รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 225 การศึกที่ชนะโดยไม่ต้องรบ
ดวงตะวันลับฟ้าในทิศประจิม จักรยานสองคันลากเงาทอดยาวในขณะที่ปั่นผ่านพื้นที่เพาะปลูกซึ่งถูกทิ้งรกร้างและต้นไม้แห้งเหี่ยว
ขณะที่กำลังปั่นอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ทำท่าบอกให้ซางเจี้ยนเย่าช้าลง
จากนั้นเธอก็ขี่ลงข้างทาง จอดจักรยานแล้วก็หักกิ่งไม้ที่ยังอ่อนอยู่ออกมา
“เด็ดเอามาทำอะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ไม่สวมหน้ากาก เผยรอยยิ้มประสงค์ร้ายออกมา
“เตรียมเอาไว้สำหรับใช้กฎประจำตระกูลน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วยสุดๆ
“ใช่แล้ว ช่วงนี้เสี่ยวหงปล่อยตัวเกินไป ต้องให้เขารู้บ้างว่าโลกนี้โหดร้ายแค่ไหน”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “เฮอะ” ออกมาคำหนึ่ง แล้วเอากิ่งไม้เหน็บไว้ที่เบาะหลัง
เธอไม่ได้อธิบายอะไร ขึ้นคร่อมจักรยานเสร็จก็พูดขึ้น
“ไปกันเถอะ”
ในตอนที่ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีเดียวกับเปลวเพลิง ทั้งสองก็กลับมาถึงท่าเรือ
หลงเยว่หงซึ่งสวมชุดเกราะเสริมแรงเห็นว่าพวกเขากลับมากันอย่างปลอดภัยก็ถอนใจโล่งอก
“เป็นไงบ้าง เจออะไรหรือเปล่า”
“ได้อะไรมานิดหน่อย กลับไปค่อยคุยกัน” เจี่ยงไป๋เหมียนแหงนหน้ามองฟ้า “ต้องรีบหน่อยแล้วล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวฟ้าจะมืดเสียก่อน”
หากรอจนกระทั่งตอนนั้นก็ยากจะจำแนกทิศทางในทะเลสาบได้ พวกมนุษย์มัจฉาเองก็ยิ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้วย
ถึงแม้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ จะมีเรดาห์มนุษย์สองคนที่สามารถตรวจจับการปรากฏตัวของศัตรูได้ก็ตาม แต่นี่เป็นยุคสมัยของอาวุธร้อน หากพวกมนุษย์มัจฉาขับเรือแล้วอาศัยความมืดกำบังตัว จากนั้นก็ยิงบาซูก้ามาจากระยะหนึ่งร้อยสองร้อยเมตร อย่างนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว
และนอกจากนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่อยากจะเล่าประสบการณ์สำรวจออกมาภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ จะทำให้ส่งผลกระทบต่อหลงเยว่หงและไป๋เฉินเสียเปล่าๆ
สำหรับข้อเสนอนี้ ทั้งไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างก็ไม่มีใครคัดค้าน เนื่องจากดวงตะวันเริ่มลับขอบฟ้าไปแล้วจริงๆ
หลังจากไป๋เฉินจูงจักรยานขึ้นเรือแล้วสตาร์ทเครื่องเรือเร็ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็นั่งลงหยิบกิ่งไม้ที่หักไว้ก่อนหน้านี้ออกมา ตั้งหน้าตั้งตาสาน
“หัวหน้าทำอะไรน่ะ” หลงเยว่หงยังคงไม่ขาดแคลนความอยากรู้อยากเห็น
“สำหรับใช้กฎประจำตระกูล” ซางเจี้ยนเย่าจงใจถอดหน้ากากออกเพื่อให้หลงเยว่หงได้เห็นรอยยิ้มสดใสของตน
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มออกมา
“เผื่อว่าอาจจะมีประโยชน์ก็ได้
“กับพวกมนุษย์มัจฉาแล้ว ทางที่ดีก็อย่าได้ต่อสู้กันเลย”
พูดถึงตรงนี้เธอก็หยุดไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูดชมตัวเอง
“พวกเราเป็นถึงจอมวายร้ายเชียวนะ ถ้าหากไม่รู้วิธีว่าทำยังไงถึงจะเป็นการศึกที่ชนะโดยไม่ต้องรบ[1] ก็คงเสียเปล่าแล้วล่ะ”
หลงเยว่หงงุนงงไปพักใหญ่ ไม่สามารถเชื่อมโยง ‘กิ่งไม้หัก’ กับ ‘การศึกที่ชนะโดยไม่ต้องรบ’ ว่ามันเกี่ยวข้องกันได้ยังไง
ในตอนนี้ไป๋เฉินที่กำลังขับเรือเร็วอยู่ก็พูดเสียงต่ำออกมาประโยคหนึ่ง
“จะใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงพวกมนุษย์มัจฉางั้นสินะ”
บางทีอาจเป็นเพราะลมไม่ได้แรงมาก เจี่ยงไป๋เหมียนจึงจับความประโยคนี้ได้อย่างชัดเจน เธอพูดพลางมองตาโตใส่
“เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวงที่ไหนกัน
“เขาเรียกว่ากลยุทธ์ตบตาต่างหาก”
“แล้วสองอย่างนี้มันต่างกันยังไง” หลงเยว่หงถามออกมาโดยอัตโนมัติ
ซางเจี้ยนเย่าช่วย ‘อธิบาย’ ออกมาให้ฟัง
“ประโยคหลังฟังลื่นหูกว่า”
“อื้อหือ เข้าขากันดีจริงนะ คนหนึ่งร้องอีกคนหนึ่งรับ” เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองพวกเขา “ดูเหมือนว่าจะต้องพิจารณาใช้กฎประจำตระกูลจริงๆ แล้วสินะ!”
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยสรวลเสเฮฮา เรือเร็วก็ขี่ลมท่องคลื่นกลับไปยังชุมชนศิลาแดงโดยใช้เส้นทางเดิม
เพียงไม่นานนักเจี่ยงไป๋เหมียนก็ใช้ก้านเล็กๆ ไปครึ่งหนึ่งสานกำไลกิ่งไม้ได้หนึ่งวง
“หัวหน้ายังฝังใจมันอยู่จริงๆ ด้วย” ซางเจี้ยนเย่าตระหนักขึ้นมาโดยพลัน
เจี่ยงไป๋เหมียนแทบจะสำลัก
“นี่ฉันแสดงออกได้แย่ขนาดนั้นเลยเรอะ”
“หมายความว่าไงเหรอ” หลงเยว่หงมึนงงสงสัย
เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างไม่จริงจัง
“ตอนที่พวกเราเข้าไปในวิหารก็เจอกำไลกิ่งไม้สานเข้าน่ะ แต่ไม่กล้าเอากลับมาด้วย”
“นั่นสิ… ของที่อยู่ในที่แบบนั้นน่ะ อย่าซี้ซั้วหยิบมาใส่ส่งเดชจะดีกว่า” หลงเยว่หงแสดงท่าทางว่าสมควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
พอวางกำไลกิ่งไม้สานลงบนฝ่ามือซ้ายแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยื่นมือซ้ายไปที่หน้าไป๋เฉินพร้อมกับทำท่าทำทาง
“เป็นไงล่ะ ฝีมือสานของฉัน เก่งไหม”
ไป๋เฉินตอบกลับมาเรียบๆ
“อย่าบังสิ ฉันกำลังขับเรืออยู่”
เธอหยุดไปชั่วอึดใจแล้วพูดเสริม
“ตอนฉันเจ็ดขวบก็สานได้เก่งกว่าคุณแล้ว”
“จะเหมือนกันได้ไง ตอนฉันเจ็ดขวบน่ะ ยังไม่เคยเห็นเลยว่าต้นไม้จริงๆ เป็นยังไง คิดว่าพวกมันเป็นเหมือนดอกฝ้ายซะอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
เรือเร็วแล่นไปครู่ใหญ่ ท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ
เมื่อมองเห็นชายฝั่งทะเลสาบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่าเองก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“ใต้น้ำมีคนอยู่หลายคน”
“เฮอะ ยังตรวจตรากวดขันกันอยู่สินะ แต่ที่มาก็อาจไม่ใช่พวกมนุษย์มัจฉาก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้มออกมาประโยคหนึ่ง สีหน้าค่อนข้างผ่อนคลาย “ประมาณสามสิบกว่าคน”
“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” หลงเยว่หงไม่มั่นใจว่าชุดเกราะรุ่นคุณปู่นั่นจะแสดงประสิทธิภาพการต่อสู้ได้มากแค่ไหนเมื่อต้องลงไปสู้กันในน้ำ
แล้วในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินไปที่กราบเรือ หันหน้าไปยังทิศทางที่มีมนุษย์มัจฉาอยู่มากที่สุด ชูมือซ้ายขึ้นมา
เธอแกว่งมือพลางตะโกนเสียงดัง
“พวกเราไปที่วิหารต้องห้ามแห่งนั้น แล้วก็ได้ของสิ่งนี้มา
“ตอนนั้นผู้นำสารของพวกคุณเอาอะไรกลับมา พวกคุณก็น่าจะรู้ และเขาแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน พวกคุณก็น่าจะรู้ดีอีกเช่นกัน
“อยากลองดูไหมล่ะ”
เธอพูดจบก็หันหน้าไปขยิบตาให้ซางเจี้ยนเย่า
ในเวลานี้พวกมนุษย์มัจฉาอยู่ใต้น้ำจึงได้ยินเสียงจากบนผิวน้ำได้ไม่ชัดเจนมากนัก ได้ยินเพียงแค่คำบางคำ อย่างเช่น ‘วิหาร’ ‘ผู้นำสาร’ ‘แข็งแกร่ง’ และ ‘น่ากลัว’ เท่านั้น ในขณะเดียวกันพวกเขาที่อยู่ใต้คลื่นน้ำเป็นระลอกระลอก ก็มองเห็นกำไลกิ่งไม้สานบนข้อมือเจี่ยงไป๋เหมียน
นี่ทำให้พวกเขาเชื่อมโยงคำต่างๆ เหล่านี้เข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ และนึกไปถึงสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่ผู้นำสารแสดงออกมาให้เห็น
ที่ติดตามมาหลังจากนั้นก็คือมนุษย์มัจฉาหลายคนสูญเสีย ‘การรับรู้’ ของมือทั้งสองข้างของตัวเองไปทันที ไม่สามารถใช้ว่ายน้ำได้อีก
นี่ทำให้พวกเขาจมลงไป แต่พวกเขารีบใช้ขาทั้งสองข้างเตะน้ำเพื่อรักษาความสมดุลประคองตัวไว้
เมื่อความจริงมาวางอยู่ต่อหน้าแล้ว ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่เชื่อ อีกทั้งการต่อสู้กับศัตรูที่ทรงพลังดังเช่นผู้นำสาร นั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาหาญกล้าลงมือกระทำ
ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็เพิ่งผ่านสงครามมา ประสบความสูญเสียด้านจำนวนคนไปไม่น้อย จึงย่อมไม่ยินยอมสละชีพคนวัยฉกรรจ์สามสิบสี่สิบคนนี้ไปอย่างไม่มีเหตุผล
พวกมนุษย์มัจฉาที่ ‘มือสองข้างไม่อาจเคลื่อนไหว’ รีบใช้ท่าทางบอกเล่าสถานการณ์ให้พวกพ้องได้รับรู้
เพียงเจ็ดแปดวินาทีถัดมา พวกเขาก็ดำดิ่งลงไปจนห่างจากคุ้งน้ำย่านนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา ส่งรอยยิ้มให้กับหลงเยว่หง ซางเจี้ยนเย่า และไป๋เฉิน
“ที่เพิ่งจะบอกไปยังไงล่ะ การศึกที่ชนะโดยไม่ต้องรบ”
หลงเยว่หงชื่นชมจากใจจริง
ซางเจี้ยนเย่าแนะนำแผนใหม่ออกมาทันที
“ถ้าบอกพวกเขาไปว่าพวกเรานี่แหละที่เป็นคนฆ่าผู้นำสาร พวกเขาจะกลัวจนเผ่นแน่บไปเลยหรือเปล่า”
“สงสัยว่าแบบนั้นพวกเขาน่าจะรีบพุ่งเข้ามาฆ่าตัวตายเพื่อแลกชีวิตเสียมากกว่า” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ
จากคำสนทนานี้ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนยืนยันได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือซางเจี้ยนเย่าไม่มีความรู้สึกผิดหรือมีจิตใจที่รู้สึกว่าต้องแบกรับในเรื่องที่สังหารผู้นำสารของมนุษย์มัจฉาในตอนนั้น
ก็นั่นสินะ มีชีวิตอยู่ในสนามรบ หากไม่ใช่ฆ่าสหายร่วมรบของตัวเองกับมือ ก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจอะไรมากนัก อืม… ที่จริงตอนนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขาด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ เกิดเรื่องผิดปกติแบบนั้นขึ้นมา ก็ยังคิดจะจับเป็นด้วยซ้ำ… เจี่ยงไป๋เหมียนที่เตรียมจัดตารางเวลาเพื่อให้คำปรึกษาด้านสภาพจิตก็เป็นอันยกเลิกไปโดยปริยาย
ท้องฟ้าแทบจะดับแสงแล้วเมื่อพระอาทิตย์อยู่เหนือขอบฟ้าเพียงครึ่งดวงในตอนที่เรือเร็วกลับมาถึงท่าเรือชุมชนศิลาแดง
* * * * *
ณ ห้อง ‘05’ ย่านที่พักแรม
เจี่ยงไป๋เหมียนแบ่งปันประสบการณ์การสำรวจให้กับหลงเยว่หงและไป๋เฉิน
หลงเยว่หงที่ได้ยินได้ฟังก็พลันรู้สึกขนลุกซู่เหมือนถูกลมหยินเย็นยะเยือกพัดโชย อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
จากนั้นเขาก็จ้องมองซางเจี้ยนเย่าด้วยความโมโห
“นายเปิดประตูตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ที่ทำให้เขารู้สึกหนาวจนสั่นก็คือลมหนาวของเหมันต์ที่พัดเข้ามาจากข้างนอก
“หนึ่งนาทีก่อน” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความคิดของตัวเองออกมา “ฉันช่วยจำลองสภาพแวดล้อมในตอนนั้นเพื่อให้นายได้สัมผัสบรรยากาศจากร่างกายตัวเอง”
“ไม่ต้องก็ได้!” หลงเยว่หงแสดงออกว่าไม่ต้องการมีประสบการณ์ในเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว
รอจนซางเจี้ยนเย่าปิดประตูห้องเสร็จ หลงเยว่หงก็ถอนหายใจออกมา
“ฟังแล้วเหลือเชื่อชะมัด”
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย
“นั่นนะสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจ “พวกผู้ตื่นรู้ทรงพลังที่เข้าไปถึง ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้ รวมไปถึงพวกผู้ครองกาลด้วย รูปลักษณ์ชีวิตของพวกเขานี่ทำให้รู้สึกเหลือเชื่อน่าอัศจรรย์จริงๆ รอบตัวพวกเขาสามารถสร้างเรื่องที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ถึงขนาดนั้น ตอนนั้นนะฉันยังรู้สึกว่าถูกผีหลอกเข้าให้แล้ว”
เธอมองทุกคนรอบๆ แล้วพูดต่ออย่างเคร่งขรึม
“เรื่องนี้บอกกับพวกเราว่าสามารถเชื่อมั่นได้เต็มร้อยว่าวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ทุกสิ่ง แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ายังมีบางเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้โดยตรง ไม่สามารถพิสูจน์ได้ อย่าเพิ่งไปมองว่านั่นเป็นความผิดพลาดของวิทยาศาสตร์
“เป็นเพราะทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์พร้อม
“หัวใจของวิทยาศาสตร์ก็คือกล้าตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบอย่างรอบคอบ แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง ไม่เอาแต่ยึดติดของเก่าอย่างคร่ำครึ หัวโบราณไม่ยอมรับสิ่งใหม่ หลับหูหลับตาปฏิเสธหัวชนฝา”
แปะ! แปะ! แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือขึ้นทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขาแล้วหันไปพูดกับไป๋เฉิน
“เธอคิดว่าไงบ้าง”
“ตอนกลับไปถึงบริษัทแล้ว ต้องไปยื่นขอข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้ได้” ไป๋เฉินพูดอย่างใจเย็น “เรื่องพวกนี้ทางบริษัทต้องมีข้อมูลมากกว่าพวกเราแน่ ยิ่งพวกเรารู้มากเท่าไหร่ การสืบสวนต่อไปในอนาคตก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูด “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเราอยู่ข้างนอก มีแต่ต้องเจอปัญหาอย่างเฉพาะเจาะจงถึงจะได้รับการตอบกลับจากบริษัท”
เธอพูดต่อ
“หลังจากครั้งนี้ฉันก็มั่นใจมากว่านิกายตื่นตัวจะส่งคนที่แข็งแกร่งไปสำรวจวิหาร ถึงแม้พวกเราจะมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้แจ้งเตือนซ่งก็เถอะ แต่เราก็มีความลับอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปเจอกับพวกคนแข็งแกร่งจากนิกายตื่นตัว
“ไม่ว่ายังไงเป้าหมายหลักของเราที่มายังชุมชนศิลาแดงก็ลุล่วงไปแล้ว เรื่องที่ยังค้างคาอยู่ก็คือรวบรวมข้อมูลของ ‘สวรรค์จักรกล’ ซึ่งอีกไม่นานก็น่าจะเรียบร้อย พอถึงตอนนั้นก็ออกเดินทางกันได้”
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินไม่คัดค้าน ซางเจี้ยนเย่าเหมือนลังเลอยู่ชั่วขณะแต่ก็ผงกศีรษะตอบรับ
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจโล่งอกแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้ยังพอมีเวลา พวกเราต้องตามหาว่าใครกันแน่ที่เป็นคนฆ่าเฮลเว็ก
“ในเมื่อรับอาวุธมาแล้ว จะทำเป็นเฉย นิ่งดูดายไม่ได้”
ไป๋เฉินใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่
“คงต้องเรียบเรียงรายชื่อศัตรูของเฮลเว็กกันใหม่อีกครั้ง”
“อืม” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะตอบคำ ก็พลันหันขวับไปมองที่ประตูห้อง
ซางเจี้ยนเย่าเองก็มองตามไปติดๆ
จากนั้นราวสิบวินาที ที่ประตูก็มีเสียงคนเคาะก๊อกๆๆ ดังขึ้น
ซางเจี้ยนเย่าสวมหน้ากากลิงแล้วไปเปิดประตู พบว่าคนที่มาก็คือผู้แจ้งเตือนซ่งเหอในชุดคลุมยาวสีดำกับแพทย์นิติเวชผู้มากรักของสำนักงานรักษาความสงบสาธารณะแวร์ตูร์
หลังจากเข้ามาในห้องแล้วซ่งเหอก็มองไปที่พวกเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดออกมาอย่างจริงใจ
“ผมมีภารกิจจะมอบหมายให้พวกคุณ”
“อะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความสงสัย
ซ่งเหอเหลือบมองแวร์ตูร์ก่อนจะพูด
“ก่อนหน้านี้พวกเราสงสัยว่ามีคนขายข้อมูลให้มนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา ทำให้พวกเขารู้ว่ามุขนายกเรนาโต้ถูกย้ายกลับไปที่สำนักงานใหญ่อย่างกระทันหัน
“ตอนนี้พวกเรามีผู้ต้องสงสัยเบื้องต้นคนหนึ่งแล้ว หวังว่าพวกคุณจะสามารถทำการสืบสวนอย่างลับๆ ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจกระจ่างทันที ผงกศีรษะตอบรับ
“เป็นใครเหรอ”
ซ่งเหอถอนหายใจ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หานวั่งฮั่ว”
* * * * *
[1] การศึกที่ชนะโดยไม่ต้องรบ (不战而屈人之兵)หนึ่งในกลศึกซุนหวู่ คือ การทำให้ศัตรูสูญเสียความสามารถในการต่อสู้หรือยอมจำนนโดยไม่ต้องทำศึกให้ฝ่ายตนเองเสียหาย