รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 214 สิ่งของพวกนั้น
หลังจากที่ท้องฟ้าค่อยสว่างขึ้น หานวั่งฮั่วก็วางวิทยุสื่อสารลง มองดูซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ
“ยืนยันว่าพวกเขาถอยทัพไปแล้ว เราแค่เหลือคนเอาไว้บางส่วนให้รับผิดชอบเรื่องการเฝ้าระวังกับลาดตระเวนก็พอ”
ความหมายของเขาก็คือสงครามได้ยุติลงเป็นการชั่วคราว
ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนจะสวมหน้ากากอยู่ แต่เธอก็ยังยกมือปิดปากหาวหวอด
เธอวางปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ลงแล้วยืนขึ้นมาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นสัญญาว่าจ้างของพวกเราถือว่าสิ้นสุดแล้วหรือยัง”
“ถ้ายังเกิดอะไรขึ้นอีกก็ถือว่ายังไม่จบ” หานวั่งฮั่วตอบอย่างค่อนข้างระมัดระวัง
ตอนนี้ทั้งซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน และหลงเยว่หงต่างก็เก็บอาวุธของตนแล้วเช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้ม
“พวกเรายังอยู่ชุมชนศิลาแดงต่ออีกสองสามวัน ถึงตอนนั้นก็อย่าลืมจ่ายงวดสุดท้ายด้วยล่ะ”
นั่นรวมถึงชุดเกราะเสริมแรงทางทหารและอาหารสำหรับสี่คนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
“ไม่มีปัญหา” หานวั่งฮั่วตอบโดยไม่ลังเล
จากที่เขาเห็น ถ้าไม่มี ‘ทหารรับจ้าง’ ทั้งสี่คนอยู่ด้วย ในสงครามครั้งนี้ชุมชนศิลาแดงคงถูกกำจัดทิ้งไปแล้ว
หลักฐานก็คือในช่วงเวลาวิกฤตตอนนั้น ทางนิกายตื่นตัวยังไม่สามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูซางเจี้ยนเย่าที่นิ่งเงียบผิดสังเกต แล้วหันกลับมาพูดกับหานวั่งฮั่ว
“งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะ อ้อ… ถ้านักโทษฟื้นเมื่อไหร่ก็อย่าลืมแจ้งพวกเราด้วยล่ะ ฉันมีเรื่องอะไรอยากถามสักหน่อย”
เนื่องจากว่ามีผู้บาดเจ็บตกค้างอยู่ที่แนวป้องกันของชุมชนศิลาแดง ดังนั้นพันธมิตรมนุษย์ชั้นรองจึงไม่มีวิธีพาพวกเขากลับไปด้วย
“ได้” หานวั่งฮั่วยังคงมีอำนาจสิทธิ์ขาดสำหรับจัดการเรื่องนี้อยู่
เมื่อออกจากแนวป้องกันมาถึงที่จอดรถแล้ว หลงเยว่หงก็ถึงกับตะลึงงันไป
บริเวณนี้โชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดูเหมือนพวกลูกปืนใหญ่จะปลิวลงมาแถวนี้ด้วย รถเอทีวีสีกากีกระจกแตกกระจาย ลมยางล้อรถก็แฟบแบน
รถจี๊ปของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นค่อนข้างอึดถึกทนทาน ภายใต้การปกป้องจากเกราะกันกระสุนที่หนาเทอะทะ กระจกกันกระสุน ยางชนิดพิเศษ รวมถึงรถที่จอดอยู่ข้างเคียง จึงมีเพียงแค่รอยขีดข่วนไม่กี่รอยเท่านั้น
“รถคันนี้ขับไม่ได้แล้วล่ะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองแว่บหนึ่งแล้วพูดอย่างมีความสุข “โชคดีที่ไม่ใช่รถเรา”
ระหว่างที่พูดเธอก็เดินไปที่รถจี๊ปแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับ
“ฉันขับก็แล้วกัน เสี่ยวไป๋ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ต้องระวังไว้หน่อย”
“ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่” ด้วยการยืนกรานของเจี่ยงไป๋เหมียนวันแล้ววันเล่า ในที่สุดไป๋เฉินก็จำต้องยอมรับชื่อเล่นของตัวเองจนได้
ซางเจี้ยนเย่าช่วย ‘อธิบาย’ แทนเจี่ยงไป๋เหมียน
“หัวหน้าเขายังตื่นเต้นอยู่น่ะ”
“เชอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนทำเสียงเหยียดหยาม “ตื่นแล้วหรือไง ทีเมื่อกี้ทำเป็นซึม หิวแล้วใช่ไหมล่ะ”
ตอนนี้ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ผมกำลังคิดใคร่ครวญปัญหาบางอย่างอยู่”
“ปัญหาอะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกเสียใจทันทีว่าไม่น่าพลั้งปากถามออกมาเลย
เธอรีบเข้าไปนั่งในรถโดยไวแล้วรีบสตาร์ทรถทันที
แต่นี่ไม่ได้ทำให้ซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งเบาะหลังยุติการพูดต่อ
“ทำยังไงถึงจะทำให้ชาวชุมชนศิลาแดงอยู่ร่วมกับมนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขาได้อย่างสันติ”
“…เรื่องนี้ยากมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “ต่อให้นายใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ทำให้พวกเขาเป็นพี่น้องต่างพ่อต่างแม่ได้ แล้วสร้างประจักษ์พยานแบบวนรอบได้อย่างสมบูรณ์ก็เถอะ แต่ผลกระทบนี้ก็คงไม่มีทางอยู่ไปชั่วนิรันดร์ เพราะสุดท้ายนายก็ต้องจากไปอยู่ดี”
ถ้าหากไม่พึ่งพาพลังพิเศษผู้ตื่นรู้ล่ะก็ ดูจากตอนที่เคลียร์สนามรบก่อนหน้านี้ พื้นดินสีดำที่มีกองซากศพและถูกย้อมด้วยเลือดสีแดง ลองคิดดูสิว่าในอดีตที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามามากน้อยเพียงใด เพียงเท่านี้ก็จะเข้าใจได้กระจ่างว่าเรื่องพลิกฟ้าคว่ำดินเช่นนี้เป็นเรื่องยากลำบากถึงเพียงไหน ต้องพยายามอย่างหนักไม่หยุดหย่อนอย่างน้อยก็สองสามชั่วอายุคน ถึงจะพอบรรเทาความเกลียดชังระหว่างกันให้หมดไปได้
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างเงียบๆ จนจบก็ถอนหายใจด้วยความเศร้า
“น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถแบ่ง ‘ตัวผม’ ออกมาหลายๆ คนได้ จะได้เก็บไว้ที่นี่หนึ่งคน”
ประเด็นสำคัญของนาย กับไอ้ที่ฉันเพิ่งพูดไปตะกี้ มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไงยะ… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกหมดคำพูด
มุมมองความคิดของคนทั้งสองนั้นอยู่กันคนละโลกโดยสิ้นเชิง
หลงเยว่หงมองดูรถจี๊ปขับผ่านซากเมืองและฟังบทสนทนาระหว่างหัวหน้าทีมกับซางเจี้ยนเย่า เขาก็ถอดหน้ากากออกแล้วพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ก่อนปีศาจภูเขาจะตาย เขาพูดอะไรบางอย่างกับผม”
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนส่งเสียงอย่างให้ความร่วมมือ
หลงเยว่หงเล่าเรื่องที่ปีศาจภูเขาพูดออกมาก่อนจะสิ้นใจ และความคิดของตัวเขาเองบางส่วน
เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งใจฟังจนจบก็พูดอย่างกึ่งยิ้มกึ่งถอนใจ
“ตอนนี้นายคงเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้งถึงงานที่พวกเรากำลังทำอยู่แล้วใช่ไหม
“มีเพียงแค่การเข้าใจสาเหตุของโรคได้ ถึงจะสามารถหาวิธีที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในการรักษาโลกระยำใบนี้ได้!”
ขณะที่เธอพูด อารมณ์ก็พลันผันผวนขึ้นมาจนยากจะควบคุม
ซางเจี้ยนเย่าคลี่ยิ้มออกมาทันที
“อย่างนั้นต่อไปนี้ ทุกคนจะร่วมมือกับผมเพื่อช่วยมนุษยชาติใช่ไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา
“เรื่องที่มีคุณค่าแบบนี้ ฉันจะพลาดได้ไงล่ะ
“หลังจากที่สามารถสืบหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าได้แล้ว หาต้นตอของ ‘โรคไร้ใจ’ กับวิธีรักษาได้แล้ว พวกเราก็จะไปกอบกู้โลกกัน!”
หลงเยว่หงยิ้มออกมา ไป๋เฉินก็เช่นเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ตอบรับ
เขารู้สึกว่าตัวเองคงไม่สามารถแบกรับภาระที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้
สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือจัดการชีวิตตัวเองให้ดี
เมื่อหัวข้อสนทนานี้จบหลง เจี่ยงไป๋เหมียนก็เหลือบมองกระจกมองหลัง
“เอาข้าวของทุกอย่างที่ได้มาจากผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาคนนั้นออกมาสิ ก่อนหน้านี้ฉันดูแล้วเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ต้องพูดว่า ‘เฮ้’ ด้วย” ซางเจี้ยนเย่าย้ำ
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจตามความคิดของซางเจี้ยนเย่าได้ทัน
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง
“ก็หัวหน้าพูดเองไม่ใช่หรือไงว่าชื่อเล่นที่ใช้ในกลุ่ม เขาชื่อเสี่ยวหง ส่วนเธอก็เสี่ยวไป๋ แล้วผมคือเฮ้”
“…” สีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนหลังหน้ากากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกโมโหปนขบขัน
แล้วในตอนนี้เธอก็เห็นจากหางตาว่ากล้ามเนื้อใบหน้าของไป๋เฉินนั้นยกขึ้นเล็กน้อย
หน้ากากของพวกเขานั้นไม่ได้ครอบใบหน้าจนมิด มองจากด้านข้างแล้วยังเห็นใบหน้าบางส่วนได้
“เธอตลกนักหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนจากอับอายกลายเป็นโทสะ
ไป๋เฉินเม้มปากแน่น ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
ด้วยเหตุนี้ บรรยากาศในรถจึงร่าเริงขึ้นมาบ้าง จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็หยิบผลไม้แห้ง เหง้าของพืชบางชนิด ลูกอมสีเขียวในห่อขาดๆ เข็มที่หนายาวสองสามเล่มออกมา
“ของพวกนี้มันคืออะไรน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับมามอง
นี่เป็นสิ่งของที่ผู้ตื่นรู้ทรงพลังคนหนึ่งพกพาไว้งั้นหรือ
ไป๋เฉินเอี้ยวตัวมาดู ศึกษาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“นี่น่าจะเป็นบ๊วยตากแห้ง”
เธอชี้ไปที่ผลไม้แห้งที่มีสีดำ
แน่นอนว่าเธอย่อมไม่กล้าเอาของไม่รู้จักใส่ปากเพื่อลองชิมอยู่แล้ว เพียงแค่หยิบขึ้นมาดมเท่านั้น
บ๊วยตากแห้งงั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมาทันที
ส่วนเหง้าของพืชบางชนิดกับลูกอมสีเขียวคืออะไรนั้น ในตอนนี้พวกเขาคงไม่อาจทราบได้
พวกเขาขับรถกันในลักษณะนี้ไปยังโบสถ์นิกายตื่นตัวที่คล้ายป้อมปราการ
ตอนนี้ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอกับกองกำลังติดอาวุธก็กลับมาถึงโบสถ์แล้ว
เทียบกับเมื่อตอนขาไป ในตอนนี้คนกลับน้อยลงไปหลายคน
“ผมได้ยินว่าพวกคุณจัดการผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาได้งั้นหรือ” เมื่อเห็นหน้ากากที่คุ้นตาทั้งสี่เข้ามาในห้องโถง ซ่งเหอที่เพิ่งจะทำความเคารพตราสัญลักษณ์ ‘ธชียมโลก’ เสร็จก็เอ่ยปากถาม
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ตอบคำถามนี้มาแล้วสามครั้ง ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แล้วผงกศีรษะให้
ซ่งเหอพูดพลางถอนใจ
“นี่ถ้าหากไม่มีพวกคุณ ผมคงพิจารณาเรื่องถอนกำลังกลับมาที่โบสถ์แล้วปลดปล่อยแบรนด์ออกจากห้องไปแล้ว”
“ผมยังคิดว่าคุณเป็นผู้แข็งแกร่งที่แฝงกายอยู่เสียอีก” ซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้าเสียใจ
ถึงแม้ว่าฉันจะคิดแบบนั้นเหมือนกันก็เถอะ แต่นายไม่ต้องพูดออกมาก็ได้… เจี่ยงไป๋เหมียนคิดจะหยุดเขา แต่ก็สายเกินไป
ซ่งเหอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่ได้โกรธ เพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่น
“ผมกลัวว่าสิ่งที่สละจะรุนแรงมากขึ้น จึงไม่กล้าพัฒนาตัวเองต่อน่ะ
“ได้รับการุณย์แห่งเทพของผู้ครองกาลมา แค่นี้ผมก็พอใจมากแล้ว ไม่กล้าขออะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”
กลัว… ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่าคนเรายิ่งอายุมากขึ้น ความกล้าก็ยิ่งน้อยลง… ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนอยู่ในห้วงภวังค์ของความคิด ซางเจี้ยนเย่าก็เอาสิ่งของที่ได้รับมาจากมนุษย์มัจฉาผู้ตื่นรู้ออกมาแล้วถามอย่างไม่ปิดบัง
“คุณรู้จักของพวกนี้ไหม”
“เอามาจากไหนเหรอ” ซ่งเหอสืบเท้าไปข้างหน้าสองสามก้าว สังเกตอย่างระมัดระวัง
“จากมนุษย์มัจฉาผู้ตื่นรู้คนนั้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบตามความสัตย์
ซ่งเหอได้ยินก็เพิ่มความจดจ่อมากขึ้น เพียงไม่นานก็ชี้ไปที่ลูกอมสีเขียวในห่อขาดๆ นั่นแล้วพูดขึ้น
“นี่เป็นบ๊วยเชื่อมจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ พวกเด็กๆ ชอบกันมาก”
ในนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างส่วนมากแล้ว น้ำตาลถือเป็นสินค้าหรูหราฟุ่มเฟือย
บ๊วยเชื่อม… เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซ่งเหอระบุชนิดสิ่งของต่อ
“นี่น่าจะเป็นบ๊วยตากแห้ง ส่วนเข็มนี่ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“อันนี้… อันนี้… นี่คือเหง้าพืชชนิดหนึ่งจากป่าเขาแถวๆ นี้ พวกเราเรียกว่า ‘กินไปก็เท่านั้น’ มีพิษนิดหน่อย ทำให้ท้องร่วง แต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามาก สมัยตอนผมยังหนุ่มเคยตามพวกเขาไปล่าสัตว์ในป่า ถ้าหากว่าต้องรอเฝ้าสัตว์จนดึกดื่น ก็จะเคี้ยวเจ้านี่ในตอนที่ง่วงสุดๆ”
‘กินไปก็เท่านั้น’ หมายถึงกินไปก็เสียเปล่า เพราะมันจะถูกขับถ่ายออกมาอย่างรวดเร็ว แถมทำให้ของที่อยู่ในคลังถูกปล่อยออกมาจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลืออีกด้วย
หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนฟังจนจบก็หันไปหาซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และคนอื่นๆ
“บ๊วยเชื่อม บ๊วยตากแห้ง เหง้าพืชสดชื่น เข็มยาวหนา ของพวกนี้หมายความว่ายังไง”
ซางเจี้ยนเย่าตอบขึ้นทันที
“ตั้งครรภ์!”
“แล้วเข็มนี่มันเกี่ยวอะไรกับตั้งครรภ์ แล้วก็นะ ผู้หญิงมีครรภ์คนไหนจะบ้ากินของที่ทำให้ท้องร่วง” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจทำความเข้าใจวงจรสมองของซางเจี้ยนเย่าได้
ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง
“ตอนตั้งครรภ์จะท้องผูกง่าย
“เข็มเอาไว้เย็บเสื้อผ้าให้เด็ก”
เจี่ยงไป๋เหมียนหาช่องโหว่ในคำอธิบายของซางเจี้ยนเย่าไม่ได้
เพราะนี่คือสมาชิกอย่างเป็นทางการของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’
“พวกนี้น่าจะเอาไว้ทำให้สดชื่นตื่นตัว” ไป๋เฉินแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมาได้ถูกจังหวะ “บ๊วยตากแห้ง บ๊วยเชื่อม นี่จะช่วยกระตุ้นให้สมองตื่นตัวได้พักหนึ่ง เข็มก็ทำได้เหมือนกัน”
เธอเคยไล่ตามเหยื่อตอนออกไปล่าสัตว์ ต้องตบหน้าตัวเองอยู่หลายครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้หลับ
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” คำหนึ่ง เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
“ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาคนนั้นพกพาของที่คล้ายๆ กันหลายอย่างติดตัวไว้ นี่หมายความว่าเขาต้องคอยกระตุ้นตัวเองไม่ให้หลับอยู่ตลอดเวลา
“สิ่งที่เขาสละก็คือง่วงง่ายอ่อนเพลียง่ายอย่างนั้นเหรอ”
“ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ” ผู้แจ้งเตือนซ่งเหอเห็นด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนถือโอกาสนี้ยกประเด็นขึ้นมา
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง ตอนที่ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาคนนั้นหมดสติไปแล้วก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น…”
เธออธิบายว่าหลังจากที่มนุษย์มัจฉาผู้ตื่นรู้หมดสติไป ร่างกายก็มีออร่าประหลาดไหลออกมา ใต้ผิวหนังเหมือนมีปรสิตดิ้นไปมา และเน้นย้ำว่าก่อนหน้านี้ที่ซางเจี้ยนเย่ายิงออกไปหลายนัดก็ถูกม่านบาเรียที่มองไม่เห็นขวางเอาไว้ ไม่สามารถเจาะเข้าร่างกายเป้าหมายได้
ซ่งเหอฟังเงียบๆ จนจบ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณ… อยากจะถามว่านี่เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม”
โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตอบ เขาก็พูดขึ้นมาอย่างลังเล
“ผมเคยได้ยินคนที่พาผมเข้านิกายพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้เขาเป็นสมาชิกของคณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่น
“เขาเล่าว่าพวกผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่ง ที่ได้เข้าไปสำรวจ ‘ทางเดินแห่งจิต’ สามารถทิ้งออร่าของตนไว้ใน ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้ หรือแม้กระทั่งในโลกแห่งความเป็นจริง ออร่าเช่นนี้สามารถผสมผสานเข้ากับวัตถุเพื่อสร้างผลกระทบที่อัศจรรย์และน่าหวาดกลัวได้
“ผมสงสัยว่าผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาคนนั้นคงจะผสานรวมเข้ากับออร่าประเภทนี้ แต่ตัวเขาเองน่าจะยังเข้าไปไม่ถึง ‘ทางเดินแห่งจิต’”