รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 215 เจ็บป่วย
เรื่องเกี่ยวกับ ‘ทางเดินแห่งจิต’ นั้น ซ่งเหอเองก็ไม่ค่อยรู้มากนัก หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนถามอีกสองสามประโยค เธอก็พาซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ กลับไปยังย่านโรงแรมที่พัก แล้วก็ต่างคนต่างแยกย้าย ต่างคนต่างนอน
ในขณะที่กำลังนอนหลับสะลึมสะลืออยู่นั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตื่นขึ้นมา รู้สึกว่าหน้าผากตนเองร้อนผ่าว ร่างกายปวดเมื่อย อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง หายใจไม่ค่อยออก
ป่วยงั้นเหรอ… เธอหยัดร่างขึ้นมานั่ง เอาหมอนหนุนหลัง
เธอยกมือมาแตะหน้าผากตัวเอง กวาดสายตาไปก็พลันเห็นซางเจี้ยนเย่านั่งอยู่บนเตียงอีกหลังหนึ่ง อาศัยแสงสว่างจากท้องฟ้านอกหน้าต่าง กำลังถือเข็มกับด้ายตั้งอกตั้งใจปะชุนเสื้อคลุมที่ถูกกระสุนปืนยิงจนพรุน
นี่เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับพนักงาน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ทุกคนที่ออกมาปฏิบัติภารกิจบนแดนธุลีเป็นเวลานาน
ในตอนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เพิ่งจัดตั้งขึ้นมา เจี่ยงไป๋เหมียนยังวางแผนไปเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าซางเจี้ยนเย่ามีทักษะด้านนี้ดีกว่าเธอเสียอีก
แล้วเธอก็คิดขึ้นได้ว่าซางเจี้ยนเย่านั้นต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่ตอนอายุสิบสี่สิบห้า จึงโล่งอก ไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
“กี่โมงแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนลดมือออกจากหน้าผาก ยืนยันได้ว่าตนเองนั้นป่วยเข้าแล้วจริงๆ
เธอไม่มีแรงแม้แต่จะดูนาฬิกาด้วยซ้ำ
หลังจากที่รอดจากช่วงวิกฤติในตอนดัดแปลงพันธุกรรมมาได้ นอกจากการอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บแล้ว เธอก็ไม่ได้ป่วยมานานมาก
หรือเป็นเพราะหัวใจทำงานหนักเกินไป แถมยังถูกไฟช็อตอีกด้วย หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้พักผ่อนตามที่ควรจะเป็นก็เลยทำให้ล้มป่วย… ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดเรื่องนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็วางเข็มวางเสื้อลง พลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา
“เกือบบ่ายโมงแล้วล่ะ”
“สายขนาดนั้นเลยเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนแปลกใจอยู่เล็กน้อย
เธอไม่รู้สึกหิวแม้แต่นิดเดียว
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่สบายนะ” ซางเจี้ยนเย่าระบุออกมา
“นายรู้ได้ไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืน หยิบกระจกบานเล็กที่พกติดตัวไว้เพื่อ ‘หลอก’ ตัวเอง ยื่นส่งให้เจี่ยงไป๋เหมียน
“แก้มคุณแดงมาก ปากก็แห้ง ตอนที่คุณยังหลับอยู่ก็เหมือนจะละเมอเรียก ‘แม่’ กับ ‘พ่อ’ ออกมา…” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายรายละเอียดออกมาทีละเรื่องเพื่อสนับสนุนการอนุมานของตัวเอง
“พอแล้ว!” เจี่ยงไป๋เหมียนเค้นเรี่ยวแรงออกจากร่างเพื่อห้ามไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าพูดต่ออีก
เธอพลันรู้สึกว่าภาพลักษณ์นักรบหญิงเหล็กของตนเองพังเสียหายยับเยินไปหมดแล้ว
หลังจากพูดออกไป ร่างกายก็สิ้นเรี่ยวหมดแรง ริมฝีปากแห้งผาก เธอพยายามเอื้อมมือไปควานที่โต๊ะหัวเตียงที่มีข้าวของวางอยู่เพื่อหยิบถุงใส่น้ำของตัวเอง
การเคลื่อนไหวของเธอยังไม่ทันบรรลุผล ซางเจี้ยนเย่าก็รีบจ้ำเดินมาหยิบถุงใส่น้ำให้ บิดเกลียวเปิดฝาแล้วจ่อให้ที่ปากเธอ
“อ๊ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตะลึงไป
เธอไม่ได้ปฏิเสธ ดื่มน้ำลงไปสองสามอึกเสร็จถึงจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นี่เป็นการสำนึกผิดเรื่องที่ทำไปเมื่อคืนหรือไง”
“นี่คือสิ่งที่เพื่อนทำให้กัน” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาแล้วถือโอกาสถาม
“ทำไมตอนนั้นนายถึงรีบออกไปนัก”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ถ้าไม่รีบจัดการผู้ตื่นรู้คนนั้น ชาวชุมชนศิลาแดงคงตายกันหมด”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองที่ดวงตาสีน้ำตาลแก่ของเขา เห็นถึงความกระจ่างใส
“เฮ้อ… อย่างน้อยครั้งนี้นายก็ยังบอกฉันให้รู้ตัวล่วงหน้าล่ะเนอะ” เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจอย่างจนใจ
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็พลันหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“แล้วทำไมนายถึงไม่ป่วยด้วยล่ะยะ”
ต้องป่วยทั้งคู่สิ ถึงจะยุติธรรม!
และนอกจากนี้ คนที่สมควรจะป่วยมากที่สุดก็คือซางเจี้ยนเย่าต่างหาก ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อพิชิต ‘เกาะโรคภัย’ ได้สำเร็จ
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดแล้วก็พูดออกมา
“น่าจะเป็นเพราะตอนนั้นผมยังไม่ถึงขั้นหมดสติละมั้ง”
นี่หมายความว่าหัวใจของเขายังไม่ได้ทำงานจนเกินขีดจำกัด แล้วก็ไม่ได้ถูกไฟฟ้าช็อตเพื่อกระตุ้นหัวใจด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ นิ่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง
“นั่นสินะ…”
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“รีบไปต้มน้ำร้อนกับหยิบผ้าเช็ดตัวมาด้วย ฉันจะเอามาวางแปะหน้าผาก
“ไม่ว่ายังไง เมื่อคืนนายก็ทำไปโดยพละการ ต้องถูกลงโทษ!”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้โต้แย้ง เขาต้มน้ำด้วยความชำนาญ หลังจากทำให้น้ำอุ่นลงก็เอาผ้าไปชุบน้ำแล้วบิด
เจี่ยงไป๋เหมียนสั่งให้เขาทำโน่นทำนี่ อย่างเช่นให้พาไปพูดคุยกับไป๋เฉินและหลงเยว่หงที่ห้องข้างๆ พาผู้ป่วยไปเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เย็บเสื้อผ้า เติมน้ำในถุงน้ำ
เมื่อมองเห็นว่าซางเจี้ยนเย่าทำนู่นทำนี่อย่างคล่องแคล่ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เข้าใจขึ้นมาได้
ตั้งแต่ตอนที่แม่เขาล้มป่วย เขาก็เลยต้องทำเรื่องพวกนี้เองจนคุ้นเคยแล้วสินะ
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนก็สว่างวาบขึ้นทันที จากนั้นเธอก็ตบที่ขอบเตียงพูดขึ้น
“ก่อนหน้านี้พวกเราคิดผิดมาตลอด เส้นผมบังภูเขาจริงๆ !”
“หือ” ซางเจี้ยนเย่าพยายามทำความเข้าใจกับความหมายในคำพูดของอีกฝ่าย
เนื่องจากเกรงว่าความคิดเขาจะดำเนินต่อไปในทิศทางพิลึกพิลั่น เจี่ยงไป๋เหมียนจึงอธิบายออกมาตรงๆ ไม่มัวแต่อมพะนำอะไร
“เราเคยถกกันมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องอาการกลัวความเจ็บป่วยของนายได้ยังไง
“ที่จริงแล้วในทัศนคติที่มีต่อชีวิตและความตายของนายเนี่ย นายก็ไม่น่าจะกลัวโรคภัยไข้เจ็บสักหน่อยนี่นา”
ซางเจี้ยนเย่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“ความเจ็บป่วยทำให้ผมทำอะไรไม่ได้ หรือทำได้ไม่ทันการ ก็เลยทำให้รู้สึกกลัว”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างฉุนเฉียวเจือขบขัน
“นั่นไม่ใช่ประเด็นย่ะ”
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“ฉันรู้สึกว่าที่นายกลัวโรคกลัวความเจ็บป่วยเนี่ย เป็นเพราะว่ามันจะพรากคนใกล้ตัวของนายไป ซึ่งนายไม่มีทางจะทำอะไรได้”
ซางเจี้ยนเย่าตกอยู่ในภวังค์ ไม่ได้เอ่ยปากพูดอยู่เป็นนานสองนาน
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มออกมา
“ฉันจะทำให้นายเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าสุขภาพแข็งแรง อะไรที่เรียกว่าโรคภัยก็ไม่เห็นจะมีอะไรเท่าไหร่!
“ถ้าหากเทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุกรรมของบริษัทได้แพร่หลายไปทั่วทุกที่ การดัดแปลงพันธุกรรมก็ไม่ใช่เรื่องอันตรายอีกต่อไป สามารถควบคุมได้ดั่งใจ มนุษยชาติส่วนใหญ่ก็จะปราศจากความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ถูกโรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่คุกคามอีก”
พูดจบก็เอนหลังพิงหมอนอย่างพึงพอใจ
“รอให้ฉันหายดีก่อน นายก็ไปลองดูในแนวทางนี้ได้
“เอาละ หาอะไรให้ฉันกินหน่อยสิ เริ่มหิวแล้วล่ะ
“นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่าใกล้จะหายแล้ว!”
เมื่อรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ เนื่องจากเจี่ยงไป๋เหมียนล้มป่วยอยู่ ดังนั้นหน้าที่สอบปากคำมนุษย์ชั้นรองจึงอยู่ในความรับผิดชอบของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
จากคำสั่งของเจี่ยงไป๋เหมียน พวกเขาต้องไปที่โบสถ์นิกายตื่นตัวก่อน จากนั้นก็เชิญผู้แจ้งเตือนซ่งมาร่วมสอบปากคำด้วย
นี่ก็เพื่อต้องการใช้พลังที่ทำให้คนเป็นมิตรของอีกฝ่าย เป็นการป้องกันไม่ให้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ของซางเจี้ยนเย่าถูกเปิดเผยออกมา
ซ่งเหอเพิ่งตื่นได้ไม่นาน สำหรับผู้สูงอายุในวัยนี้ หลังจากอดนอนมาทั้งคืนแต่ไม่ได้มีอาการไม่สบายใดๆ แม้แต่น้อย นับว่าดูแลร่างกายได้ดีเลยทีเดียว
เขาตอบรับคำเชิญของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงด้วยความยินดี พาทั้งคู่ไปหายามของโบสถ์แล้วขับรถตัวเองไปที่ชุมชนศิลาแดงพร้อมๆ กัน จากนั้นก็เข้าไปยังสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะที่อยู่ชั้นล่างสุด
ด้วยการที่มีผู้แจ้งเตือนผู้นี้เป็นผู้นำ ถึงแม้หานวั่งฮั่วจะยังพักผ่อนอยู่ ไม่ได้มาทำงานก็ตาม แต่ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ก็สามารถเข้าไปในห้องสอบปากคำได้อย่างสะดวก และมองเห็นเชลยคนที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดอยู่ในนั้น
นี่เป็นมนุษย์มัจฉาผู้หนึ่ง ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกล็ดสีเทาแก่ ที่ด้านล่างใบหูจนถึงลำคอมีเกล็ดที่สั่นไหวเบาๆ
ในสายตาของหลงเยว่หงนั้น มนุษย์มัจฉาทั้งหมดล้วนแต่มีหน้าตาพิมพ์เดียวกันทั้งนั้น มีเพียงแค่ความสูงต่ำอ้วนผอมที่ต่างกันไปบ้าง
เมื่อนั่งลงเสร็จ ซางเจี้ยนเย่าก็เป็นคนถามขึ้นมาก่อน
“มนุษย์มัจฉาคนที่ทำให้หายใจไม่ออกนั่นเป็นใคร”
เชลยมนุษย์มัจฉาที่อยู่ด้านหลังลูกกรงโลหะมองเขาด้วยดวงตาปูดโปนแล้วก้มหน้าเงียบ ไม่ตอบคำ
ในตอนนี้ซ่งเหอก็คลี่ยิ้มออกมา
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไรไม่ใช่เหรอ”
เชลยมนุษย์มัจฉาใคร่ครวญอย่างระวัง แล้วก็รู้สึกเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
เขาเปลี่ยนทัศนคติอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดอย่างลังเล
“เป็นผู้นำสารแห่งเทพ”
“ผู้นำสารแห่งเทพ… เป็นเทพผู้ครองกาลองค์ไหน” หลงเยว่หงทำตัวมีมารยาทมาก เขารอให้ซ่งเหออนุญาตก่อนถึงจะถามออกมา
“ไม่ใช่ผู้ครองกาล” มนุษย์มัจฉาส่ายหน้า “เดิมทีเขาเป็นนักบวชลำดับสามของพวกเรา ที่พวกเราศรัทธาก็คือพระผู้เป็นเจ้าจากโลกเก่า ต่อมา… ต่อมาเขาก็ให้พวกเราเปลี่ยนไปเรียกเขาว่าเป็นผู้นำสารแห่งเทพ”
ภาษาของมนุษย์มัจฉานั้นวิวัฒนาการมาจากภาษาแม่น้ำแดง หลงเยว่หงต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก ต้องใช้กำลังภายในอยู่ครู่ใหญ่ถึงจะเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้
ต่างจากซ่งเหอที่เห็นได้ชัดว่าได้เรียนภาษาถิ่นของมนุษย์ชั้นรองด้วยตัวเองมาแล้ว เขาถามอย่างคล่องปากออกไป
“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ยังไม่ถึงปี” เชลยมนุษย์มัจฉาราวกับกำลังสนทนาอยู่กับสหายของตน
“ในตอนนั้นยังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า” ซ่งเหอถามต่อ
ในดวงตาของเชลยมนุษย์มัจฉาที่มีสีขาวมากสีดำน้อย แสดงออกถึงความเคารพยำเกรง
“เขา… เขากลายมาเป็นแข็งแกร่งขึ้นมา น่ากลัวขึ้นมาก ราวกับเป็นร่างอวตารขององค์เทพ
“เขาสามารถฆ่าคนคนหนึ่งให้ตายได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่กวาดล้างทั้งกองทัพก็ยังได้”
ซางเจี้ยนเย่าซักถามด้วยความสนใจ
“แล้วเมื่อก่อนล่ะ เขาแข็งแกร่งหรือเปล่า”
เชลยมนุษย์มัจฉาเหลือบมองคนสวมหน้ากากลิงชั่วแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“เขามีพลังพิเศษบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ได้น่ากลัวถึงขนาดนั้น เขาทำให้คนอ้าปากไม่ได้ กินไม่ได้ สามารถทำให้คนเหนื่อยง่ายเหมือนขาดออกซิเจน…”
หลังจากฟังคำอธิบายของเชลยมนุษย์มัจฉาจบ ซ่งเหอก็ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ก่อนที่จะกลายมาเป็นผู้นำสาร เขาไปทำอะไรมาเหรอ
“หรือว่าพวกคุณได้เจออะไรเข้าหรือเปล่า”
เชลยมนุษย์มัจฉานึกทบทวน ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะพูดออกมา
“พวกเราขึ้นไปบนเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบพิโรธ
“ปู่ทวดของข้าเคยบอกว่าที่นั่นเคยมีเมือง มีหมู่บ้านอยู่หลายหมู่บ้าน ตอนแรกพวกเรามัวแต่วุ่นอยู่กับการปกป้องตัวเอง ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทำนา ตกปลา ต่อมาภายหลังถึงได้คิดถึงเรื่องนี้ ก็เลยอยากจะเอากลับคืนมา ก่อนนี้ไม่เคยใส่ใจสถานการณ์ของพวกเขา”
เมื่อตอนที่พูดคำว่า ‘อยากจะเอากลับคืน’ อารมณ์ของเขาก็ผันผวนขึ้นมาประมาณหนึ่ง เหมือนกับไม่เชื่อถือซ่งเหออีกต่อไป
แต่เขาก็กลับมาเป็นมิตรอย่างรวดเร็วทันที
“หลังจากที่ถูกขับไล่ครั้งก่อน พวกเราก็ได้พักฟื้น พวกคนหนุ่มสาวจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าพักกันนานพอแล้ว ก็เริ่มสนใจเกาะใหญ่เกาะนั้น
“เกาะนั้นใหญ่กว่าเกาะที่พวกเราอาศัยมาก ถนนหนทางก็ได้รับการดูแลอย่างดี มีพื้นที่เพาะปลูกถูกทิ้งร้างมากมายทั่วทุกหนทุกแห่ง พวกเราสงสัยกันมากว่าพวกมนุษย์บนเกาะหายไปไหนกันหมด พวกเขาไม่น่าจะถูกคนนอกโจมตี
“หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่ง พวกเราก็เจอเมืองที่พวกเขาอาศัย พบกับบันทึกส่วนหนึ่งด้วย”
น่าเสียดายที่หัวหน้าไม่ได้มา เธอต้องสนใจเรื่องพวกนี้มากแน่… หลงเยว่หงเริ่มคุ้นเคยกับภาษามนุษย์มัจฉามากขึ้น
เชลยมนุษย์มัจฉาเล่าต่อ
“จากบันทึกพวกนั้นพวกเราถึงรู้ว่าตอนที่โลกเก่าถูกทำลายลงไป ตอนนั้นคนบนเกาะศรัทธาในเทพองค์หนึ่ง ที่มีชื่อว่าพยัคฆ์ยมราช เขาบอกว่าตัวเองเป็นร่างจุติของพญายมราชในเทพปกรณัมของคนแดนธุลี
“ด้วยพรของเทพองค์นี้ ทำให้คนบนเกาะไม่เคยพบกับภัยพิบัติใดๆ ทั้งสิ้น ดำรงชีวิตได้อย่างสันติสุข แต่ในตอนที่พวกเขากำลังรวบกำลังพลและวางแยนยึดครองพื้นที่โดยรอบของทะเลสาบพิโรธ เทพองค์นั้นกลับตกอยู่ในห้วงนิทรา ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย
“หลังจากที่สูญเสียพรแห่งเทพไป บนเกาะก็เกิด ‘โรคไร้ใจ’ ระบาดครั้งใหญ่ ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว คนที่ยังเหลืออยู่บนเกาะต้านทานไว้ได้ไม่นานก็ถูกไล่ล่าฆ่าฟันจนตายหมดภายในระยะเวลาไม่นาน”
‘โรคไร้ใจ’ ระบาดครั้งใหญ่… เมื่อได้ยินคำอธิบายดังกล่าวก็ทำให้หลงเยว่หงถึงกับหนังศีรษะชาหนึบ
แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ถามออกมาด้วยความสนอกสนใจ
“พวกคุณได้พบกับเทพผู้หลับใหลใช่ไหม”
เชลยมนุษย์มัจฉาริมฝีปากสั่นระริกอยู่ชั่วขณะก่อนจะตอบ
“ใช่
“พวกเราได้พบกับวิหารที่พระองค์หลับใหล”