รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 197 ขอเชิญ
ยามของโบสถ์ที่ไปหาอันเฮอบัสนั้นกลับมาเร็วกว่าที่ซ่งเหอคาดไว้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้พบกับโลเปซ ลูกน้องที่แข็งแกร่งของอันเฮอบัสกลางทาง เขาเป็นคนที่เกือบจะสังหารบัซเมื่อตอนเช้า
เขาสูงราว 190 เซนติเมตร เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกดูแคลนคนส่วนใหญ่ในแดนธุลี แม้แต่ซางเจี้ยนเย่าที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้วก็ยังเตี้ยกว่าเขาอยู่เล็กน้อย
นอกจากความสูงแล้วเขาก็ยังกำยำล่ำสันเป็นอย่างมาก สามารถจินตนาการได้เลยว่าคนที่ไปยืนอยู่ต่อหน้าเขาจะต้องเผชิญแรงกดดันขนาดไหน
เขาไม่ได้เป็นสาวกของนิกายตื่นตัวจึงไม่ได้สวมหน้ากาก เปิดเผยใบหน้าของตนเองออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
ด้วยผมยุ่งเหยิงสีบลอนด์อ่อน ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าเป็นสัน สีหน้าดูดุดันไร้อารมณ์ สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพราง ที่เอวห้อยปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ สองกระบอก รองเท้าหนังที่มีตะปูเหล็กติดไว้ที่ปลาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้สร้างบุคลิกภาพเฉพาะตัวให้กับชายกำยำร่างยักษ์
“เขาดูไม่ค่อยเหมือนคนแม่น้ำแดงเท่าไหร่ คล้ายกับคนทุ่งน้ำแข็งมากกว่า อืม… น่าจะเป็นชาวยาร์ไก” เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งยืนอยู่ข้างบัซพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดงออกมาประโยคหนึ่ง
ทุ่งน้ำแข็งนั้นอยู่ทางเหนือสุดของแดนธุลีทั้งหมด เป็นพื้นที่ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ชาวแม่น้ำแดงในทุกวันนี้มีไม่น้อยที่มีลักษณะบางประการของชาวทุ่งน้ำแข็ง ตามข้อมูลที่บันทึกไว้จากโลกเก่านั้น ในสมัยโบราณเนื่องจากอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงทำให้ชาวทุ่งน้ำแข็งจำนวนไม่น้อยอพยพลงใต้เข้าสู่เขตแม่น้ำแดง หลังจากที่พิชิตคนพื้นเมืองไปมากมายก็ได้ลงหลักปักฐานตั้งรกรากอยู่ที่นั่น จนผ่านไปหลายชั่วอายุคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ชาวยาร์ไกจึงได้กลายมาเป็นเชื้อสายแขนงหนึ่งของชาวแม่น้ำแดง
และในทำนองเดียวกันก็มีชาวแดนธุลีที่มีผมสีบลอนด์ ผิวขาว ร่างกำยำสูงใหญ่ ทว่าในภายหลังเชื้อสายแขนงนี้ก็ค่อยๆ หายสาบสูญไปจากเส้นทางการวิวัฒนาการในภายหลัง
เมื่อได้ยิน ‘เสียงกระซิบ’ ของเจี่ยงไป๋เหมียน โลเปซก็อดหันมาชำเลืองมองเธอไม่ได้ เหมือนกับว่ารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
เขานั้นเป็นชาวยาร์ไกจริงๆ
ทว่าหลังจากที่โลกเก่าถูกทำลายลงไป เนื่องจากภัยพิบัติ สงคราม และการย้ายถิ่นฐาน ทำให้เกิดการผสมผสานทางเชื้อชาติของมนุษย์ในระลอกใหม่ รวมถึงการสูญหายของข้อมูลต่างๆ ไปมากมาย ดังนั้นนอกจากสถานที่ซึ่งมีชาวยาร์ไกอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากแล้วจึงแทบไม่มีคนพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย โดยปกติพวกเขาจึงเป็นเสมือนชาวแม่น้ำแดงนั่นเอง
โลเปซรีบละสายตากลับมา หันไปทางสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ที่ผนังด้านในสุดของห้องโถงแล้วโค้งคำนับเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นสาวกของ ‘ธชียมโลก’ ก็ตาม แต่เมื่อเข้ามาในโบสถ์ของนิกายตื่นตัวแล้วเขาย่อมไม่กล้าทำตัวยะโสโอหังมากเกินไป นี่เป็นเพราะว่าในชุมชนศิลาแดงนั้นมีสาวกของนิกายอยู่มากมาย แม้แต่ลูกน้องของเขาเองที่ติดตามมาด้วยก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ถ้าหากเขามีการกระทำที่แสดงถึงการดูหมิ่นผู้ครองกาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายังไม่ทันที่ตนเองจะได้ออกไปจากโบสถ์ก็คงถูกลูกน้องลอบยิงจากด้านหลังเสียก่อน
เรื่องเช่นนี้ยากที่จะป้องกันได้
และนอกจากนั้น ภายในโบสถ์นิกายตื่นตัวซึ่งเป็นผนังสีแดงขนาดใหญ่ที่ให้ความรู้สึกถึงอันตรายและสีทองอันศักดิ์สิทธิ์ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึก
เคารพขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ซ่งเหอซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำยืนอยู่เบื้องหน้าสัญลักษณ์ขนาดยักษ์ของ ‘ธชียมโลก’ ผงกศีรษะให้เล็กน้อย
“คุณบอกว่าต้องการมาหาบัซใช่ไหม”
เขาพูดด้วยภาษาแม่น้ำแดง
โลเปซไม่ได้ตอบกลับไปทันที เขามองไปรอบๆ ก่อนแล้วจึงถามขึ้น
“มุขนายกเรนาโต้ล่ะ”
ซ่งเหอตอบมาเรียบๆ
“มุขนายกมีเรื่องอื่นต้องทำ ผมมีอำนาจสิทธิ์ขาดที่สามารถจัดการแทนเขาได้”
โลเปซไม่ได้แสดงความเกรี้ยวกราดออกมา แต่แสดงความเป็นมิตร
“ผู้แจ้งเตือน มีความเป็นไปได้สูงว่าบัซมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเฮลเว็ก
“เจ้านายผม มิสเตอร์อันเฮอบัส เป็นทั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทของเฮลเว็กด้วย เขาเริ่มสืบสวนเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“โกหก!” บัซรีบปฏิเสธทันทีด้วยความตกใจระคนโกรธแค้น
โลเปซยิ้ม แล้วหันไปมองดูบรรดาลูกน้องของตนที่สวมหน้ากากสารพัดแบบ จากนั้นถึงหันมาพูดกับบัซ
“ไม่มีฆาตกรคนไหนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนทำหรอก”
“มีสิ” ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงอยู่พูดแทรกขึ้น “บางคนทำเพื่อโอ้อวด บางคนก็ทำเพื่อปกปิดเรื่องอื่น”
ตัวอย่างเช่น ‘บาทหลวง’ ไงล่ะ
โลเปซชำเลืองมองซางเจี้ยนเย่า ไม่ได้นำพาเรื่องไร้สาระนี้มาใส่ใจ
เขามองไปที่ซ่งเหอแล้วพูดเจือรอยยิ้ม
“ผู้แจ้งเตือน คุณสามารถรับประกันได้ไหมล่ะว่าบัซไม่ได้เป็นฆาตกร”
ซ่งเหอนิ่งเงียบไปสองสามวินาที
“ก็จริงนะที่ผมไม่สามารถรับประกันอะไรได้ทั้งนั้น เรื่องนี้จำต้องสืบสวนให้กระจ่างเสียก่อน ไม่งั้นใคร ก็ไม่สามารถจะรับประกันได้”
จากนั้นเขาก็พูดต่อโดยไม่ได้รอให้โลเปซเอ่ยคำ
“บัซเองก็บอกว่าอันเฮอบัสเป็นฆาตกร และมีเหตุผลที่น่าเชื่อถืออีกด้วย
“เขาบอกว่าพวกคุณจัดฉากเรื่องคดีปล้นอาวุธเพื่อหลอกคนอื่นๆ เพราะต้องการส่งอาวุธชุดนั้นไปที่ภูเขา ในขณะเดียวกันก็พยายามชี้นำว่านี่เป็นฝีมือของคนภาษาธุลีและ ‘นาวาบาดาล’
“เพื่อต้องการฮุบกลืนอาวุธพวกนี้ อันเฮอบัสจึงมีเหตุจูงใจให้ลงมือฆ่าเฮลเว็ก”
ไม่ว่าจะเป็นเฮลเว็กก็ดี หรือจะเป็นอันเฮอบัสก็ตาม ล้วนแต่ไม่กล้าขายอาวุธให้กับมนุษย์ชั้นรองอย่างโจ่งแจ้ง เพราะนั่นจะทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูสาธารณะของชุมชนศิลาแดง
จนกระทั่งตอนนี้ เรื่องที่พวกเขาขายอาวุธให้กับมนุษย์ชั้นรองก็ยังเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น
หากว่าบัซไม่ได้เป็นลูกน้องคนสนิทของเฮลเว็ก ก็คงยากที่จะรู้ความลับนี้
หลังจากที่ฟังอย่างเงียบๆ จนจบ โลเปซก็พลันหัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า
“นี่มันเป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมาในปีนี้เลย!”
เสียงหัวเราะของเขานั้นดังก้องไปทั่วโบสถ์ที่ว่างเปล่าและเงียบสงัด ทำให้ซ่งเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อยู่ในโบสถ์ โปรดรักษาความสงบด้วย” ซ่งเหอตักเตือนมาประโยคหนึ่ง
ไม่ว่าในใจโลเปซจะรู้สึกอย่างไรแต่เขาก็ไม่กล้าแสดงออกมาให้เห็น เขารีบกลั้นหัวเราะแล้วจุ๊ปาก
“ผู้แจ้งเตือน คุณคงไม่ได้ถูกบัซหลอกหรอกนะ
“เพื่อปัดความผิดให้พ้นตัว เขาก็เลยใส่ร้ายมิสเตอร์อันเฮอบัส
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ มิสเตอร์อันเฮอบัสให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนชุมชนศิลาแดงเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ชั้นรองมาตลอด เขายังใช้สายสัมพันธ์ที่มีเพื่อซื้อชุดเกราะเสริมแรงทางทหารกลับมาให้ด้วย แล้วเขาจะไปขายอาวุธให้ปีศาจภูเขาได้ยังไง
“จะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานด้วย!”
บัซสวนกลับทันควัน
“นอกจากฉันแล้ว มาร์คกับกัสเตลส์ก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน พวกเขาเป็นพยานได้!”
“ก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะพวกแกต้องการฮุบอาวุธเอาไว้ ก็เลยร่วมมือกันใส่ร้ายมิสเตอร์อันเฮอบัสไงล่ะ” โลเปซพูดอย่างไม่เป็นกังวล
ซ่งเหอยกมือขวาขึ้นมาเพื่อยุติการถกเถียงระหว่างคนทั้งคู่
“ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด อยากจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ในฐานะที่เป็นผู้แจ้งเตือน ผมจะไม่เข้าข้างใคร แต่รับรองได้ว่าการดำเนินการจะอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผู้ครองกาล”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘การเฝ้ามองของผู้ครองกาล’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็อดนึกถึงประสบการณ์ที่ได้พบก่อนหน้านี้ไม่ได้
จนกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่คลาย
ซ่งเหอกล่าวต่อ
“พวกคุณสามารถสอบปากคำบัซได้ แต่จะต้องอยู่ในโบสถ์และมีผมเป็นพยาน
“ในทำนองเดียวกัน อันเฮอบัสเองก็ต้องมาที่โบสถ์เพื่อรับการไต่สวนด้วย
“เรื่องนี้คุณคงไม่อาจตัดสินใจเองได้ กลับไปแจ้งเขาก่อนเถอะ”
คำพูดนี้ของเขาทำให้โลเปซไม่อาจจะโต้แย้งอะไรได้อีก
ถ้าอันเฮอบัสมานี่ คุณจะได้ทำให้เขาเป็นมิตรและยอมรับสารภาพงั้นสินะ แล้วแบบนี้จะถือว่าพวกเราทำภารกิจสำเร็จหรือเปล่าเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำอยู่ในใจ
ในตอนนี้ โลเปซซึ่งไม่อาจแย้งอะไรได้อีกก็หันเหความสนใจ ทอดสายตามองมาที่คนนอกทั้งสอง
“พวกคุณก็คือนักล่าที่รับภารกิจเรื่องการปล้นอาวุธใช่ไหม”
เมื่อได้ยินคำตอบ โลเปซก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าเพียงแค่ไปถามคนนู้นคนนี้ก็คงยากจะมีอะไรคืบหน้า หวังว่าพวกคุณในฐานะที่เป็นบุคคลที่สามจะสืบสวนอย่างไม่ลำเอียง มีความเที่ยงตรงยุติธรรม จะได้จบเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด”
ในระหว่างที่พูด สายตาเขาก็สลับไปมาระหว่างหน้ากากของเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่า
โดยไม่รอให้คนทั้งสองตอบคำ โลเปซก็กลับหลังหันเดินไปที่ประตูโบสถ์
บรรดาลูกน้องของเขาไม่ได้รีบตามออกไปทันที แต่ละคนต่างก็ยกสองแขนขึ้นมาไว้ที่หน้าอก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เมื่อเสร็จพิธีกรรม พวกเขาก็รีบตามโลเปซไป
หลังจากมองดูพวกเขาจากไป ซ่งเหอก็พูดกับบัซ
“จริงไม่อาจเท็จ เท็จไม่อาจจริง
“ในช่วงนี้คุณก็พักอยู่ที่โบสถ์เถอะ วีลเองก็อยู่ด้วย พวกคุณจะได้แลกเปลี่ยนเทคนิคการซ่อนตัวกัน”
“ทราบแล้ว ผู้แจ้งเตือน” เมื่อเห็นว่านิกายไม่ได้ทอดทิ้งตนเอง บัซก็โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าตอนนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงดึงบัซมาข้างๆ แล้วถามด้วยเสียง ‘เบา’
“คุณคิดว่าอันเฮอบัสน่าจะซ่อนอาวุธพวกนั้นไว้ที่ไหน
“ถ้าหากหาเจอละก็ เรื่องทั้งหมดก็จะกระจ่างทันที”
“ผมไม่รู้” บัซส่ายหน้าด้วยความโกรธแค้น “ในตอนนั้นอันเฮอบัสใช้ทหารรับจ้างแทนที่จะเป็นคนของเขาน่ะ พวกนั้นทั้งหมดเป็นผู้อพยพมาจากต่างถิ่นและให้โลเปซเป็นคนนำ”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เธอหันไปพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“งั้นพวกเราออกไปกันอีกรอบก็แล้วกัน ดูว่าจะหาเบาะแสอะไรเพิ่มได้บ้าง”
เมื่อออกมาจากโบสถ์แล้ว ทั้งสองก็เดินกลับไปยังอาคารร้างที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงอยู่
เมื่อมาถึงที่หมายก็มีคนมาหยุดพวกเขาไว้
ดูจากหน้ากากที่สวมอยู่ พวกเขาก็คือชาวชุมชนศิลาแดงที่ติดตามโลเปซเมื่อครู่นี้นั่นเอง เป็นลูกน้องของอันเฮอบัส
บุคคลหนึ่งซึ่งสวมหน้ากากแมงมุม เขาถือปืนกลมือเล็งมาที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่า ใช้คางบุ้ยหน้าไปด้านหนึ่ง
“หัวหน้าให้พวกคุณไปหา”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย เธอผงกศีรษะเล็กน้อย
“ได้”
ซางเจี้ยนเย่าพูดเน้นอย่างจริงจังออกมาประโยคหนึ่ง
“ต้องใช้คำว่า ‘ขอเชิญ’ สิ”
ลูกน้องของโลเปซเหลือบมองชายสวมหน้ากากลิงที่เพิ่งพูดออกมาแวบหนึ่งแล้วแค่นจมูก หมุนตัวกลับแล้วเดินนำไป
อีกสองคนที่เหลือถืออาวุธแล้วประกบขนาบซ้ายขวา บีบให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าอยู่ตรงกลาง
เมื่ออ้อมอาคารไปพวกเขาก็เจอโลเปซ
ชายผมบลอนด์ร่างยักษ์ในเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพรางกำลังนั่งอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถเอทีวีสีกากี มองดูเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามาหาตนเองด้วยรอยยิ้ม
ข้างกายเขานั้นมีลูกน้องถือปืนยืนอยู่ทั้งสองฝั่ง
รอจนกระทั่งนักล่าจากต่างถิ่นทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ โลเปซก็หัวเราะเสียงดัง
“พวกคุณนี่ ใจเย็นกันมาก”
“คงไม่ใช่ว่าพอมีนิกายตื่นตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็เลยคิดจะฆ่าพวกเราหรอกนะ” ในระหว่างที่พูด เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองไปรอบๆ แล้วกวาดสายตาผ่านดาดฟ้าของอาคาร
“คนตายย่อมไม่มีทางชี้ตัวว่าใครเป็นฆาตกรที่ฆ่าตัวเองได้ใช่ไหมล่ะ ไอ้เจ้าบัซหน้าโง่นั่นไม่มีทางพิสูจน์อะไรได้หรอก” โลเปซเอนกายมาด้านหน้าเล็กน้อย เพิ่มแรงกดดัน “ผมให้พวกคุณมาที่นี่เพราะมีอะไรจะบอก…”
เสียงเขาเพิ่งจะขาดคำ ก็พลันเห็นว่ามีร่างหนึ่งกระโดดเข้ามาหา ภาพของหน้ากากลิงขนดกปากยื่นปรากฏขึ้นในสายตา
ร่างนั้นเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก การโจมตีเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากเสียจนโลเปซไม่มีเวลาจะชักปืนขึ้นมา ทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นมาขวางไว้ด้านหน้าเท่านั้น
จากนั้นเขาก็พบว่าอีกฝ่ายเพียงแค่เหวี่ยงมือออกมาง่ายๆ ก็ทำให้มือตัวเองถูกปัดเบี่ยงออกไปด้านข้างอย่างไม่อาจควบคุมได้ นี่ทำให้บริเวณหน้าอกและหน้าท้องของตนเองไร้การปกป้องในทันที
ทำไมแข็งแรงขนาดนี้… ความคิดนี้เพิ่งจะวาบขึ้นในใจของโลเปซ นักล่าที่สวมหน้ากากลิงก็ลดบ่าลงแล้วกระแทกใส่หน้าอกเขาทันที
เสียงดังพลั่ก ทัศนวิสัยเขากลายเป็นมืดครึ้มแล้วก็หงายล้มลงไป
ซางเจี้ยนเย่างอข้อศอกแล้วกระทุ้งติดตาม
ปึก!
หน้าท้องของโลเปซยุบลง ร่างท่อนบนของเขากระตุกเด้งพรวดขึ้นมา
วินาทีถัดมา ลำคอของเขาก็ถูกมือหนึ่งบีบเอาไว้
เขามองหน้ากากลิงที่ดูเจ้าเล่ห์ ร้องตะโกนด้วยความตกใจระคนโกรธเกรี้ยว
“แกจะทำอะไร”
ภายใต้ปากกระบอกปืนที่เล็งมา ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างจริงจัง
“หนึ่ง ห้ามเหยียดหยามพี่น้องของฉัน
“สอง กระโปรงหน้ารถไม่ได้มีไว้ให้นั่ง
“สาม ต้องพูดว่า ‘ขอเชิญ’”
“…” โลเปซแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง “แกเสียสติหรือไงเนี่ย”