รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 184 “นาวาบาดาล”
ที่จริงแล้วแขกของโรงแรมบางส่วนก็น่าจะเป็นพ่อค้าของเถื่อนและนักล่าซากอารยะที่ทำมาหากินอยู่ในแวดวงพวกนี้ แต่เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รีบร้อนไปติดต่อกับคนพวกนั้น เพราะถึงอย่างไรตนเองก็ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ คนทางนี้เองก็ระวังตัวกันมาก อีกฝ่ายอาจไม่อยากติดต่อด้วย อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้
ดังนั้นหลังจากที่เล่าเรื่องจากโลกเก่าให้ฟังแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปห้องตัวเอง พักผ่อนเตรียมตัวให้พร้อม
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พวกเขากินอาหารเช้ากันแบบง่ายๆ แล้วขับสหายเก่าออกจากสวนสาธารณะมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ
ที่นี่มีรถจอดอยู่คันหนึ่งอย่าง ‘กลมกลืน’ กับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างมาก ข้างในนั้นมีคนผู้หนึ่งซึ่งใช้ผ้าตาข่ายคลุมศีรษะไว้นั่งอยู่
ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะรู้ว่านี่คือคนจากชุมชนศิลาแดงที่ส่งมาโดยนิกายตื่นตัว แต่พอเห็นแล้วก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้
แล้วในตอนนี้ลำโพงตัวเล็กสุดที่รักของซางเจี้ยนเย่าก็ดังขึ้นพร้อมกับเล่นเนื้อเพลงท่อนหนึ่ง
“ฉันจะระเบิดโรงเรียน…”
“พอเลย! ปิดไปเถอะ ได้เวลาทำงานกันแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งข้างคนขับมองไปข้างหน้าพร้อมกับออกคำสั่ง
เมื่อเข้าไปใกล้ คนที่มีผ้าคลุมหัวก็หมุนกระจกลงพร้อมกับตะโกนออกมา
“ตามผมมา!”
“ทำไมต้องตาม” ซางเจี้ยนเย่าตอบโต้กลับไปโดยไม่แสดงความอ่อนแอให้เห็น
คนที่มีผ้าคลุมหัวอึ้งไปโดยพลัน
“ไม่ใช่ว่ามุขนายกเชิญพวกคุณมาหรอกเหรอ”
“ใจที่ระวังจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์!” ซางเจี้ยนเย่าตะโกน ‘คำขวัญที่อยากจะพูดมานานแล้ว’
คนที่มีผ้าคลุมหัวรู้สึกปวดหัว คิดไม่ออกไปชั่วขณะว่าจะโน้มน้าวอีกฝ่ายยังไงดี แต่เขายังไม่ละความตั้งใจ คิดจะกลับไปเชิญมุขนายกเรนาโต้มายืนยัน
หลงเยว่หงที่อยู่ในรถจี๊ปยอมรับว่า ‘มุกตลก’ ของซางเจี้ยนเย่านั้น ถ้าหากไม่ได้มุ่งเป้ามาที่ตนเองแล้วก็นับว่าใช้ได้ไม่เลว
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจทนการเล่นตลกของซางเจี้ยนเย่าได้อีกต่อไป จึงเปิดกระจกรถแล้วตะโกนออกไป
“นำทางไปเลย!”
ชาวชุมชนศิลาแดงที่สวมผ้าคลุมศีรษะพลันถอนใจโล่งอก แล้วสตาร์ทรถ
พวกเขาขับรถไปตามถนนเลียบทะเลสาบ เข้าไปยังภูเขาที่อยู่ริมซากเมือง
ถนนตามเส้นทางดูเหมือนได้รับการซ่อมแซมมา ไม่มีหลุมบ่อหรือสิ่งกีดขวางมากนัก ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีพวกเขาก็ออกจาก ‘เมือง’ มาถึงหน้าอาคารสองชั้นที่มีลักษณะคล้ายเป็นป้อมปราการ
เรนาโต้ซึ่งสวมเสื้อคลุมดำและหน้ากากที่มีแถบดำบนพื้นขาวยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองของ ‘ป้อมปราการ’ เขาพูดกับไป๋เฉินและคนอื่นๆ ว่า
“เชิญเข้ามาได้”
“ข้อมูลของลักษณะจำเพาะมีความสอดคล้องกัน ยืนยันในเบื้องต้นได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่เจอเมื่อคืนนี้” เจี่ยงไป๋เหมียนเปรียบเทียบกับข้อมูลที่อยู่ในชิปเสริมแล้วพูดขึ้น
สถานที่แห่งนี้ทุกคนล้วนแต่ไม่ชอบเปิดเผยใบหน้าให้คนอื่นเห็น การที่จะตัดสินได้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่นั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่บันทึกข้อมูลลักษณะจำเพาะทางกายภาพ ลักษณะเสียง และสัญญาณไฟฟ้า
สัญญาณไฟฟ้านั้นไม่ได้มีลักษณะบ่งชี้เฉพาะตัวได้เหมือนลายนิ้วมือและม่านตา แต่เนื่องจากสภาพร่างกายและพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่เคยชินของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน สัญญาณไฟฟ้าจึงย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน ร่างกายของบุคคลคนเดียวกันหากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายหรือการเคลื่อนไหวในปัจจุบัน ก็จะส่งผลให้สัญญาณไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้นข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าจึงใช้เป็นเพียงแค่ข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น
หลังจากได้รับการยืนยันจากเจี่ยงไป๋เหมียนแล้ว หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ ก็ผลักประตูลงมาจากรถแล้วติดตาม ‘คนนำทาง’ ซึ่งมีผ้าคลุมศีรษะ เข้าไปใน ‘ป้อมปราการ’ สีควันบุหรี่ที่ดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ในขณะนี้เรนาโต้ลงมาจากชั้นสองแล้ว กำลังรอพวกเขาอยู่ที่ห้องโถง
“นี่คือโบสถ์ของพวกคุณเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ
ที่นี่ใช้สีแดงเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงอันตราย ต้องคอยตื่นตัวระวังภัย
ที่ผสมผสานอยู่ท่ามกลางสีแดงนั้นก็คือสีทอง เสมือนว่าเป็นตัวแทนของความศักดิ์สิทธิ์บางประการ
ผนังที่อยู่ด้านในสุดของห้องโถงนั้นวาดเป็นสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ เป็นบานประตูสีขาว ประตูแง้มออกครึ่งหนึ่ง หลังบานประตูคือความมืดมิด มีร่างสตรีเลือนรางแอบซ่อนอยู่
“ส่วนที่อยู่บนพื้นน่ะใช่” เรนาโต้ตอบตามความสัตย์
“ยังมีส่วนที่อยู่ใต้ดินด้วยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
เธอไม่ได้ใส่ใจว่าจะถูกคนอื่นมองออกว่าตนเองเป็นหัวหน้าทีมหรือเปล่า
นั่นเป็นเพราะว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง คนที่จะถูกจู่โจมคนแรกย่อมเป็นตัวเธอ และเธอคิดว่าตนเองมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วกว่า ซึ่งจะทำให้มีโอกาสรอดชีวิตได้มากกว่าสมาชิกทีมคนอื่นๆ รวมถึงซางเจี้ยนเย่าด้วย
แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็พูดพึมพำออกมา
“ไข่เจียวผัดมะเขือเทศ”
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังพูดถึงโทนสีของสถานที่แห่งนี้
ทว่าครั้งนี้เขากลับไม่ได้ยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก
นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าเขาน่าจะกำลังคิดถึงสหายน้อย เสี่ยวชง ที่เดากันว่าเขาน่าจะเป็น ‘ราชันไร้ใจ’ เพราะเขาสวมเสื้อผ้าสีเหมือนไข่เจียวผัดมะเขือเทศ
เรนาโต้ตอบคำถามของเจี่ยงไป๋เหมียน
“ส่วนที่อยู่ใต้ดินน่าจะใหญ่กว่าข้างบนสักสิบเท่าละมั้ง มันเป็นของมิสเตอร์ดิมาร์โก้”
“สิบเท่า… นี่มันถูกทำเสริมขึ้นมาหลังจากโลกเก่าถูกทำลาย หรือว่ามีมาตั้งแต่แรกแล้ว” ไป๋เฉินถามแทนคนอื่นใน ‘ทีมสำรวจเก่า’
เรนาโต้อธิบายคร่าวๆ
“บรรพบุรุษของมิสเตอร์ดิมาร์โก้นั้นเป็นคนที่คลั่งใคล้เรื่องวันโลกาวินาศมาก เขาเชื่อว่าในที่สุดแล้วโลกนี้จะต้องเกิดหายนะขึ้นสักวัน
“เขาใช้จ่ายไปอย่างมหาศาล ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ ใช้เวลาไปหลายปี ในที่สุดก็สร้างที่หลบภัยใต้ดินขึ้นมาได้สำเร็จ สามารถรองรับคนหลายร้อยคนให้ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้ ว่ากันว่ามันมีอยู่สิบชั้น
“เขาไม่มีโอกาสได้ใช้ที่หลบภัยนี้ด้วยตัวเอง แต่มันกลับกลายเป็นมรดกล้ำค่าให้ทายาทรุ่นหลัง ปู่ทวดของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ได้ที่หลบภัยแห่งนี้จึงทำให้รอดพ้นจากช่วงเวลาที่โลกเก่าถูกทำลายและสงครามช่วงกลียุคมาได้”
เมื่อหลงเยว่หงได้ยินก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เดิมทีนั้นคนในโลกเก่าก็มีไม่น้อยที่รู้สึกได้ถึงวิกฤตและสร้างที่หลบภัยเตรียมไว้ล่วงหน้า สิ่งที่แตกต่างไปจากบริษัทก็แค่เรื่องขนาดของสถานที่ ซึ่งบริษัทนั้นใหญ่กว่าหน่อย… เอ่อ… ไม่ใช่สิ ใหญ่กว่าเยอะมาก…
เรนาโต้ยังไม่ได้หยุดการเล่าเรื่อง
“หลังจากนั้น ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตก็เปลี่ยนมาศรัทธาองค์ ‘ธชียมโลก’ ของพวกเขาและให้นิกายของพวกเราเช่าพื้นที่ส่วนบนพื้นดินได้ตลอดไป
“และด้วยโบสถ์แห่งนี้ จึงทำให้พวกเราลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงในชุมชนศิลาแดง”
เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ เรนาโต้ก็อดสรรเสริญไม่ได้
“การตื่นตัวคือวิวรณ์จากองค์เทพี”
“คุณพูดภาษาแดนธุลีได้ดีมากเลย” ซางเจี้ยนเย่าพูดชมเขาหนึ่งประโยค
เรนาโต้พูดด้วยรอยยิ้ม
“กว่าครึ่งของคนในชุมชนศิลาแดงพูดภาษาแดนธุลีน่ะ”
“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ “มิสเตอร์ดิมาร์โก้เป็นชาวชุมชนศิลาแดงหรือเปล่า”
เธอเริ่มรู้สึกสนใจตระกูลของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ขึ้นมา
ตระกูลที่สืบสายมาตั้งแต่ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายไปนั้นอาจจะมีข้อมูลสำคัญบางอย่างก็ได้
“ใช่ เขาเป็นเจ้าเมืองกิตติมศักดิ์น่ะ” เรนาโต้อธิบายอย่างสั้นๆ “ในตอนแรกที่มีชุมชนศิลาแดงขึ้นมาได้ ก็เป็นเพราะว่าปู่ทวดและปู่ของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ได้แลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัยกับคนนอก ทำให้ดึงดูดพวกพ่อค้ากับคนเร่ร่อนแดนร้างเข้ามา หากไม่ใช่เพราะว่ามิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่ปรารถนาจะออกจาก ‘นาวาบาดาล’ ตอนนี้เขาคงเป็นเจ้าเมืองตัวจริงไปแล้วล่ะ”
“มิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่เคยขึ้นมาข้างบนเลยเหรอ” ไป๋เฉินคิดไม่ถึงว่านอกจากพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แล้วก็ยังมีคนแบบนี้อยู่อีก
“ไม่เพียงแต่เขาไม่ปรารถนาจะขึ้นมาบนพื้นโลก แต่ยังห้ามผู้อื่นเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ อีกด้วย ยกเว้นช่วงที่เขารับตัวผู้รับใช้ชุดใหม่เข้ามาปีละครั้ง แต่ผู้รับใช้พวกนั้นต้องถูกตรวจสอบและฝึกฝนมาอย่างน้อยครึ่งปีที่ชั้นบนสุดของ ‘นาวาบาดาล’ เสียก่อน ช่างระวังตัวดีมาก!” เรนาโต้ชื่นชมจากใจ “นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องขอให้พวกคุณมาช่วยที่นี่ละก็ คงไม่มีใครพูดเกี่ยวกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้ให้พวกคุณฟังแน่นอน”
หากไม่ใช่เป็นเพราะเขาเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ไม่ได้ ก็คงจะมอบเหรียญให้ ‘ผู้เคร่งศาสนา’ ให้กับมิสเตอร์ดิมาร์โก้ด้วยตัวเองไปแล้วล่ะ
“แล้วใครเป็นคนรับผิดชอบการค้าภายนอกให้ตระกูลของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนสงสัย
“มิสเตอร์ดิมาร์โก้มีพ่อบ้านสามคนรับผิดชอบในแต่ละเรื่อง” เรนาโต้ชี้ที่ลิฟต์ซึ่งอยู่ริมห้องโถง “ไปที่จัดพิธีมิสซากันเถอะ”
ในระหว่างที่เขาพูดคุยสนทนาอยู่กับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่คนนั้น ภายในห้องโถงไม่มีสาวกนิกายแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งชายที่นำทางมาก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าไปซ่อนอยู่ที่ไหนแล้ว
นี่จึงทำให้ภายในโบสถ์นั้นเงียบเชียบวังเวง ว่างเปล่า และน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง
แต่แน่นอนว่าพวกเจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าในบริเวณที่สำคัญนั้นมีคนซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย
หลังจากเข้ามาในลิฟต์แล้ว เรนาโต้ก็กดปุ่มลงไปข้างล่างหนึ่งชั้น
“เมื่อกี้คุณเพิ่งจะบอกว่าส่วนใต้ดินนั้นเป็นของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่ใช่เหรอ” ไป๋เฉินถามขึ้นทันที
เรนาโต้ร้อง “อืม” ออกมาหนึ่งคำ
“ชั้นนี้ที่จริงแล้วเป็นส่วนพื้นรอยต่อระหว่าง ‘นาวาบาดาล’ กับอาคารเหนือพื้นดินน่ะ
“มิสเตอร์ดิมาร์โก้ให้พวกเรายืมสถานที่นี้สำหรับประกอบพิธีมิสซาในช่วงที่เขาไม่ได้ฝึกและตรวจสอบคนรับใช้”
ซางเจี้ยนเย่าถามต่อทันที
“ชั้นนี้เหมาะสำหรับเล่นซ่อนหางั้นเหรอ”
“พิธีซ่อนกาย” เรนาโต้ย้ำ
ระหว่างที่คุยกันอยู่ ลิฟต์ก็ลงมาถึงที่หมาย ประตูเลื่อนเปิดออก
ที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นห้องโถงซึ่งมีขนาดไม่กว้างนักและมีทางเดินทอดยาวออกไปหลายทิศทาง
เรนาโต้ที่สวมหน้ากากแถบดำพื้นขาวพูดต่อ
“ที่นี่ใหญ่มาก มีห้องอยู่หลายห้อง มีทางเดินอยู่หลายทาง เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับซ่อนตัว
“ถ้าหากว่าไม่ได้ใช้ที่นี่ พวกเราก็จะไปประกอบพิธีมิสซาโดยใช้ซากเมืองด้านนอกแทน แต่จำกัดบริเวณเอาไว้ นั่นก็จะทำให้หาตัวกันได้ยากขึ้นไปอีก”
ไป๋เฉินมองกวาดไปโดยรอบ
“พาพวกเราไปเดินดูสักรอบก่อนละกัน จะให้ดีก็อย่าให้ขาดสักจุด”
ต้องสำรวจสถานที่ให้เสร็จก่อน ถึงจะคุยกันต่อได้ว่าจะคิดค่าตอบแทนยังไง
“ตกลง” เรนาโต้ไม่ลังเล นำ ‘ทีมเฉียนไป๋’ ไปที่เดินแรกทางด้านขวามือ
ที่นี่น่าจะถูกวางไว้ให้เป็นเขตพักอาศัย มีห้องขนาดเท่าๆ กันอยู่หลายห้อง มีเตียงค่อนข้างเก่า ทั้งเตียงเดี่ยว เตียงคู่ เตียงสองชั้น ตู้เก็บของและเก้าอี้อีกสารพัด
“ทุกที่ที่สามารถค้นหาได้ก็ค้นหาไปหมดแล้วล่ะ” ในขณะที่นำทาง เรนาโต้ก็เน้นย้ำไปพลาง “ระหว่างพิธีมิสซา พวกเราส่งคนไปเฝ้าคุ้มกันที่ทางเข้าออกของลิฟต์และบันไดเลื่อนด้วย”
“พวกเราจะไม่เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา!” ซางเจี้ยนเย่าซึ่งรอโอกาสนี้มาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็สบโอกาสจนได้
นี่ทำให้เรนาโต้ถึงกับชะงักไปพูดอะไรไม่ออก
ไป๋เฉินซึ่งตอนนี้กลายเป็นหัวหน้าทีมชั่วคราวเพื่อเป็นการบังหน้า ทำได้เพียงแต่พูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค
“ขั้นตอนการค้นหาก่อนหน้านี้เป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นมันอาจชี้นำการตัดสินใจของพวกเรา ทำให้พลาดจุดสำคัญบางเรื่องไปได้”
เรนาโต้เผยสีหน้าว่าเข้าใจ กล่าวยกย่องมาหนึ่งประโยค
“สมเป็นมืออาชีพ”
แล้วตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น มองไปที่หัวมุมซึ่งอยู่สุดทางเดิน
“พวกเราเดินกันต่อเถอะ”
ไม่มีใครคัดค้าน
ในระหว่างที่พวกเขาเดินกันอยู่นั้น ซางเจี้ยนเย่ากับเรนาโต้ก็มองไปด้านบนซึ่งเป็นพื้นที่กึ่งโล่งที่หัวมุมข้างหน้า
ที่ตรงนั้นเป็นเพดาน
“ใครอยู่บนนั้น” เรนาโต้เร่งฝีเท้าแล้วถามด้วยเสียงอันดัง
เพียงไม่นาน ตะแกรงช่องระบายอากาศบนเพดานก็ค่อยๆ ขยับออกแล้วมีคนกระโดดลงมา
เป็นเด็กชายวัยรุ่น อายุราวสิบห้าสิบหกปี ผมสีบลอนด์เรียบติดศีรษะ ดวงตาสีเขียวมรกตที่เต็มไปด้วยความร่าเริงมีชีวิตชีวา
เขาซึ่งสูงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรมองมายังเรนาโต้ด้วยรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์
“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านมุขนายก”
เขาพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง
เรนาโต้ตอบกลับด้วยภาษาแม่น้ำแดงน้ำเสียงทุ้มลึก
“วีล เธอไปซ่อนที่ไหนมา”