รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 221 ขึ้นเกาะ
“นี่คือ…” ทางด้านข้างของเรือเร็วสีขาวนวล เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นยามเมืองที่ติดตามหานวั่งฮั่วมา เดินจูงจักรยานสี่คันมาด้วย
หานวั่งฮั่วมองดูพื้นผิวทะเลสาบที่อาบประกายแสงตะวันสีทองอร่าม สูดอากาศของฤดูหนาวที่เย็นชื้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขึ้นเกาะไปแล้วยังต้องไปต่ออีกไกลกว่าจะไปถึงวิหารนั่น ถ้ามัวแต่เดินเท้าไปคงเสียเวลามาก
“ยามเมืองของเราก็เลยเห็นพ้องกันว่าจะให้พวกคุณยืมจักรยานเพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับการเดินทางน่ะ”
เพราะเรือเร็วลำเล็กเพียงแค่นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางบรรทุกรถยนต์ทั้งคันลงไปได้
ซางเจี้ยนเย่าได้ยินแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งมาก ทำท่าราวกับว่าอยากตะโกนเรียก ‘พี่น้อง’ ออกมา เจี่ยงไป๋เหมียนจึงรีบเดินมาขวางหน้าเขา มือกุมหน้ากาก ยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวหยอกล้อ
“ไม่ง่ายเลยนะที่พวกคุณจะใจกว้างขนาดนี้”
หานวั่งฮั่วตอบออกมาตามตรง
“พวกเราเองก็หวังจะเข้าใจเกี่ยวกับ ‘เทพ’ ที่หลับใหลให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดวันดีคืนดีพวกมนุษย์มัจฉามีผู้ตื่นรู้ที่แข็งแกร่งเหมือนกับวันนั้นขึ้นมา พวกเราก็เจอปัญหาใหญ่แล้ว
“หากเป็นแบบนั้น ความหวังเดียวของพวกเราก็คงต้องวิงวอนให้ ‘ธชียมโลก’ ประทานพรคุ้มครองชุมชนศิลาแดงกันจริงๆ แล้วล่ะ และต้องให้นิกายตื่นตัวส่งคณะมุขนายกแห่งความหวาดหวั่นออกมาช่วยด้วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจที่พวกเขากังวลเกี่ยวกับภัยแฝงเร้นเรื่องนี้
“ก็จริง”
จากนั้นหานวั่งฮั่วชี้ไปที่จักรยานทั้งสี่คัน
“ของพวกนี้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่จาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ไม่ได้เอามาใช้ร่วมปีแล้วล่ะ
“พวกคุณดูสิ แต่ละคันมีเบาะหลังด้วย เหมือนกับเลียนแบบจักรยานรุ่นแรกๆ ของโลกเก่าเลย ฮ่า ฮ่า ผมสงสัยจริงๆ ว่าทำไมจักรยานโลกเก่ายุคหลังๆ ถึงไม่ทำให้คนนั่งซ้อนท้ายไปด้วย เสียของจริงๆ ของมีประโยชน์แบบนี้ก็ตัดทิ้งไปเสียได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เคยศึกษาปัญหาเรื่องนี้จึงไม่สะดวกแสดงความเห็น ทำได้เพียงรับฟังเท่านั้น
“ในเมื่อมีเบาะหลังให้นั่งซ้อน งั้นเอาไปสองคันก็พอ เรือจะได้ไม่แน่นเกินไป”
หานวั่งฮั่วไม่ได้ค้าน เพียงแค่เสริมขึ้นมาอีกประโยค
“ก่อนหน้านี้พ่อค้าของเถื่อนจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ก็มาโฆษณาของที่เรียกว่า ‘สองล้อทรงตัว[1]’ ด้วย มันเล็กมาก พกพาสะดวก แต่ว่านะ… พวกเขาไม่รู้หรือไงว่าสภาพถนนในซากปรักมันแย่ขนาดไหน ขืนเอามาใช้ละก็ แค่เผลอสะดุดนิดเดียว คนก็กระเด็นไปนอนคลุกฝุ่นแล้ว
“เชลยมนุษย์มัจฉาคนนั้นเล่าว่าถนนบนเกาะมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ดูแล้วน่าจะใช้กับสองล้อทรงตัวได้ไม่มีปัญหา น่าเสียดายที่ตอนนั้นพวกเราไม่ได้ซื้อเอาไว้”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วก็พูดขึ้น
“นายอำเภอหาน ดูเหมือนคุณจะช่างพูดขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ”
หานวั่งฮั่วนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง
“คงเป็นเพราะพวกคุณแสดงความแข็งแกร่งออกมา ก็เลยอยากทำให้พวกคุณพอใจซักหน่อยละมั้ง”
พูดคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ ซางเจี้ยนเย่าและไป๋เฉินก็จูงจักรยานลงเรือ ส่วนหลงเยว่หงก็ทำหน้าที่แบกลังบรรจุชุดเกราะเสริมแรงด้วยความทุลักทุเล
เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานของชุด เขาจึงยังไม่ได้สวมในตอนนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนเป็นคนสุดท้ายที่กระโดดลงเรือ จากนั้นก็โบกมือให้พวกหานวั่งฮั่วท่ามกลางเสียงตึกๆๆ ของเครื่องยนต์เรือเร็ว
ผ่านไปสิบกว่าวินาที เรือเร็วสีขาวนวลก็แล่นไปบนทะเลสาบพิโรธที่มองไม่เห็นฟากฝั่ง ลากรอยคลื่นยาวเป็นทางบนผิวน้ำที่เป็นประกายระยิบระยับสีทอง
ลมในทะเลสาบค่อนข้างเย็นทำให้หลงเยว่หงรู้สึกหนาวสะท้านอยู่บ้าง
เขามองไปรอบๆ เห็นชายฝั่งเหลือเพียงแค่เส้นเดียว เกาะต่างๆ ที่อยู่ในทะเลสาบมองแล้วราวกับเป็นสัตว์ประหลาดตะคุ่มตะคุ่ม
“หัวหน้า ทำไมพวกเราไม่เดินทางกันตอนกลางคืนล่ะ ตอนนี้เพิ่งจะบ่าย จะไม่สะดุดตาเกินไปหน่อยเหรอ แบบนี้พวกมนุษย์มัจฉาจะเห็นเราได้ง่ายๆ เลยนะ…” หลงเยว่หงถามในสิ่งที่ไม่เข้าใจ
ในความคิดของเขานั้น ปฏิบัติการเช่นนี้ควรจะดำเนินการในตอนกลางคืนที่มีลมพัดแรงมากกว่า
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ มองดูซางเจี้ยนเย่าที่นั่งยองอยู่กราบเรือพยายามจะเอื้อมมือไปจับปลา
“อธิบายให้เสี่ยวหงฟังหน่อยสิ
เธอหยุดไปชั่วแว่บก่อนจะเสริมมาอีกคำ
“เฮ้”
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าที่สวมหน้ากากลิงเจ้าเล่ห์มา พร้อมกับยกคำถามของหลงเยว่หงขึ้นมาพูด
“นายรู้ทางหรือเปล่า”
“ทางอะไร” หลงเยว่หงไม่รู้ว่าจะตอบอะไร
“ทางไปเกาะกลางทะเลสาบน่ะ” ไป๋เฉินทวนความจำให้ประโยคหนึ่ง
“ไม่รู้” หลงเยว่หงตอบออกไปโดยอัตโนมัติ จากนั้นก็กระจ่างได้ในทันที “ในตอนกลางคืนพวกเราจะหาเกาะไม่เจออย่างนั้นสินะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนด้านหนึ่งก็คอยมองสังเกต ‘หลักเขต[2]’ ที่พวกหานวั่งฮั่วบอกเอาไว้เพื่อคอยยืนยันว่าไม่ได้แล่นมาผิดทาง อีกด้านหนึ่งก็ผงกศีรษะตอบรับ
“ถูกแล้ว
“ตอนกลางวันพวกเรายังใช้แผนที่ คำอธิบาย และสภาพแวดล้อม เพื่อเปรียบเทียบกับเส้นทางที่จะเดินทางไปที่เกาะได้
“แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นพวกหานวั่งฮั่วเองก็ยังไปไม่ถูก”
ทะเลสาบนั้นเป็นพื้นที่ซึ่งมนุษย์มัจฉาครองความได้เปรียบอย่างสิ้นเชิง ส่วนชาวชุมชนศิลาแดงไม่ได้หยั่งเท้าลงมาลึกมากนัก
และเรือเร็วลำนี้ก็เป็นแบบธรรมดา ไม่มีระบบนำทางอัจฉริยะ
“แล้วก็นะ ถ้าหากนายเป็นมนุษย์มัจฉา นายจะระวังตัวตอนไหนมากที่สุด” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อทันที “แน่นอนว่าต้องเป็นตอนดึกใช่ไหมล่ะ เพราะกังวลว่าคนของชุมชนศิลาแดงอาจจะใช้ประโยชน์จากความมืดเพื่อปกปิดร่องรอยการลอบโจมตี แต่ถ้าเป็นกลางวันก็จะผ่อนคลายลงบ้าง ทะเลสาบกว้างใหญ่ตั้งขนาดนี้ ขอเพียงพวกเราไม่ได้เข้าใกล้พื้นที่ที่พวกมนุษย์มัจฉาเคลื่อนไหวเป็นหลัก ก่อนเราจะเข้าใกล้เกาะก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร”
หลังจากฟังอย่างตั้งใจจนจบ หลงเยว่หงก็สรุปออกมาได้ประโยคหนึ่ง
‘การวิเคราะห์ที่แน่นอนย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แน่นอน’
เรือเร็วอ้อมไปเป็นวงกว้างทางทิศตะวันตก จากนั้นค่อยเคลื่อนลึกเข้าไปในทะเลสาบพิโรธ
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยตกดินไป
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดพวกซางเจี้ยนเย่าก็เห็นเกาะที่ใหญ่มากเกาะหนึ่ง
กลางเกาะมีภูเขาตั้งตระหง่านเหมือนเป็นเสาหลักหิน
“เกือบจะถึงแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเปรียบเทียบกับคำอธิบายลักษณะของเกาะกลางทะเลสาบที่ชาวชุมชนศิลาแดงให้ไว้ และยืนยันได้ว่าที่หมายก็คือข้างหน้านี่เอง
ไป๋เฉินปรับทิศทางของเรือเร็วเล็กน้อยเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่เบี่ยงออกไป
ลมจากทะเลสาบพัดกระโชกจนเสื้อผ้าผมเผ้าของพวกเขายุ่งไปหมด
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเกาะ มองเห็นท่าเรือเก่าๆ ที่ค่อนข้างทรุดโทรม มีลำน้ำเล็กๆ ไหลเอื่อยๆ อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนัก
แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ลุกขึ้นยืน ก้มตัวเล็กน้อย มองดูในน้ำทางด้านซ้ายด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นก็พูดขึ้น
“จิตสำนึกของมนุษย์… มีสามคน”
“ดูท่าน่าจะเป็นมนุษย์มัจฉา” เจี่ยงไป๋เหมียนตรวจจับได้ก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ไม่อาจบอกได้ว่านั่นเป็นปลาตัวใหญ่หรือมนุษย์มัจฉากันแน่
“ทำไงกันดี” หลงเยว่หงรู้สึกหัวใจถูกบีบรัด พูดแนะนำขึ้นมา “ตอนนี้รีบขึ้นฝั่งก่อนดีไหม”
ขอเพียงไม่ต้องทำศึกในน้ำกับมนุษย์มัจฉา เขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเท่าไร
“พวกมันมาแล้ว เร็วมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างใจเย็น “ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์มัจฉาไม่ได้ทิ้งเกาะนี้ไปซะเลยทีเดียว น่าจะส่งคนมาดูสถานการณ์บ้างเป็นครั้งคราว”
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าอยู่ในท่าเตรียมพร้อมจะกระโดดพุ่งลงน้ำแล้ว
ไป๋เฉินนั้นด้านหนึ่งก็ควบคุมเรือ อีกด้านหนึ่งก็ชัก ‘ยูไนเต็ด 202’ ออกมา พยายามจะยิงลงไปในน้ำ แต่ภายใต้คลื่นน้ำบนผิวทะเลสาบ เธอไม่อาจหามนุษย์มัจฉาพบว่าอยู่ตรงไหน
หลงเยว่หงก็ทำเช่นเดียวกัน และยังถึงกับมีความคิดประหลาดขึ้นมาด้วย
‘ไม่รู้ว่าชุดเกราะกระดูกเสริมแรงจะกันน้ำได้หรือเปล่านะ…’
เจี่ยงไป๋เหมียนรายงานการเคลื่อนไหวของมนุษย์มัจฉาให้ทุกคนฟัง
“พวกเขาดำลงไปลึก ดูท่าแล้วคงคิดจะเจาะเรือเรา”
เธอเหยียบบนดาดฟ้าเรือแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน
“ถอยห่างจากกราบเรือ นอกจากไม้กระดานแล้วห้ามจับอะไรทั้งสิ้น
“พวกเราไม่จำเป็นต้องลงไปสู้กับพวกมนุษย์มัจฉาในน้ำหรอก ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง”
ซางเจี้ยนเย่าถอนใจแล้วถอยกลับมา
จนกระทั่งสมาชิกของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ขึ้นไปเหยียบไม้กระดานเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็นั่งยองลงไปแล้วหย่อนมือซ้ายลงไปในทะเลสาบ
วินาทีถัดมา ด้านข้างเรือก็สว่างวาบขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับว่ากลับไปเป็นตอนเที่ยงวันที่มีแสงแดดแรงที่สุด
อสรพิษสายฟ้าสีเงินจำนวนมากมายมหาศาลปะทุออกมาแล้วพุ่งลงไปในทะเลสาบ
เหตุการณ์นี้ดำเนินต่อไปราวสิบกว่าวินาที จากนั้นก็มีปลาหลายตัวหงายท้องลอยขึ้นมา
ห่างออกไปพอควรมีมนุษย์มัจฉาสามคนค่อยๆ ลอยขึ้นมาแล้วรีบว่ายน้ำหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
ร่างพวกเขาชักกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม ดวงตาเหลือกถลน ไม่รู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงต่ออีก
เธอยังต้องสงวนพลังเอาไว้บางส่วนสำหรับการสำรวจวิหาร
ในเมื่อมนุษย์มัจฉาว่ายออกไปไกลแล้ว ไป๋เฉินจึงขับเรือเร็วไปที่ท่า จากนั้นก็ผูกเรือไว้กับเสา
เจี่ยงไป๋เหมียนกระโดดลงจากเรือเร็วแล้วมองไปรอบๆ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ซางเจี้ยนเย่าก็กระโดดออกมาจากเรือวิ่งตรงไปที่ลำน้ำใกล้ๆ แล้วหยิบป้ายโลหะขึ้นสนิมแผ่นหนึ่งชูขึ้นมา
บนแผ่นป้ายมีตัวหนังสือภาษาธุลีเขียนเอาไว้
‘ที่นี่ห้ามใช้ไฟฟ้าช็อตปลา!’
เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง
จากหางตาของเธอก็เห็นว่าหลงเยว่หงกับไป๋เฉินที่ถอดหน้ากากออกแล้ว กำลังเม้มปากแน่นตัวสั่นเล็กน้อยเหมือนกำลังพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต
“มนุษย์มัจฉาไม่ใช่ปลาย่ะ!” เจี่ยงไป๋เหมียนเถียงปกป้องตัวเอง
พอพูดจบปุ๊บเธอก็หัวเราะลั่น ท่าเรือเต็มไปด้วยบรรยากาศความมีชีวิตชีวา
นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ
เจี่ยงไป๋เหมียนรอให้ไป๋เฉินจูงจักรยานสองคันไปที่ท่าเรือ เมื่อซางเจี้ยนเย่าช่วยหลงเยว่หงสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเสร็จ เธอก็หยุดยิ้มแล้วออกคำสั่งอย่างจริงจัง
“เสี่ยวไป๋ เสี่ยวหง พวกนายอยู่ที่นี่ หนึ่งคือคอยป้องกันมนุษย์มัจฉาย้อนกลับมาทำลายเรือเร็ว สองคือเป็นทีมสนับสนุน
“เราไม่รู้ว่าในวิหารจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ถ้าหากเข้าไปพร้อมกันทั้งหมดอาจจะโดนกวาดยกทีม พวกนายรออยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเราก็ยังมีคนช่วยเหลือ อ้อ คอยใส่ใจกับพลุสัญญาณของฉันด้วย แล้วก็ถ้าพวกเราอยู่เกินเวลา พวกนายรีบเข้าไปตามทันที
“แต่ถ้าสุดท้ายพบว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ ให้กลับไปแล้วแจ้งให้บริษัทรู้”
นี่เป็นการแบ่งงานตามปกติภายในทีม การเหลือกำลังคนบางส่วนไว้สนับสนุนเป็นหนึ่งในมาตรการที่มีประสิทธิภาพสำหรับการสำรวจในลักษณะนี้ ไป๋เฉินไม่ได้คัดค้านอะไร
หลงเยว่หงเองก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านอยู่แล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนสะพายปืนยิงระเบิด ‘ทรราช’ กับปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ พาดบ่า ขึ้นคร่อมจักรยานแล้วนั่งลงไป
จากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่าโดยอัตโนมัติ และพบว่าอีกฝ่ายพร้อมออกเดินทางแล้ว
ปัญหาเดียวก็คือซางเจี้ยนเย่าที่สวมชุดลายพรางสีเทา รองเท้าบู๊ตหนังสีดำ สะพายปืนไรเฟิลจู่โจมไว้ มีปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ และ ‘ยูไนเต็ด 202’ ห้อยไว้ที่เอว ดูยังไงก็ไม่เข้ากับ ‘การขี่จักรยาน’ น่าขันอย่างอธิบายไม่ถูก
แต่พอนึกได้ว่าตัวเองก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา อดพูดขึ้นไม่ได้
“พวกเราติดอาวุธรอบตัวเตรียมจะไปลุยสำรวจสิ่งที่ไม่รู้จัก แต่ว่าขี่จักรยานกันไป… รู้สึกประหลาดชะมัด”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดแล้วก็ตอบเธอไปประโยคหนึ่ง
“อย่างน้อยก็ไม่ได้ขับรถแทรกเตอร์นะ”
“…นั่นสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนนึกภาพตาม สุดท้ายก็ยอมรับว่าสภาพในตอนนี้ดีกว่าเยอะ
จากนั้นทั้งคู่ก็ปั่นจักรยานออกเดินทางในสภาพอาวุธรอบตัว ตรงไปยังทิศทางของวิหาร
* * * * *
[1] สองล้อทรงตัว (电动平衡车) Electric balance scooter เป็นพาหนะชนิดหนึ่งมีสองล้ออยู่ซ้ายขวาแล้วให้เราขึ้นไปยืนควบคุมอยู่บนแท่นยืนตรงกลาง เนื่องจากไม่มีชื่อผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการในภาษาไทย จึงมีการเรียกกันอย่างหลากหลาย เช่น รถยืนไฟฟ้า สองล้อทรงตัว รถไฟฟ้าทรงตัว รถไฟฟ้าทรงตัวอัตโนมัติ ฯลฯ แต่ประเทศไทยนิยมเรียกเป็น ‘เซกเวย์’ (Segway) หรือ ‘มินิเซกเวย์’ ซึ่งเป็นชื่อบริษัทผู้ผลิตมากกว่า
[2] หลักเขต (地标) ชื่อเต็มคือ ‘หลักเขตที่ดิน’ หมายถึงวัตถุเด่นชัดหรือภูมิทัศน์เด่นชัดที่เป็นเครื่องหมายชี้ทางหรือเครื่องหมายสถานที่ ต่อมาก็หมายความรวมถึงอาคารสถานที่ซึ่งมีลักษณะเด่นหรือมีความสำคัญ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ‘landmark’