รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 220 เรื่องที่ต้องใส่ใจ
รายงานฉบับนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ว่าในคืนที่มุขนายกเรนาโต้เป็น ‘โรคไร้ใจ’ น่าจะอยู่ภายใต้สายตาเฝ้ามองของ ‘ธชียมโลก’
ด้านหนึ่งก็เพราะเธอคิดว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ยังอยู่ในชุมชนศิลาแดง ยังอยู่ในการเฝ้ามองของ ‘ธชียมโลก’ ยังอยู่ในพื้นที่อาณาเขตของโบสถ์นิกายตื่นตัว การทำให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไปอาจจะยั่วยุความพิโรธของผู้ครองกาลได้
แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นเป็นอเทวนิยม ไม่เชื่อในเทพทั้งหลาย ในตอนนี้เธอมองว่าผู้ครองกาลนั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเหนือขอบเขตจินตนาการ ไม่ได้รู้สึกเคารพยำเกรงอย่างจริงจัง ไม่ได้รู้สึกอยากกราบไหว้บูชา เธอเพียงแค่ตั้งสมมติฐานจากความเป็นจริงเท่านั้น แต่คนอยู่ใต้หลังคาย่อมไม่อาจไม่ก้มศีรษะ แม้ไม่เชื่อก็ไม่อาจลบหลู่
และอีกด้านหนึ่งก็คือเธอคิดมาตลอดว่าบริษัทได้เก็บงำความลับไว้มากมาย แนวคิดที่มีต่อแดนธุลี แนวคิดที่มีต่อเรื่องโลกเก่าที่ถูกทำลายไปก็ล้วนแต่น่าสนใจทั้งนั้น ดังนั้นในระหว่างการสืบสวน พวกความรู้ต่างๆ ที่นอกเหนือจากภารกิจเธอก็อยากจะเก็บเอาไว้รู้เฉพาะตัวบ้าง
ยิ่งกว่านั้นก็คือตอนนี้พวกเขามีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับนิกายตื่นตัวซึ่งให้ความเคารพต่อ ‘ธชียมโลก’ เป็นอย่างสูง ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำเรื่องลบหลู่ทวยเทพ จึงยังไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากบริษัทในช่วงเวลานี้
เกี่ยวกับเรื่องการเฝ้ามองจากผู้ครองกาล เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้หลงเยว่หงกับไป๋เฉินฟังเช่นกัน หลักๆ ก็เพียงแค่เตือนพวกเขาว่าในโลกนี้มีผู้ครองกาลดำรงอยู่จริง คอยเฝ้ามองแดนธุลีอยู่ หรืออาจจะทั่วทั้งโลกด้วยซ้ำ
เธอไม่ได้เล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เผชิญกับความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง ความหวาดหวั่นในตอนนั้นออกมาเพราะไม่ต้องการให้สมาชิกทีมเกิดความกลัว
ตอนที่ฟ้าเริ่มมืดลง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ถึงจะได้รับโทรเลขตอบกลับจาก ‘ผานกู่ชีวภาพ’
‘สามารถสืบสวนต่อไปได้ แต่ต้องใส่ใจกับเรื่องต่อไปนี้
‘หนึ่ง เมื่อเข้าไปในวิหารแล้ว ห้ามใช้มือเปล่าสัมผัสสิ่งของข้างในนั้นโดยตรง ต้องสวมพวกถุงมือลาเท็กซ์หรือถุงมือยางเสียก่อน
‘สอง หากไม่จำเป็น ห้ามเคลื่อนย้ายร่าง ‘เทพ’ ที่หลับใหลเด็ดขาด
‘สาม เข้าไปในวิหารได้ไม่เกิน 15 นาที อยู่ในพื้นที่รอบวิหารได้ไม่เกิน 30 นาที อยู่บนพื้นที่เกาะส่วนอื่นๆ ได้ไม่เกิน 3 วัน’
หลังจากแปลเนื้อหาจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจออกมา
“บริษัทไม่ได้เพิ่งเจอกับเรื่องทำนองนี้จริงๆ นี่ถึงขั้นสรุปออกมาเป็นขั้นตอนปฏิบัติอย่างเป็นทางการหมดแล้วด้วย”
เรื่องที่เธอแปลกใจก็คือข้อห้ามพวกนี้มีเหตุผลอะไรกันแน่ ทางบริษัทรู้สาเหตุของต้นตออย่างกระจ่างชัดแล้วหรือยัง หรือว่าต้องใช้ชีวิตผู้คนไปแลกเพื่อรวบรวมข้อมูลพวกนี้มา
“ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนอื่นมองว่าเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่สุดที่เป็นตัวการทำลายโลกเก่า เป็นสุดยอดจอมวายร้ายของแดนธุลีได้ยังไงล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบรับการถอนหายใจของเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยน้ำเสียงในละครวิทยุ
หลงเยว่หงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเอ่ยปากถามขึ้น
“แน่ใจว่าจะไปจริงๆ เหรอ”
หลังจากเห็นรายการเรื่องที่ต้องใส่ใจก็ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ความไม่รู้ถึงจะเป็นเรื่องที่ทำให้คนหวาดกลัว ในเมื่อรู้วิธีการรับมือแล้วก็ย่อมไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
ความรู้สึกในเรื่องนี้ที่ตรงกับความคิดเห็นของหลงเยว่หงที่สุดก็คือ
รู้สึกดีที่มีบริษัทคอยหนุนหลังอยู่!
“ก็ต้องไปอยู่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกกระดากใจอยู่บ้างที่จะเอ่ยปากว่าอยากจะออกเดินทางตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ เธอพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่าจะได้รับชุดเกราะเสริมแรงมาก่อนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของนาย ถึงค่อยมาพิจารณาเรื่องนี้”
“ครับ” หลงเยว่หงโล่งใจมากขึ้น
ตอนนี้ไป๋เฉินมองเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วถามอย่างครุ่นคิด
“ถ้าหากบริษัทไม่ให้พวกเราไปสำรวจ คุณจะแอบไปไหม”
“ไม่มีทาง” เจี่ยงไป๋เหมียนเบิกตาโต รีบปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่านะ!”
“คุณจะคิดว่าตัวเองเป็นซางเจี้ยนเย่าก็ได้ ผมไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์” ซางเจี้ยนเย่ารีบเสนอขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น
ไป๋เฉินไม่สนใจคำปฏิเสธของเจี่ยงไป๋เหมียน เธอพูดเสียงต่ำ
“คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ยังจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า”
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตัดสินใจออกมาทันที แสร้งยกมือขวาขึ้นมาแตะหู “เธอว่าอะไรนะ”
จากนั้นเธอก็พูดออกมาด้วยท่าทางชอบธรรม
“ฉันไม่มีทางทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลังแม้แต่คนเดียว เพียงแต่ว่าคนทุกคนต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง มีเรื่องที่ตัวเองต้องทำ”
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือ
เจี่ยงไป๋เหมียนอับอายกลายเป็นโทสะ หันหน้ามาตวาดใส่ “นายอยากจะฝึกต่อสู้ระยะประชิดมากเลยสินะ” พร้อมกับยืนขึ้นมาขยับมือเท้าขยับแข้งขา
เวลาถัดมา ในที่สุดซางเจี้ยนเย่าก็รู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า ‘เจี่ยงไป๋เหมียนเต็มพิกัด’
* * * * *
ครึ่งเช้าของวันที่สอง ซางเจี้ยนเย่าถอดเสื้อเปลือยร่างท่อนบนให้หลงเยว่หงช่วยทายาบนรอยฟกช้ำที่แผ่นหลัง
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ พลังการรักษาตัวของนายดีกว่าฉันเยอะเลย” หลงเยว่หงถอนหายใจจากใจจริง
นี่เพิ่งจะทายาไปรอบที่สองเอง
ซางเจี้ยนเย่าให้คำแนะนำอย่างจริงใจ
“ยิ่งถูกอัดก็ยิ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายนะ”
“เหอะ เหอะ” หลงเยว่หงหัวเราะแห้งๆ “ฉันไม่ใช่นายสักหน่อย ถึงจะได้เป็นคู่มือให้หัวหน้าได้นานขนาดนั้น หัวหน้านี่น่าทึ่งชะมัด เพิ่งจะฟื้นไข้เมื่อวานแต่กลับแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้ถึงขนาดนี้ เหมือนกับฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์แล้วยังงั้นแหละ”
“แต่ถ้าหายไม่เร็ว ฟื้นตัวไม่เร็ว ในหนึ่งสัปดาห์จะฝึกต่อสู้ระยะประชิดได้แค่รอบเดียวเองน่ะสิ” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะหลักๆ ก็คือพอฝึกหนึ่งครั้ง นายต้องนอนโรงพยาบาลหนึ่งสัปดาห์”
หลงเยว่หงอยากจะแย้ง แต่สุดท้ายก็ผงกศีรษะครุ่นคิด
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็หันหน้ามองไปข้างนอก
ตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเพลิดเพลินกับใบสั่งยาของไป๋เฉินอยู่ในห้องถัดไปก็ผลักประตูเปิดออกมาทักทาย
“นายอำเภอหาน”
“ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงของคุณมาแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าได้ยินก็ดีดตัวผึงขึ้นมาสวมเสื้อทันที
หลงเยว่หงเองก็ซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่ไหว รี่ออกมาที่ประตูโดยเร็ว
รอจนซางเจี้ยนเย่าสวมหน้ากากเสร็จเขาก็รีบเปิดประตูห้อง
ในแวบแรกเขามองเห็นหานวั่งฮั่วสะพายปืนไรเฟิลไว้กลางหลัง มองเห็นรถออฟโรดสภาพน่าอนาถสองคัน มองเห็นยามเมืองของชุมชนศิลาแดงอีกสองสามคน
“ชุดเกราะเสริมแรงแบบทั่วไป รุ่น AC-42 หนึ่งชุด รับของด้วย” หานวั่งฮั่วพูดด้วยน้ำเสียงสำหรับทำการค้า
เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองหลงเยว่หง พูดด้วยรอยยิ้ม
“ไปตรวจดูของหน่อย”
หลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่ารีบเดินไปด้วยความกระหายเต็มที เปิดกล่องออกมาตรวจสอบชุดเกราะเสริมแรงภายนอกที่เป็นโลหะสีดำสะท้อนประกายโลหะ
ขณะเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดคุยกับหานวั่งฮั่วไปด้วย
“ไม่ใช่ว่าให้รออีกสองวันหรอกเหรอ”
หานวั่งฮั่วที่ไม่ได้สวมหน้ากาก เปิดเผยรอยยิ้มซึ่งยากจะได้เห็น
“พอพวกคุณเร่งมา พวกเขาก็เลยไม่กล้าชักช้าน่ะ”
พวกยามเมืองที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดได้ลงมติเป็นเอกฉันท์
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“พวกเราน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง”
“น่ากลัวสิ” ยามเมืองคนหนึ่งที่เพิ่งจะยกกล่องอาหารลงมา พูดตอบเบาๆ
โชคดีที่เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินไม่ชัด
ซางเจี้ยนเย่าฮัมเพลงออกมา
“เณรน้อยลงจากเขาเพื่อขอบิณฑบาต…”
เนื้อเพลงท่อนที่เหลือถูกตัดจบทันทีเมื่อเขาถูกเจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่
หานวั่งฮั่วเห็นแล้วก็พูดด้วยความสะเทือนอารมณ์
“บนแดนธุลีมีนักล่าซากอารยะแข็งแกร่งอยู่หลายกลุ่มที่สามารถกวาดล้างนิคมขนาดใหญ่จนย่อยยับได้ตามลำพัง
“ในสายตาของชาวชุมชนศิลาแดงตอนนี้ พวกคุณก็คือนักล่าซากอารยะแบบนั้นนั่นแหละ”
ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาในคืนนั้นน่ากลัวถึงขนาดไหน ได้ฝังเงาประทับอยู่ในใจชาวชุมชนลึกไว้เพียงใด นั่นก็คือความเคารพยำเกรงและความหวาดกลัวที่พวกเขามีให้กับ ‘ทีมเฉียนไป๋’ นั่นเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังคำยกย่องก็พูดอย่างถ่อมตัว
“นิคมใหญ่ที่ได้รับการอำนวยพรจากผู้ครองกาลอย่างชุมชนศิลาแดง ไม่ใช่สิ่งที่นักล่าซากอารยะจะทำลายได้หรอก รวมทั้งพวกเราด้วย”
เธอเพิ่งจะพูดจบก็มองดูยามเมืองแต่ละคนไปด้วย พบว่าในสายตาพวกเขาราวกับกำลังพูดว่า ‘พวกคุณคิดจะทำลายชุมชนศิลาแดงจริงๆ ด้วยสินะ’
เอ่อ… พวกคุณระแวงเกินไปแล้ว ระวังตัวเกินขนาดก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ… เจี่ยงไป๋เหมียนแทบจะกระอักเลือดออกมา
ด้วยความช่วยเหลือจากซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หงจึงสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงที่ติดตั้งโมดูลอาวุธแบบเรียบง่ายเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย เขาก็ได้รับความรู้สึกที่ว่าอุปกรณ์นี้ทรงพลังขนาดไหนกลับมาคืนอีกครั้ง
หลังจากทดลองไปรอบหนึ่ง หลงเยว่หงก็รายงานกลับมาอย่างมีความสุข
“ไม่มีปัญหาครับ!”
ตอนนี้ไป๋เฉินเองก็ตรวจสอบลังอาหารเสร็จแล้ว ยืนยันได้ว่ามีปริมาณตามที่ควรจะเป็น
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดกับหานวั่งฮั่ว
“การค้าเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ”
หานวั่งฮั่วถอนใจโล่งอก
“พวกคุณบอกว่าให้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ภายในหนึ่งสัปดาห์ด้วยไม่ใช่หรือไง”
“เสร็จแล้วเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความแปลกใจ
หานวั่งฮั่วส่ายหน้า
“ยังหรอก แต่จากข้อมูลที่หามาได้น่ะ ผมบอกได้ว่ามีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไร” ซางเจี้ยนเย่าเข้ามาใกล้ด้วยความสนใจ
หานวั่งฮั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีใครเคยเห็นมนุษย์ที่มาจาก ‘สวรรค์จักรกล’
“ไม่ว่าจะติดต่อพวกเขาด้วยเรื่องอะไรก็ตาม จะต้องผ่านหุ่นสมองกลทั้งนั้น”
“อย่างนี้นี่เอง…” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เจ้าเมืองหญ้าไพรสวี่ลี่เหยียนก็พูดอะไรทำนองนี้เหมือนกัน
หลังจากคุยเรื่องนี้จบแล้ว หานวั่งฮั่วเห็นว่ายามเมืองไม่กี่คนที่มาด้วยนั้น ต่างก็พากันเว้นระยะห่างจากด้านนี้ออกไปพอสมควร และอยู่ในสภาวะพร้อมหาที่ซ่อนตัวตลอดเวลา เขาจึงลดเสียงแล้วถามขึ้น
“มีบางเรื่องที่อยากจะถามพวกคุณหน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
หานวั่งฮั่วเรียบเรียงคำพูด
“คืนที่มุขนายกเรนาโต้ถูกเรียกตัวกลับสำนักงานใหญ่ของนิกายเฝ้าระวังอย่างปัจจุบันทันด่วน นอกจากคุณแล้วยังมีใครรู้เรื่องนี้อีกบ้าง”
เมื่อเห็นว่า ‘ทีมเฉียนไป๋’ ไม่ได้ตอบออกมาทันที เขาก็อธิบายโดยสังเขป
“เราแลกเปลี่ยนเชลยศึกระหว่างมนุษย์มัจฉาและปีศาจภูเขาเมื่อเช้านี้ เกาดี้ที่พวกคุณรู้จักก็ถูกปล่อยตัวกลับมาด้วย
“เขาบอกว่าหลังจากถูกจับตัวไป ก็ได้ยินพวกมนุษย์มัจฉาคุยกัน พวกนั้นบอกว่าเดิมทีแล้วยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งเดือนเพื่อเตรียมตัว รอจนตรวจสอบสถานการณ์ให้กระจ่างแล้วถึงค่อยเริ่มจู่โจม แต่จู่ๆ พวกเขาก็ได้รับข่าวว่ามุขนายกเรนาโต้จากไปแล้ว มุขนายกคนใหม่ก็ยังมาไม่ถึง จึงรีบฉวยโอกาสนี้เริ่มดำเนินการก่อนกำหนด
“เป็นเพราะปฏิบัติการล้มเหลว แถมพวกเขาก็ยังเสียผู้นำสารไปด้วย พวกเขาก็เลยบ่นออกมา ทำให้ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผย”
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความหมายของหานวั่งฮั่วทันที
“คุณหมายความว่ามีคนขายข้อมูลที่สำคัญยิ่งยวดขนาดนี้ให้กับพวกมนุษย์ชั้นรองสินะ”
“ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นแหละ” หานวั่งฮั่วไม่ได้ปิดบังความคิดตนเอง
พวกมนุษย์ชั้นรองได้รับข้อมูลมาว่ามุขนายกเรนาโต้ถูกเรียกตัวกลับไปสำนักงานใหญ่งั้นเหรอ เรื่องนี้มันชักจะยังไงยังไง อยู่เหมือนกัน… เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญ
“คืนนั้นมีผู้แจ้งเตือนของโบสถ์กับพวกยาม แล้วก็บัซ วีล…”
และเรื่องที่คนพวกนี้รู้ก็คือ… มุขนายกเรนาโต้เป็น ‘โรคไร้ใจ’ !
หานวั่งฮั่วฟังอย่างเงียบๆ จนจบก็ผงกศีรษะออกมา
“ผมจะไปตรวจสอบตามลำดับ”
เจี่ยงไป๋เหมียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราเองก็เป็นผู้ต้องสงสัยเหมือนกันนะ”
หานวั่งฮั่วชะงักไปชั่วขณะ
“ถ้าหากพวกคุณเป็นคนขายข้อมูลนี้ออกไป อย่างนั้นก็มีแค่เหตุผลเดียวคือต้องการล่อให้ผู้ตื่นรู้มนุษย์มัจฉาคนนั้นออกมาแล้วใช้ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงของพวกเราจัดการเขา”
“มีเหตุผลดีมาก!” ซางเจี้ยนเย่าตบมือเพื่อแสดงว่าได้รับการชี้ทางสว่างเป็นอย่างมาก
* * * * *
ช่วงบ่าย ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่เตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการไปเยือนทะเลสาบ ก็ไปขอยืมเรือเร็วจากยามเมือง
ด้วยความช่วยเหลือจากหานวั่งฮั่ว พวกเขาจึงวางแผนเส้นทางเดินเรือให้อ้อมพื้นที่อาศัยของมนุษย์มัจฉา