รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 189 ทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อย
เมื่อหลงเยว่หงได้ยินคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนก็ถึงกับอ้าปากค้าง แสดงสีหน้าตกใจออกมาให้เห็น
นั่นสินะ จะมองในมุมนี้ก็ได้เหมือนกัน…
นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
แต่มันก็มีโอกาสจะเป็นแบบนี้ได้จริงๆ!
“สาเหตุก็คือความขัดแย้งภายในอย่างนั้นเหรอ” ผ่านไปครู่หนึ่งหลงเยว่หงก็ถามต่ออีก
ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดเห็นที่ต่างไป
“อาจจะเป็นการซ่อนหาอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้”
เอาอาวุธไปซ่อนเพื่อให้ทุกคนออกไปค้นหา
“จะเป็นไปได้ไง” หลงเยว่หงโพล่งออกมา แต่หลังจากนั้นก็ชะงักไปทันที
เขาใคร่ครวญอยู่สองสามวินาทีแล้วพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยอยากเชื่อสักเท่าไรนัก
“เป็นไปได้ไหมว่าที่จริงแล้วอาวุธพวกนั้นไม่ได้ถูกขโมย แต่ถูกพวกเฮลเว็กเอาไปซ่อนเพื่อใส่ร้ายคนภาษาธุลีในชุมชนศิลาแดง”
“ความเป็นไปได้ในข้อนี้ก็ตัดทิ้งไม่ได้เหมือนกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูซากเมืองที่หายลับไปจากกระจกมองหลังอย่างรวดเร็วแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “นายดูสิ เอ่อ… นายลองคิดสิ เฮลเว็กมีลูกน้องอยู่เยอะแยะ แต่เทเรซ่าบอกพวกเราว่ามีคนที่ไว้ใจได้อยู่สี่ห้าคน ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงน่าจะเป็นสมาชิกหลัก
“แล้วทำไมตอนเขายังมีชีวิตอยู่ถึงเลือกแจ้งภารกิจกับสมาคมแทน ทั้งๆ ที่จัดคนของตัวเองออกไปค้นหาอาวุธนั้นสะดวกกว่าแถมยังมีประสิทธิภาพมากกว่าการมอบหมายภารกิจให้กับพวกนักล่าเสียอีก ใช่ไหมล่ะ”
ไป๋เฉินซึ่งกำลังขับรถอยู่ก็พูดเสริมขึ้น
“ว่ากันตามปกติแล้ว การจะเป็นพ่อค้าอาวุธได้ก็ต้องมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็เทียบได้กับทีมนักล่าซากอารยะธรรมดาสักสี่ห้าทีมนั่นแหละ”
นี่คือวัดจากทั้งเรื่องของจำนวนลูกน้องที่มีและอาวุธที่อยู่ในมือ
แน่นอนว่าระดับของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นย่อมไม่ถูกนับรวมอยู่กับทีมนักล่าซากอารยะธรรมดาอยู่แล้ว แต่คนอื่นย่อมไม่ทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว จากที่คนทั่วไปมองมา พวกเขามีเพียง ‘นักล่าชั้นกลาง’ หนึ่งคนกับอีกสามคนที่อย่างมากก็เป็นเพียงแค่ ‘นักล่าทางการ’ เท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงระดับ ‘นักล่าชั้นสูง’ เลย ขนาดแค่ ‘นักล่าอาวุโส’ ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
เรื่องที่พอจะเป็นเกียรติประวัติได้ก็มีเพียงแค่ภารกิจ ‘สืบหาฆาตกรสังหารหลิวต้าจ้วง’ ที่ถูกบันทึกไว้ในตรานักล่าเท่านั้น
“นั่นสินะ แต่ทำไมล่ะ” เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนพูดออกมาเช่นนี้ หลงเยว่หงจึงตระหนักได้ว่าเรื่องนี้มันไม่สมเหตุสมผลจริงๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะพูดด้วยรอยยิ้มจบลงไป ยังไม่ทันจะได้พูดต่อ ซางเจี้ยนเย่าก็รีบพูดแทรกขึ้นมา
“เพราะพวกเราเป็นตัวแทนของความยุติธรรมนะสิ!”
เจี่ยงไป๋เหมียนกัดฟันกรอด
“แน่นอนว่าภารกิจนี้ต้องไม่ได้เตรียมไว้ให้พวกเราเป็นการเฉพาะ และก็ไม่ใช่สำหรับพวกนักล่าของชุมชนศิลาแดงด้วย การที่สาวกของนิกายตื่นตัวจะรวมตัวกันเป็นทีมขนาดใหญ่ถือว่าเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะการระวังป้องกันพวกเดียวกันน่ะยากกว่าการระวังป้องกันศัตรูเสียอีก และถ้าไม่ได้รวมตัวกันเป็นทีมใหญ่ ชาวชุมชนซึ่งรู้จักความแข็งแกร่งของเฮลเว็กดีก็ย่อมไม่มีทางรับภารกิจนี้แน่
“หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นี่เป็นภารกิจที่มีไว้ให้คนนอกเท่านั้นโดยไม่มีข้อจำกัดอย่างอื่นอีก
“ถ้างั้นคนนอกมีอะไรที่เป็นข้อได้เปรียบมากกว่าพวกชาวชุมชนล่ะ”
หลงเยว่หงใคร่ครวญก่อนจะตอบออกมา
“มีความตรงไปตรงมามากกว่า ไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง ผลการสืบสวนน่าเชื่อถือ และสามารถควบคุมได้ง่าย…”
เมื่อพูดมาถึงครึ่งหลังของประโยค เขาก็เหมือนพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ลางๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วพูดต่อ
“ใช่แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้มีความชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่า ‘โจร’ จะเป็นคนภาษาธุลีหรือคนแม่น้ำแดงก็ตาม เรื่องนี้จะทำให้ความขัดแย้งในชุมชนศิลาแดงนั้นรุนแรงยิ่งขึ้น
“และถ้าหากว่าผลการสืบสวนของพวกเราชี้ไปที่คนภาษาธุลีละก็ คราวนี้พวกคนแม่น้ำแดงก็จะมีข้ออ้างในการโจมตี”
หลงเยว่หงกระจ่างขึ้นในทันที
“อย่างนี้นี่เอง…
“งั้นจะทำไงกันดี การเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้มันอันตรายมาก…”
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นสามารถใช้หนึ่งสู้สามหรือหนึ่งสู้สี่ได้ สามารถลงมือจัดการกับกลุ่มโจรสิบคนได้ก็จริง แต่การเผชิญกับคลื่นพายุของคนเป็นร้อยที่มีอาวุธครบมือ คนทั้งสี่นั้นไม่ใช่เหล็กไหล จะสามารถต้านทานไว้ได้สักแค่ไหนกันเชียว
เนื่องจากชาวชุมชนศิลาแดงเป็นสาวกของนิกายตื่นตัวจึงซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ทำให้หลงเยว่หงไม่รู้จำนวนคนที่แน่นอน แต่เมื่อดูจากขนาดของชุมชนแล้วอย่างน้อยก็น่าจะต้องมีผู้ใหญ่อย่างน้อยสองสามร้อยคน
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“แน่นอนว่าต้องไปหาพันธมิตรก่อน”
“พันธมิตรเหรอ…” หลงเยว่หงงุนงง
“นายลองคิดดู กลุ่มที่ไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายโกลาหลจนเหลือเพียงแค่คนแม่น้ำแดงหรือคนภาษาธุลีแค่ฝ่ายเดียวมากที่สุดคือกองกำลัง
ฝ่ายไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้นำเขาอย่างอดทน
หลงเยว่หงขบคิด ค่อยๆ ตัดตัวเลือกไปทีละตัว
“นิกายตื่นตัวเหรอ”
“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะด้วยความพอใจ “เมื่อนิกายตื่นตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง สภาพการณ์จะกลายเป็นเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยมีไม่ขาด เรื่องโกลาหลใหญ่ไม่บังเกิด ทุกคนตื่นตัวกันตลอด คอยระวังซึ่งกันและกัน นี่คือสถานการณ์ที่ดีที่สุดที่จะทำให้คำสอนพวกเขาสามารถสะท้อนออกมาให้เห็นและปฏิบัติตามได้ แต่ถ้าหากว่าเหลือเพียงแค่คนกลุ่มเดียวในชุมชนศิลาแดงแล้วละก็ ‘ความจำเป็น’ ที่ต้องซ่อนตัวจะลดบทบาทความสำคัญลงไปมาก
“ไม่อย่างนั้นพวกนายลองคิดดูสิว่าการที่เฮลเว็กหาคนนอกมาทำการสืบสวนน่ะ เป็นการทำเพื่อจะเกลี้ยกล่อมใครหรือเปล่า ถ้าหากไม่มีเหตุผลเพียงพอจะเริ่มประกาศสงคราม พวกเขาก็คงไม่สามารถฝ่าฝืนข้อจำกัดของนิกายตื่นตัวได้หรอก”
เมื่อได้ฟังที่มาที่ไปเช่นนี้ หลงเยว่หงก็ไม่สงสัยอะไรอีก
เขาหันกลับไปมอง ‘เขตตึกเตี้ย’ แล้วถาม
“งั้นตอนนี้พวกเราจะกลับไปที่โบสถ์กันเลยไหม”
เขารู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกว่าการที่มุขนายกเรนาโต้มอบหมายภารกิจให้พวกเขาตามหาวีลนั้น ไม่เพียงจะใช้เรื่องนี้มาแก้ปัญหาของตัวเองเท่านั้น แต่ยังถือโอกาสนี้สร้างสายสัมพันธ์กับคนที่รับผิดชอบเรื่องการสืบหาอาวุธที่หายไป เพื่อแสดงถึงการดำรงอยู่ของนิกายตื่นตัวอีกด้วย
“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก นี่เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์เท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสียหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างยิ้มแย้ม “พวกเราไปลองลงมือทำเองกันสักสองสามวันก่อน แล้วรอดูว่าใครที่จะทนไม่ไหวจนต้องกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย”
ในระหว่างที่พูดเธอก็ยกทั้งสองมือขึ้นมาประสานนิ้วเหยียดออกไป
หลงเยว่หงฟังแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก
ซางเจี้ยนเย่าถอนหายใจ
“จริงๆ เลยนะ พวกเขาไม่รู้หรือไงว่าสามัคคีคือพลังที่สำคัญที่สุด
“ถ้าหากผมเป็นมุขนายกนะ ในพิธีมิสซานี่น่ะนอกจากจะให้ซ่อนหาแล้ว ผมจะเพิ่มพิธีกรรมว่าให้หาเพื่อนด้วย
“มา…มะ มาเจอกัน เจอกัน… มาซิมา… มาเป็นเพื่อนกัน เพื่อนกัน”
พูดไป พูดไป จู่ๆ เขาก็ร้องเพลงขึ้นมา
แล้วภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่าสาขาชุมชนศิลาแดงก็จะถูกก่อตั้งขึ้นมาสินะ… หลงเยว่หงเสียดสีเขาอยู่ในใจแล้วพูดแทรกขึ้น
“ถ้างั้นสาเหตุการตายของเฮลเว็กคืออะไรล่ะ
“พวกเขาซ่อนอาวุธเพื่อใส่ร้ายคนภาษาธุลี แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าคนที่สมรู้ร่วมคิดเกิดความโลภก็เลยหาโอกาสฆ่าเฮลเว็กงั้นเหรอ”
แปะ! แปะ! แปะ!
“ในที่สุดนายก็มีคุณสมบัติเขียนบทละครวิทยุได้แล้ว”
ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนกลอกใส่เขาเล็กน้อย
“ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นก็คือคนที่รู้เรื่องการซ่อนอาวุธนั้นต้องมีน้อยมากๆ ไม่งั้นก็ยากที่จะลงมือฆ่าปิดปากได้
“ต้องรอดูว่าใครจะตายเป็นรายต่อไป”
พูดถึงตรงนี้เธอก็หันไปหาไป๋เฉินแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าพวกเขาแบ่งอาวุธกันไปหมดแล้ว แต่ละคนก็คงได้กันไปไม่เท่าไหร่ แบบนั้นพวกเราก็คงไม่มีทางระบุได้เลยว่าพวกมันใช่ของที่ถูกปล้นไปหรือเปล่า อาวุธพวกนั้นไม่ได้ทำเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์อะไรเอาไว้เสียด้วยสิ
“สมัยก่อนเธอจัดการยังไงเหรอ”
ในมือเธอนั้นมีแผ่นกระดาษหนึ่งแผ่น เป็นรายการอาวุธที่ทางสมาคมนักล่าจัดทำมาให้
‘ยูไนเต็ด 202 จำนวน 200 กระบอก
‘ปืนไรเฟิลจู่โจมทรองเกอร์ จำนวน 200 กระบอก…’
ไป๋เฉินตอบกลับมาเรียบๆ
“สิ่งที่ผู้ว่าจ้างสนใจมีเพียงแค่จำนวนเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าจะมาจากไหน หรือได้มายังไง”
“งั้นถ้าพวกเราไปฉกมาตรงๆ เลยก็น่าจะเร็วกว่านะ ถึงยังไงก็เป็นปืนเหมือนๆ กัน แต่ถ้าอย่างนั้นจะต้องเอาไปคืนให้ผู้ว่าจ้างทำไมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
ซางเจี้ยนเย่ารีบแนะนำต่ออย่างตื่นเต้น
“ถ้างั้นเราก็ลากของไปไว้ที่หน้าผู้ว่าจ้างก่อนสิ แล้วให้เขาตะโกนถาม ถ้ามันตอบกลับก็ค่อยส่งมันคืนให้เจ้าของไป”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้องจุ๊ๆ พลางส่ายหน้า
“นายไม่เคยเห็นพวกเครื่องจักรกลที่มีสมองกลหรือไงยะ
“พวกมันไม่เพียงแต่จะตอบนายได้นะ ยังทะเลาะกับนายได้ด้วย”
* * * * *
เป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่ไปพบกับลูกน้องคนสนิทของเฮลเว็กก็กลับมาถึงชุมชนศิลาแดง
พวกเขาไม่ได้รีบไปที่สำนักงานรักษาความสงบสาธารณะเพื่อไปหารือเรื่องการเสียชีวิตของเฮลเว็ก แต่กลับไปยังร้านอาหารที่ชื่อว่า ‘ร้านอาหารปลอดพิษ’ ซึ่งมีอยู่ประจำทุกชั้น
ภายในร้านมีโต๊ะอยู่หกเจ็ดตัว ทั้งเล็กทั้งใหญ่ แต่ละโต๊ะก็มีทั้งเก้าอี้ทั้งม้านั่งอยู่จำนวนหนึ่ง
นี่ไม่ต่างไปจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนคาดไว้ เธอมองไปก็ไม่พบใครสักคนอยู่ในร้าน อย่าว่าแต่พอครัวเลย ขนาดเถ้าแก่ร้านก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
“เฮ้อ…” เธอถอนใจด้วยความขบขัน
ในขณะเดียวกันซางเจี้ยนเย่าสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในครัวแล้วนั่งยองลงหน้าเตา
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เขาเคาะที่ตู้เก็บของซึ่งอยู่ใต้เตา
เพียงไม่นานประตูตู้เก็บของก็เปิดออก ชายจ้ำม่ำคนหนึ่งโผล่ออกมา
เขาสวมเสื้อบุผ้าฝ้ายค่อนข้างหนาและผ้ากันเปื้อนสีขาว สวมหน้ากากแบบที่โลกเก่าใช้เล่นละคร เป็นใบหน้าสีขาวและมีคิ้วหนา
ชายคนนั้นคลานออกมาพร้อมกับพูดด้วยภาษาแดนธุลี
“อาหารอยู่ในตู้แช่แข็ง พวกคุณทำกินกันเองได้เลย หรือจะให้ผมทำให้ก็ได้”
ผมสีดำของเขานั้นบางส่วนชี้โด่เด่ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะหลังจากสระผมแล้วก็นอนโดยไม่ได้เช็ดผมให้แห้งเสียก่อน
“ต้องใช้อะไรแลกเหรอคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบพูดแทรกขึ้นก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะเกิดไอเดียบรรเจิดพูดอะไรออกมา
เธอเปลี่ยนไปใช้ภาษาแดนธุลี
พ่อครัวถอนใจโล่งอกก่อนจะครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ผมไม่ได้ขาดอาหาร งั้นใช้เหรียญเงินเหรียญทองของ ‘ปฐมนคร’ ก็แล้วกัน หรือไม่งั้นเอาอาวุธมาแลกก็ได้”
“อาวุธละกัน” ในบรรดาวัตถุปัจจัยที่เจี่ยงไป๋เหมียนได้มาจากการแลกรถออฟโรดกันกระสุน มีปืนที่พกพาได้สะดวกจำนวนหนึ่ง
“พวกคุณคิดดูก่อนว่าอยากกินเมนูอะไร” พ่อครัวเดินไปที่ตู้แช่ขนาดใหญ่แล้วยกฝาเปิดขึ้น
วัตถุดิบสำหรับทำอาหารนั้นมีเยอะ ทว่าความหลากหลายกลับมีไม่มาก เนื้อสัตว์นั้นเป็นเนื้อหมู วัว แกะ ไก่ เป็ด ปลา ส่วนผักก็มีกะหล่ำปลีและหัวไชเท้า
“มีเยอะจัง” เจี่ยงไป๋เหมียนอุทานด้วยความชื่นชม
สำหรับแดนธุลีแล้ว เรื่องนี้แสดงถึงความเป็นยอดคน
แน่นอนว่าร้านอาหารย่อมต้องมีวัตถุดิบทำอาหารเตรียมไว้ แต่ปริมาณวัตถุดิบที่เตรียมไว้นั่นแสดงให้เห็นถึง ‘ความแข็งแกร่ง’
พ่อครัวพูดเจือรอยยิ้ม
“ตระกูลผมค้าขายวัตถุดิบอาหารเป็นงานหลัก ส่วนร้านอาหารเป็นแค่งานเสริมน่ะ”
เยี่ยมมาก… ที่แท้ก็เป็นพ่อค้าอาหารเถื่อนนั่นเอง… สมแล้วที่เป็นชุมชนศิลาแดง… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำอยู่ในใจไปพลาง เริ่มเลือกเมนูอาหารไปพลาง
“ซี่โครงหมูหนึ่งที่ ทำหมูย่างแดง ไก่หนึ่งตัว ทำเมนูที่คล้ายๆ กับไก๋ตุ๋นมันฝรั่ง ส่วนพวกเครื่องเคียงคุณก็ค่อยดูเอาก็แล้วกัน…”
ระหว่างที่สั่งอาหารไป เธอก็เห็นว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังเอามือลูบท้องเหมือนกับว่าเพียงแค่ชื่ออาหารก็ทำให้เขาน้ำลายสอได้แล้ว
เมื่อสั่งอาหารเสร็จเจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปถามพ่อครัว
“ชุมชนศิลาแดงนี่มีเมนูพิเศษบ้างหรือเปล่า
“อ้อ ใช่ จะให้เรียกคุณว่าไงดีคะ”
“เรียกผมว่าเหล่าเฉิน[1]ก็ได้” พ่อครัวหยุดไปชั่วอึดใจก่อนจะพูดต่อ “ความพิเศษของพวกเราในด้านนี้ก็คือการผสมผสานวิธีการทำอาหารของแม่น้ำแดงบางชนิด อย่างเช่นสเต็กวัว พวกเราใช้การเคี่ยวและตุ๋น ต้องใช้เวลานานมาก แล้วก็ยังมีเมนูสตูว์เนื้อแกะใส่ถั่วฉบับปรับปรุง มีน้ำซอสมากขึ้น เหมาะสำหรับกินคู่กับข้าวปริมาณมาก…”
“งั้นก็เอามาชุดหนึ่ง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างองอาจ “รวมทั้งหมดแล้วเป็นเท่าไหร่เหรอ”
“‘ยูไนเต็ด 202’ หนึ่งกระบอก หรือจะเป็นปืนพกชนิดอื่นก็ได้เหมือนกัน แล้วก็ลูกกระสุน 30 นัด” เหล่าเฉินคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง
“ตกลง” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย แล้วให้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงกลับไปที่รถจี๊ปเพื่อไปนำปืนและกระสุนมา
ในขณะที่มองดูเหล่าเฉินง่วนอยู่กับการทำอาหาร เธอก็ถามอย่างไม่จริงจังนัก
“คุณเคยได้ยินเรื่องเฮลเว็กมาบ้างไหม”
การเคลื่อนไหวของเหล่าเฉินชะงักไปชั่วครู่
“เคย
“เอ่อ… นี่เรียกว่าอะไรนะ… อ้อ… กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง!”
[1] เหล่าเฉิน (老陈) ชาวจีนมักจะใช้คำว่า ‘เหล่า’ ซึ่งแปลว่า สูงอายุ แก่ นำหน้าชื่อหรือแซ่เรียกคนที่สนิทคุ้นเคยกันที่มีอายุมากกว่า หรือเรียกเพื่อนในกลุ่มที่อายุมากที่สุดถึงแม้ว่าเขาคนนั้นจะยังไม่แก่ก็ตาม คำนี้ตรงข้ามกับคำว่า ‘เสี่ยว’ ที่แปลว่า (อายุ) น้อย ส่วน ‘เฉิน’ เป็นแซ่ของพ่อครัว