รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 199 ผู้อันธการ
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนอ่านโทรเลขจบก็พูดกลั้วหัวเราะ
“พูดแบบนี้ก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรนั่นแหละ นอกจากแค่ทำให้เราเข้าใจพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ในเขตพลังนี้มากขึ้นมาอีกหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ได้ช่วยเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลอะไรในตอนนี้แม้แต่นิดเดียว
“ที่ชุมชนศิลาแดงเนี่ย พวกคนภาษาธุลีเป็นทั้งผู้ศรัทธาใน ‘ธชียมโลก’ เป็นทั้งผู้ที่ตื่นตัว พวกคนแม่น้ำแดงเองก็เหมือนกัน ทั้งสองกลุ่มนี้ก็อาจจะมีผู้ตื่นรู้เกิดขึ้นโดยบังเอิญได้ทั้งนั้น”
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยความเศร้าใจ
“ผมยังคิดว่าพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ของพวกเขาจะเกี่ยวข้องกับการซ่อนหาซะอีก”
“ก็เพราะว่ากลัวก็เลยตื่นตัว ก็เพราะว่ากลัวก็เลยซ่อนตัว ทำไมจะไม่เกี่ยวกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบมาอย่างไม่ใส่ใจ “นอกจากนั้น นี่ก็เป็นเพียงแค่ข้อมูลในส่วนที่บริษัทมีอยู่เท่านั้น ไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดซะหน่อย ก็ไม่แน่นะ ผู้ตื่นรู้ของนิกายตื่นตัวอาจจะมีพลังพิเศษเรื่องการซ่อนตัวจริงๆ ก็ได้”
เธอหยิบกระดาษขึ้นมา มองดูทุกคนรอบๆ แล้วพูด
“อืม โทรเลขฉบับนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลยซะทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้พวกเรายืนยันได้ว่าเขตพลังของ ‘ธชียมโลก’ นั้นเกี่ยวข้องกับการทำให้คนตกใจเกินขนาดได้
“เอ่อ… หลังจากนี้ก็ให้ทุกคนพกยาชีวภาพ FECA ติดตัวไว้ด้วยละกัน มันส่งผลต่อหัวใจ ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยชีวิตพวกนายในยามวิกฤติก็ได้”
ยาชีวภาพ FECA ก็คือชนิดของชีวเภสัชกรรมที่ฉีดให้กับเจ้าเมืองน้ำล้อมนั่นเอง
หลงเยว่หงรู้สึกสะเทือนอารมณ์ที่การวิจัยและพัฒนาของบริษัทนั้นมีความก้าวหน้ามาก จำนวนยาฉุกเฉินที่ ‘ทีมสำรวจ’ เก่าพกพามาด้วยก็มีปริมาณเพียงพอ แต่ก็ยังคงถามด้วยความสงสัยอยู่บ้าง
“แต่ในตอนที่กำลังตกใจจนเกินขนาดก็คงต้องหมดสติไปแล้วแน่ๆ ใกล้ตายเต็มที งั้นจะฉีดยาชีวภาพ FECA ให้ตัวเองได้ยังไงล่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“ดังนั้นห้ามฉายเดี่ยวเด็ดขาด อย่างน้อยต้องไปเป็นคู่
“ด้วยวิธีนี้ ถ้าหากว่ากำลังจะตกใจตาย คู่หูจะช่วยไล่ศัตรูไปแล้วหาโอกาสฉีดยาชีวภาพ FECA ให้”
เธอเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นซางเจี้ยนเย่ายกสองมือคาไว้ ดูเหมือนว่าลังเลอยู่
“นายจะทำอะไรน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างระแวง
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ผมกำลังคิดอยู่ว่าควรจะสวดภาวนาด้วยพิธีของนิกายไหนดี”
พูดจบเขาก็ตัดสินใจได้ งอแขนทำท่าเหมือนอุ้มเด็กทารกแกว่งไปมา
“นายยังชอบ ‘พิธีกรรมชีวิต’ อยู่สินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างขบขัน
ซางเจี้ยนเย่าให้เหตุผลอย่างจริงจัง
“ในบรรดานิกายทั้งหมดที่เคยเจอมาจนถึงตอนนี้ ศีลของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ อร่อยที่สุด”
สมกับที่เป็นนายจริงๆ หลงเยว่หงไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
แล้วเขาก็ถามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมจู่ๆ นายถึงอยากสวดภาวนาขึ้นมาล่ะ”
“สวดอธิษฐานขอให้พลังพิเศษด้านความกลัวในเขตพลัง ‘ธชียมโลก’ ไม่ได้เป็นแบบครอบคลุมพื้นที่ ใช้ได้เพียงแค่ตัวต่อตัวเท่านั้น” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวตามความสัตย์
คำพูดนี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินถึงกับขมวดคิ้วขึ้นพร้อมๆ กัน
ผ่านไปสองสามวินาทีเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มแล้วถอนใจ
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงหมดปัญญาช่วยตัวเองแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นการต่อสู้กับผู้ตื่นรู้จึงเป็นเรื่องน่ารำคาญและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง ในบางครั้งคนที่เปิดฉากใช้พลังพิเศษได้ก่อนก็ได้ชัยไปเลย”
พูดถึงตรงนี้เธอก็คลี่ยิ้มออกมา
“ที่จริงแล้วฉันก็ยังพอจะช่วยชีวิตตัวเองได้อยู่”
เมื่อเห็นว่าหลงเยว่หงแลดูงุนงง เธอก็ยกแขนซ้ายขึ้นมา
“มีประจุไฟฟ้าเก็บเอาไว้ในนี้ตั้งเยอะ การที่จะปล่อยไฟฟ้าออกมาช็อตเป็นจังหวะก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง ชิปเสริมเองก็มีฟังก์ชันที่คอยตรวจสอบสภาวะทางกายภาพด้วย นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว ฉันจำได้ว่านาฬิกาข้อมืออิเล็กทรอนิกส์บางเรือนในโลกเก่าก็สามารถทำอะไรแบบนี้ได้เหมือนกัน”
หลงเยว่หงฟังแล้วถึงกับตกตะลึงไปพักหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามหลอกล่อเกลี้ยกล่อมเขากับไป๋เฉินต่ออีก
“เป็นไงล่ะ สนใจบ้างหรือยัง
“เอาไว้พอกลับไปถึงบริษัท พวกนายก็สามารถใช้แต้มส่วนร่วมไปแลกเปลี่ยนกับอวัยวะเทียมชีวภาพได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นรุ่นสำหรับงานวิจัยทดลองอย่างของฉันนี่ แต่รุ่นอื่นก็ไม่ใช่ว่าจะแย่หรอกนะ”
“ผมยังลังเลอยู่” ซางเจี้ยนเย่าตอบแทนพวกเขา
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขา
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างกังวล
“แขนจักรกลดูเป็นแมนสมชายชาตรีมากกว่า”
“บริษัทคงทำเจ้านี่ให้ไม่ได้หรอก นอกเสียจากว่าจะมีโอกาสไปที่อื่นอย่าง ‘ปฐมนคร’” เจี่ยงไป๋เหมียนถกปัญหากับเขา
หลังจากที่ไป๋เฉินฟังเงียบๆ จนจบ เธอก็เม้มปากถามขึ้นมา
“สามารถเลือกรุ่นเลือกประเภทเองได้หรือเปล่า”
เห็นได้ชัดว่าเธอเริ่มรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาบ้างแล้ว
“แหงอยู่แล้ว ขอเพียงมีเครดิตสะสมหรือแต้มส่วนร่วมมากพอเท่านั้นแหละ”
ถ้าหากสูญเสียแขนขาไปในการต่อสู้ก็สามารถเปลี่ยนอวัยวะเทียมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ไม่สามารถเลือกชิ้นส่วนเองได้
เมื่อพูดคุยเรื่องนี้กันเสร็จแล้วพวกเขาก็รับประทานอาหารเที่ยงกันต่อ
ขณะที่พวกเขากำลังเก็บกล่องข้าวและอุปกรณ์รับประทานอาหาร เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็ส่งสายตาไปที่ประตูในเวลาเดียวกัน
สิบกว่าวินาทีผ่านไป ประตูห้อง ‘05’ ก็ถูกเคาะ
ซางเจี้ยนเย่ารีบหยิบหน้ากากลิงขึ้นมาสวมด้วยความว่องไวแล้วรีบไปที่ประตู
เขาหันซ้ายหันขวารอบหนึ่งแล้วถอนหายใจ
“แถวนี้ไม่มีกระบอง”
เจี่ยงไป๋เหมียนคร้านจะสนใจเขา ในขณะที่กำลังสวมหน้ากากก็ตะโกนถามเสียงดัง
“ใคร”
เธอใช้ทั้งภาษาแดนธุลีและภาษาแม่น้ำแดงถามออกไป
คนที่อยู่หน้าประตูนั้นมีมารยาทมาก แจ้งชื่อแซ่ออกมาตามตรง
“หานวั่งฮั่ว”
ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว… เจี่ยงไป๋เหมียนโล่งใจ
“เชิญเข้ามาได้”
ในตอนนี้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงสวมหน้ากากเสร็จเรียบร้อยแล้ว แยกกันยืนขนาบเธออยู่สองฝั่ง
ด้านนอกประตูไม่ได้มีหานวั่งฮั่วเพียงแค่คนเดียว ยังมีคนแดนธุลีในวัยยี่สิบอยู่อีกคนด้วย
เขามีผมสีดำดวงตาสีน้ำตาล ความสูงไม่ถึง 170 เซนติเมตร ผิวหยาบกร้านจากแดดจากฝน ใบหน้าราวกับทารก แต่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“คนนี้คือ…” เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นฝ่ายถาม
หานวั่งฮั่วแนะนำตัวทันที
“ถานเจี๋ย สมาชิกคนหนึ่งของสำนักงานรักษาความสงบฯ เป็นคนภาษาธุลี”
เขาเน้นที่ประโยคสุดท้าย
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะครุ่นคิด
“เชิญเข้ามาก่อน”
เมื่อแยกย้ายกันไปนั่งลงแล้ว ซางเจี้ยนเย่ายังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู เขายืนกอดอกทำเหมือนเป็นผู้คุ้มกัน
“แวร์ตูร์บอกว่าพวกคุณมีเรื่องสำคัญจะบอกผม” หานวั่งฮั่วถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ถ่อมตนหรือหยิ่งยะโส
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” คำหนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ถูกบาซูก้ายิงให้ฟังโดยไม่ได้ปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้ต้องการฆ่าตนเองจริงๆ
หานวั่งฮั่วหันหน้าไปมองถานเจี๋ย หลังจากใคร่ครวญแล้วก็เอ่ยปากขึ้น
“อาจจะเป็นการทำเพื่อกระตุ้นให้พวกคุณตั้งใจทำคดีในมือทั้งสองเรื่องอย่างเต็มที่ แต่ก็อาจจะเป็นการเตือนพวกคุณว่าอย่าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของชุมชนศิลาแดงได้เหมือนกัน”
เขาพูดอย่างชัดเจนออกมาตรงๆ ไม่ได้ปิดบังสถานการณ์ในชุมชนศิลาแดงว่าเป็นเช่นไร
“ดูท่าแล้วคนที่โจมตีนั่นต้องมั่นใจว่าสองเรื่องนี้จะทำให้เกิดพายุขนานใหญ่แน่” ถานเจี๋ยพูดอย่างเฉยเมย
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มขึ้นทันที
“คนที่ส่งจดหมายเตือนมาที่ห้องพวกเราก่อนหน้านี้ก็คือคุณสินะ”
เธอถามออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
ถานเจี๋ยนิ่งไปสองวินาทีถึงจะพูดออกมา
“นี่เป็นเพราะเห็นว่าพวกคุณเองก็เป็นคนภาษาธุลีเหมือนกัน
“พวกคุณอ่อนแอเกินไป การเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อาจจะถึงแก่ชีวิตได้”
ซางเจี้ยนเย่าพูดออกมาจากใจจริง
“ขอบคุณ”
ขณะที่ถานเจี๋ยกำลังงุนงงกับคำขอบคุณที่โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอยู่นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็เปิดประเด็นถามขึ้น
“พวกคุณไม่อยากสืบหาความจริงหรือไง
“ถ้าหากพวกคุณมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ งั้นก็มาช่วยพวกเราสิ ช่วยตามหาว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และนี่ก็เป็นการล้างมลทินให้พวกคุณอีกด้วย”
ถานเจี๋ยพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“บางคนต้องการเพียงแค่ข้ออ้างเท่านั้น ไม่ได้ต้องการความจริง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ แต่ละคนต่างก็เคยทำเรื่องที่ล้ำเส้นกันมาทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นคนมือสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงหรอก”
สำหรับไป๋เฉินแล้ว สถานการณ์เช่นนี้เป็นอะไรที่เธอเข้าใจได้เป็นอย่างดี บนแดนธุลีซึ่งยากเอาชีวิตรอดนั้น การที่ผู้คนแต่ละกลุ่มจะหยิบมีดขึ้นมาห้ำหั่นกันเพื่อช่วงชิงทรัพยากรเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สานต่อหัวข้อนี้ เปลี่ยนไปพูดเกี่ยวกับบัซแทน
เรื่องที่ว่าเฮลเว็กกับอันเฮอบัสอาจจะร่วมมือกัน เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ถานเจี๋ยฟังแล้วก็หัวเราะโดยไม่มีรอยยิ้ม
“ที่พวกเขาทำแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลย
“น่าเสียดายที่เฮลเว็กตายสบายไปหน่อย”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบคำ เล่าต่อเรื่องที่เดินทางไปโบสถ์นิกายตื่นตัว
เธอรักษาสัญญา ไม่ได้พูดถึงว่ามุขนายกเรนาโต้ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ เธอเพียงแค่เล่าว่าได้พบกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอเท่านั้น
นอกจากนี้เธอยังไม่ได้ปิดบังเกี่ยวกับเงื่อนงำที่โลเปซให้มา จากนั้นก็พูดถึงพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ในเขตพลังของ ‘ธชียมโลก’ ซึ่งเกี่ยวพันกับความกลัว
“ถูกต้อง” ถานเจี๋ยยืนยันคำตอบ
หานวั่งฮั่วเองก็ไม่ได้แปลกใจเช่นกัน ราวกับเขารู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้จากคนภาษาธุลีมาตั้งนานแล้ว
เขาใคร่ครวญก่อนจะพูดขึ้น
“อาจจะเป็นไปได้ว่าสถานการณ์ของผู้รอดชีวิตในชุมชนศิลาแดงนั้นสอดคล้องกับคำสอนของนิกายตื่นตัว ก็เลยทำให้มีผู้ตื่นรู้มากกว่าปกติ
“แต่นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะ ไม่ได้มีหลักฐานอะไรหรอก”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“นี่มันทำให้เรื่องราวเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น
“ตอนนี้อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องนี้ละกัน เอาแค่เรื่องอันเฮอบัสก่อนก็พอ ถ้าหากเขาเป็นคนเอาอาวุธของเฮลเว็กไปจริงๆ งั้นวันนี้ก็ไม่น่าจะกล้าเหยียบเข้าไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัว เห็นได้ชัดว่าเขาต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้พอสมควรเลยล่ะ
“ในสถานการณ์แบบนี้ คิดว่าเขาจะทำยังไง”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว เธอก็พลันรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที
เป็นเพราะเธอใช้น้ำเสียงชี้ทางสว่างซึ่งมักจะใช้ในเวลาที่ถกปัญหากับสมาชิกในทีม แต่ตอนนี้อีกฝ่ายที่เธอกำลังสื่อสารอยู่ด้วยนั้นเป็นชาวชุมชนศิลาแดง
หานวั่งฮั่วช่วยสนับสนุนเรื่องนี้ เขาใคร่ครวญแล้วพูดออกมา
“ถ้าผมเป็นเขาก็คงจะหาโอกาสส่งอาวุธนี้ให้กับยามเมืองแล้วบอกว่าเป็นวัตถุปัจจัยที่เก็บออมไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ นิกายตื่นตัวก็จะทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้างอย่างแน่นอน”
“และก็อาจเป็นไปได้ที่จะโยนความผิดไปให้คนอพยพต่างถิ่นอย่างโลเปซ บอกว่าพวกนั้นทำลับหลังโดยที่เขาไม่รู้เรื่อง” ถานเจี๋ยเสริมขึ้นอย่างเรียบๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย
“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ พอจะเป็นไปได้ไหม คืออันเฮอบัสจะถือโอกาสนี้ส่งอาวุธออกไปนอกชุมชนศิลาแดงคืนนี้เลย ส่งไปให้ปีศาจภูเขา หลังจากนั้นต่อให้ตายก็ไม่ยอมไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัวเด็ดขาด แต่ปล่อยให้คนที่สืบสวนนั้นสืบได้ตามต้องการ”
“ไม่ได้หรอก ถ้าเขาไม่ไปโบสถ์นิกายตื่นตัวก็แสดงว่าเป็นวัวสันหลังหวะ ไม่กล้าเผชิญกับสายตาแห่งผู้ครองกาล ถ้าเป็นอย่างนั้นชาวชุมชนที่เป็นลูกน้องเขาต้องเกิดความสงสัยแน่ พอถึงตอนนั้น เวลานอนก็นอนหลับไม่สนิท และเขาเองก็รู้ดีว่านิกายตื่นตัวนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน” หานวั่งฮั่วให้คำตอบเชิงปฏิเสธ
“อย่างนั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ “ปกติอันเฮอบัสพักอยู่ที่ไหน”
“เขาเปลี่ยนที่อยู่ไม่แน่ไม่นอน แต่เมื่อเผชิญสถานการณ์ที่ค่อนข้างอันตรายก็มักจะเลือกบ้านพักริมทะเลสาบน่ะ ที่จอดรถใต้ดินของที่นั่นสามารถไปถึงท่าเรือได้ มีเรือจอดอยู่ที่ท่า” ถานเจี๋ยตอบแบบรวบรัด
เอ่อ… พวกคุณจับตาดูอันเฮอบัสมานานแล้วสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดชั่วครู่ แล้วถามต่อทันที
“นายอำเภอหาน คดีคนที่เสียชีวิตเพราะตกใจตายตั้งแต่สองปีก่อนหน้านี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่ทางนิกายตื่นตัวจะไม่สงสัยว่าเป็นฝีมือของผู้ตื่นรู้ คุณยังจำได้ไหมว่าในตอนนั้นพวกเขามีปฏิกิริยายังไงกับเรื่องนี้
“ในช่วงนั้น พวกเขาจู่ๆ ก็มีผู้แจ้งเตือนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือเปล่า”
ขณะที่หานวั่งฮั่วกำลังขมวดคิ้วนึกทบทวน ถานเจี๋ยก็ลุกพรวดขึ้นมาทันที
“หลังจากคดีสุดท้ายนั่นประมาณครึ่งปี ทางนิกายก็มีตำแหน่ง ‘ผู้อันธการ’ ขึ้นมาอีกคน
“เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการของนิกายที่บำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องมืดน่ะ”
น้ำเสียงของเขามีความตื่นตัวเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงไร้ความรู้สึกเช่นเดิม
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหานวั่งฮั่วก็พลันเปลี่ยนไป เขายืนพรวดขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตระหนก
“เขาเป็นน้องชายของอันเฮอบัส ชื่อว่าแบรนด์!”