากโชคร้ายก็ทำได้เพียงรอดูว่าจะรอดหรือไม่รอด
สิ่งที่ขาดแคลนนั้นไม่ใช่เพียงแค่เวชภัณฑ์ แต่ยังรวมถึงแพทย์รักษาด้วย
หลายคนทนความเจ็บปวดไม่ไหว ได้แต่นอนขดตัวเป็นลูกบอลร้องครวญครางเบาๆ หรือไม่ก็กลิ้งไปกลิ้งมาร้องตะโกนเสียงดัง
บางครั้งบางคราวก็มีคนเสียงขาดหายไป จากนั้นก็ถูกพาตัวออกไปท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของญาติพี่น้อง
ซางเจี้ยนเย่ามองดูภาพนี้แล้วเงียบงันไปครู่ใหญ่
“มีคนเจ็บมากเกินไป…” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมาแล้วมองดูซางเจี้ยนเย่าซึ่งอยู่ด้านข้าง “นี่ก็เหมือนกับอยู่ในนรก”
เธอถอนหายใจแล้วพูดออกมาหนึ่งประโยค
“แม้ว่าเหล่าเทวทูตกำลังวุ่นหัวปั่นกับการช่วยชีวิตคน แต่ก็มีน้อยเกินไป ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมด
“ไปต่อเถอะ ขึ้นไปข้างบนกัน”
เมื่อขึ้นไปบนชั้นสอง ชั้นสาม ชั้นสี่ พวกเขาก็เห็นว่าแต่ละชั้นเต็มไปด้วยคนบาดเจ็บ ผู้ป่วยที่เคยรักษาตัวอยู่ก่อนหน้านี้ หากไม่ได้ป่วยหนักก็ถูกส่งตัวกลับไปบ้านแล้ว
จนกระทั่งขึ้นมาถึงชั้นห้า เจี่ยงไป๋เหมียนถึงได้เห็นผู้ป่วยหนัก
พวกเขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องบ้าง บนทางเดินบ้าง ห่มร่างด้วยผ้าปูเตียงสีขาว ส่วนใหญ่ไม่ได้สติ มีสายยางเส้นเล็กๆ เชื่อมต่ออยู่กับเข็มที่เสียบเอาไว้ที่หลังมือราวกับว่าเป็นสายใยเส้นสุดท้ายของชีวิต
“คนพวกนี้เป็นพวกที่ครอบครัวมีภูมิหลังอยู่บ้าง แต่ว่าตอนเจ็บป่วยก็ได้รับการดูแลรักษาเพียงแค่ในระดับนี้เท่านั้น” เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดสายตามองไปอย่างเชื่องช้า “นี่ขนาดว่าเป็นเมืองหญ้าไพรนะ ถ้าหากว่าเป็นนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างข้างนอกละก็ ที่ดีหน่อยก็เหมือนเมืองน้ำล้อม อย่างน้อยก็ยังพอมีหมอช่วยจ่ายยาให้ บางครั้งก็ยังได้ฉีดยา แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็ได้แต่อาศัยยาพื้นบ้าน หากินไปตามยถากรรม จะเป็นจะตายก็แล้วแต่ฟ้ากำหนด ที่แย่กว่านั้นก็คือแม้แต่ยาพื้นบ้านก็ยังไม่มีเลย…”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบสนองอะไร เขามองดูผู้ป่วยที่ห่มผ้าปูเตียงสีขาว ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่
เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาพูด
“เทียบกับพวกเขาแล้ว โรงพยาบาลที่บริษัทเราดีกว่ามาก ไม่เพียงแต่มีแพทย์มีพยาบาลอย่างเพียงพอ แถมยังมีทั้งยา มีทั้งอุปกรณ์การแพทย์ และมีมรดกองค์ความรู้ด้านการรักษาที่สมบูรณ์พร้อม รวมถึงยังมีห้องวิจัยอีกมากที่กำลังค้นคว้าวิจัยในด้านนี้
“ถ้าสมมติว่านายป่วยหนัก หากว่าอยู่ในเมืองหญ้าไพร อยู่ในนิคมคนเร่ร่อนแดนร้าง ก็มีโอกาสตายได้แปดสิบเก้าสิบเปอร์เซนต์ แต่ถ้าอยู่ในบริษัท จะมีโอกาสรอดถึงแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซนต์”
เธอพูดไปพูดไป สีหน้าก็ค่อยๆ เคร่งขรึมจริงจังขึ้นทุกขณะ
“ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องน่ากลัว เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่ทุกคนต้องเผชิญ แต่พวกเรานั้นไม่ได้ต่อสู้อยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว
“ในเรื่องนี้ ตราบใดที่พวกเราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กันและกัน ก็ใช่ว่าจะพิชิตความเจ็บป่วยลงไปไม่ได้
“กลุ่มที่เข้มแข็งจะสามารถระดมทรัพยากรได้เพียงพอสำหรับการผลิตยาและอุปกรณ์รักษาได้อย่างพอเพียง และในขณะเดียวกันก็สามารถจัดตั้งโรงเรียนและห้องวิจัยต่างๆ เพื่อสืบทอดความรู้ เพื่อฝึกฝนทักษะ และสำรวจไปในอาณาเขตความรู้ที่ยังก้าวไปไม่ถึง ก็เหมือนกับบริษัทของพวกเรานั่นแหละ
“ฉันคิดว่าหากนายต้องการเอาชนะความกลัวในใจเรื่องความเจ็บป่วย น่าจะต้องเริ่มจากมุมมองนี้ การอาศัยเพียงแค่พลังใจ หรือว่าทำให้ตัวเองป่วยและรักษาให้หายได้ในโลกความเป็นจริง ไม่น่าจะได้ผลเท่าไหร่”
หลังจากภารกิจหลักเสร็จสิ้นและเรื่องราวต่างๆ จบลงแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงหันกลับมาช่วยเหลือซางเจี้ยนเย่าท้าทาย ‘เกาะ’ ต่อ ดังนั้นเธอจึงพาเขามายังโรงพยาบาลเมืองหญ้าไพรแห่งที่สองเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เขาได้มาเห็นด้วยตา หวังว่าหลังจากที่เปรียบเทียบที่นี่กับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แล้วเขาจะได้แรงบันดาลใจอะไรขึ้นมาบ้าง
เพราะไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วการที่มนุษยชาติจะมีชัยเหนือความเจ็บป่วยได้นั้น คำที่ง่ายที่สุดก็ยังคงเป็น ‘โรงพยาบาล’ ‘แพทย์’ และ ‘ยา’ อยู่นั่นเอง
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างตั้งใจ แล้วค่อยๆ หันไปมองดูรอบกาย
“ก็สมเหตุสมผลอยู่นะ”
พูดจบเขาก็ใช้กำปั้นขวาทุบลงไปบนฝ่ามือซ้าย
“ความคิดของผมยังคับแคบ ยังกว้างขวางไม่มากพอ!”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาด้วยความข้องใจ สงสัยว่าหมอนี่จะแปลความหมายของเธอไปในทิศทางพิลึกพิลั่นหรือเปล่า
ครั้นพอกลับไปถึงชั้นสองของ ‘ร้านปืนอาฝู’ แล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็รีบปีนขึ้นเตียงไปนอนทันที ใช้มือนวดขมับทั้งสองข้างก่อนจะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
* * * * *
ด้านข้างของเกาะซึ่งมีเพียงโขดหินระเกะระกะ ร่างของซางเจี้ยนเย่าปรากฏขึ้นในทะเลลวงตาซึ่งสะท้อนประกายแสงระยิบระยับ
เขาไม่ได้รีบร้อนขึ้นไปท้าทายเกาะ แต่ก้มศีรษะมองเงาสะท้อนของตนเองในน้ำซึ่งเป็นภาพลวงตา ดวงตาเขาค่อยๆ ดำมืด
“ฉันคือคนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’
“ร่างหลักของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็คือคน
“ดังนั้น…”
หลังจากหยุดไปชั่วอึดใจ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“ฉันก็คือ ‘ผานกู่ชีวภาพ’”
หลังจากที่ได้ข้อสรุปออกมา เขาก็รีบปีนขึ้นไปบนเกาะทันที
และเกือบในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีร่างโผล่ออกมาตามรอยแยกของโขดหิน
พวกมันคลุมกายด้วยผ้าปูเตียงสีขาว ใบหน้าและร่างกายถูกซ่อนอยู่ในความมืดโดยสมบูรณ์
ซางเจี้ยนเย่ามองดูพวกมัน ไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้ม
“พวกแกมีคนเยอะ ฉันเองก็มีเหมือนกัน
“เพราะฉันคือ ‘ผานกู่ชีวภาพ’”
เมื่อพูดขาดคำ ร่างเขาก็กลายเป็นภาพมายา มีร่างแยกออกมามากมายนับไม่ถ้วน
ร่างบางส่วนก็ผสมร่างรวมกันอย่างน่าอัศจรรย์ กลายเป็นอาคารที่มีคำว่า ‘โรงพยาบาล’ แขวนอยู่
ร่างอื่นๆ ของซางเจี้ยนเย่าบ้างก็สวมเสื้อกราวน์สีขาว บ้างก็ยกเปลหาม วิ่งตรงเข้าไปหาฝูงชนที่คลุมร่างด้วยผ้าปูเตียงสีขาว จับพวกเขากดลงไปทีละคนๆ แล้วอุ้มขึ้นเปล หามกลับไปยังโรงพยาบาล จากนั้นก็จับฉีดยา
‘โรงพยาบาล’ พลันพลุกพล่านวุ่นวายขึ้นในทันที
ในระหว่างนี้ร่างที่คลุมด้วยผ้าปูเตียงสีขาวเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของโรคภัยก็ราวกับว่าตกตะลึงไป
‘คุณหมอ’ ซางเจี้ยนเย่าเองก็ค่อยๆ ติดโรคและล้มป่วยลงไปทีละคนเช่นกัน
เขาสร้างร่างแยกอย่างไม่หยุดหย่อน สร้าง ‘แพทย์’ ขึ้นใหม่ สร้าง ‘ยา’ ขึ้นใหม่ สร้าง ‘ห้องผู้ป่วย’ ขึ้นใหม่ เพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป
หลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือดเป็นเวลาเนิ่นนาน ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็หมดแรงและพ่ายแพ้
ฟู่… เขาตื่นขึ้นมาและหอบหายใจ
“เป็นไงบ้าง” เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่บนม้านั่งสี่เหลี่ยมถามด้วยความเป็นห่วง
ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย
“แพ้
“แต่ดูเหมือนว่าแนวทางนี้จะใช้ได้ คุ้มค่าที่จะศึกษาเพิ่มเติม”