รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 228 การตัดสินใจของหานวั่งฮั่ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่หานวั่งฮั่วเท่านั้น แม้กระทั่งเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง รวมถึงไป๋เฉินเองก็ยังตกตะลึงไปด้วยเช่นกัน
นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องที่ว่าจะตามวงจรสมองของซางเจี้ยนเย่าได้ทันอีกแล้วหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ว่าทั้งสองฝ่ายนั้นอยู่กันคนละโลกที่มีสภาวะและจังหวะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
วินาทีถัดมาเจี่ยงไป๋เหมียนก็พลันรู้สึกว่าการติดตามซางเจี้ยนเดินออกจากที่นี่ไปนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้
หลังจากที่ได้ฟังคำสารภาพของหานวั่งฮั่วไปเมื่อครู่ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าแบบไหน ควรจะพูดอะไรออกมาดี
การพูดขอโทษคงไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่ได้เป็นคนทำเรื่องล้ำเส้นพวกนี้ เพียงแค่มาเพื่อสอบถามเรื่องง่ายๆ ประโยคเดียวเท่านั้น ส่วนจะให้มาหัวเราะเฮฮากลบเกลื่อนเพื่อให้บรรยากาศกลับคืนมานั่นก็ไม่มีความจริงใจมากพอ
แต่ถ้าตัดฉับข้ามหัวข้อนี้ไปแล้วยกเรื่องอื่นขึ้นมาพูดแทน เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกว่านั่นจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่หนักกว่าเดิมอีก เพราะหานวั่งฮั่วอุตส่าห์พูดด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านมากมายขนาดนี้แต่ทุกคนกลับแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามประการหนึ่ง
หากต้องการจะตอบออกมาจริงๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกอารมณ์ซับซ้อนผสมปนเปไปหมด เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรไปก็ไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่หานวั่งฮั่วได้ประสบพบพานมาตลอดทั้งชีวิตจวบจนบัดนี้ ถึงยังไงพวกเขาก็เป็น ‘มนุษย์’ อย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรไปคนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว[1] พูดไปก็เท่านั้นแหละ
สรุปแล้วเดินตามซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งจะออกไปดีกว่า ปล่อยให้เรื่องมันจบลงแบบเหลวไหลไร้สาระอย่างนี้แหละ
นี่เป็นการดีต่อทั้งสองฝ่ายแล้ว
ในระหว่างที่ความคิดวิ่งพล่าน เจี่ยงไป๋เหมียนก็กลับหลังหันเดินตามซางเจี้ยนเย่าออกจากบ้านไป
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินเห็นหัวหน้าทีมตัดสินใจเช่นนั้น ก็ย่อมติดตามออกไปด้วยเป็นธรรมดา
หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ สิบกว่าวินาทีผ่านไป ภายในบ้านหลังนั้นก็เหลือเพียงแค่หานวั่งฮั่วถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง
หานวั่งฮั่วมองดูพื้นครัวที่ยังคงหลงเหลือรอยเท้าประทับไว้ จากนั้นก็มองไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งว่างเปล่าไร้ผู้คน สุดท้ายสายตาก็หยุดลงที่ประตูบ้านซึ่งเปิดค้างไว้
เขายังคงรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นความจริงหรือไม่ที่มีแขกกลุ่มหนึ่งเพิ่งเข้ามาหา ครั้นพอเต้นรำต่อหน้าตนเองเสร็จก็หันหลังสะบัดก้นจากไปทันที
เขาดึงแขนเสื้อลงมาตามจิตสำนึกเพื่อปกปิดเกล็ดสีอำพันบนท่อนแขนตัวเองอีกครั้ง
แต่แล้วในขณะนั้นก็พลันมีหน้ากากโผล่พรวดออกมาจากบานประตู
เป็นหน้ากากหลวงจีนรูปงามใบหนึ่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแห้งๆ แล้วชูนิ้วชี้ขึ้นมา
“คำถามข้อสุดท้าย”
เมื่อเธอพูดขาดคำ ข้างกายก็ปรากฏหน้ากากอื่นตามออกมา มีหน้ากากลิงปากยื่นมีขนดก หน้ากากหมูอ้วนรูจมูกใหญ่จนยัดกระเทียมเข้าไปได้ทั้งหัว
นอกจากนั้นไป๋เฉินที่สวมหน้ากากชายหน้าตาดุร้ายก็เดินมาที่ประตูด้วยเช่นกัน
ในใจหานวั่งฮั่วเกิดความรู้สึกผสมปนเป ไม่ทราบจะหัวเราะดีหรือร้องไห้ดี
“ว่ามาเถอะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอม ทำเป็นว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณได้ขายข้อมูลเรื่องที่มุขนายกเรนาโต้กลับไปสำนักงานใหญ่ของนิกายเฝ้าระวังให้กับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาหรือเปล่า”
หานวั่งฮั่วหัวเราะเยาะออกมาคำหนึ่ง
“ขายให้พวกเขาไปแล้วผมจะได้ประโยชน์อะไร จะได้กลับไปเป็นมนุษย์ชั้นรองอย่างนั้นหรือไง”
“ผมรู้อยู่แล้วว่าต้องไม่ใช่คุณ!” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข
ถึงจะเป็นไปได้ที่หานวั่งฮั่วอาจจะโกหก แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขาควรจะเป็นความจริง นั่นก็คือภายในใจเขานั้นยืนอยู่ฝั่งเดียวกับฝ่ายมนุษย์
นี่ไม่ใช่การพิสูจน์ยืนยันด้วยพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ แต่ตัดสินจากพฤติกรรมตามปกติของหานวั่งฮั่วและตรรกะที่อยู่ในคำพูดของเขาก่อนหน้านี้
ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงถอนหายใจอย่างโล่งใจ
“พวกเรายังเชื่อใจคุณอยู่นะ เพียงแต่เรื่องที่ควรถามก็ยังจำเป็นต้องถาม
“ที่จริงแล้วคนที่เรากำลังสงสัยอยู่เนี่ย ไม่ใช่คุณหรอก”
หานวั่งฮั่วเพิ่งจะตามสืบเรื่องนี้เมื่อวานนี้เอง พอได้ยินเช่นนั้นก็ลืมเลือนเรื่องที่เพิ่งระเบิดอารมณ์เมื่อครู่ไปสนิท รีบถามต่อทันที
“งั้นใคร”
“ดิมาร์โก้ หรือไม่ก็คนที่เป็นตัวแทนของ ‘นาวาบาดาล’” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบตามจริง
หานวั่งฮั่วครุ่นคิดแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย
“ผมก็ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน การรุกรานของมนุษย์ชั้นรองนับว่าเป็นหายนะของทั้งคนแม่น้ำแดงและคนภาษาธุลี แต่ไม่ใช่สำหรับ ‘นาวาบาดาล’”
“ตราบใดที่พวกมนุษย์ชั้นรองไม่ได้บุกเข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ ตราบใดที่การแลกเปลี่ยนวัตถุปัจจัยกับโลกภายนอกของ ‘นาวาบาดาล’ ยังคงครอบครองส่วนแบ่งหลักของการค้าของเถื่อนในย่านนี้ได้ พวกมนุษย์ชั้นรองก็มีแนวโน้มว่าสามารถเจรจากันได้ และสุดท้ายก็บรรลุข้อตกลงความร่วมมือบางประการได้ ถึงยังไงคนพวกนั้นก็ซ่อนอยู่ใต้ดิน ยังไงก็ไม่รู้สึกว่าพวกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาจะดูขัดตาอยู่แล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย “สำหรับดิมาร์โก้ใน ‘นาวาบาดาล’ นั้น ใครจะร่วมมือหรือไม่ร่วมมือด้วยก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญทั้งนั้น”
ตอนนี้ไป๋เฉินพูดแทรกขึ้น
“เมื่อเทียบแล้วความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา กับ ‘นาวาบาดาล’ ยังนับว่ามีความใกล้ชิดกันมากกว่าชาวชุมชนศิลแดงกับ ‘นาวาบาดาล’ เสียอีก”
“นั่นสินะ บรรพบุรุษของพวกเขาก็เหมือนกับบรรพบุรุษของดิมาร์โก้ ต่างก็เป็นคนพื้นเมืองของเมืองนี้ด้วยกันทั้งนั้น” เจี่ยงไป๋เหมียนทบทวนข้อมูลและเห็นด้วย
หานวั่งฮั่วพูดต่ออีก
“ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากการแข่งขันด้านธุรกิจค้าของเถื่อน ทำให้ไม่ว่าจะเป็นคนแม่น้ำแดงหรือคนภาษาธุลี ต่างก็ไม่พอใจ ‘นาวาบาดาล’
“ดังนั้นการที่ ‘นาวาบาดาล’ คิดจะล้างไพ่ล้มโต๊ะก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ครั้นเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หานวั่งฮั่วก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมา
“ผมคงไม่ต้องไปห่วงพะวงอะไรกับเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ หลังจากนี้ก็ต้องฝากฝังพวกคุณแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบพูดทันที
“ที่จริงแล้วคุณไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้
“ผู้แจ้งเตือนซ่งมีทัศนคติที่ละมุนละม่อมต่อมนุษย์ชั้นรองมาตลอด เขาไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน มีภูมิหลังยังไง ยิ่งกว่านั้นเขาเองก็ชื่นชมในสิ่งที่คุณทำไว้ก่อนหน้านี้มาก เชื่อว่าคุณเหมาะสมเป็นนายอำเภอของชุมชนศิลาแดงอย่างแท้จริง เขายังบอกเป็นนัยว่าขอเพียงคุณไม่ทำเรื่องที่ทรยศต่อชุมชนศิลาแดง เขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าคุณคือมนุษย์ชั้นรอง
“ส่วนแวร์ตูร์นั้นคุณก็รู้อยู่แล้วว่าเขาคุยด้วยง่ายมาก ขอเพียงแค่คุณไม่ได้มีภรรยาที่หน้าตาหมดจดงดงาม เขาก็นับได้ว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้”
“อืม ตอนนี้มีเพียงแค่ผู้แจ้งเตือนซ่ง แวร์ตูร์ กับพวกเราสี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ และพวกเราก็จะออกจากชุมชนศิลาแดงในอีกไม่กี่วันแล้ว ตลอดชีวิตนี้อาจจะไม่มีโอกาสกลับมาที่นี่อีก”
หานวั่งฮั่วเงียบงันไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะเอ่ยปากพูดอย่างเชื่องช้า
“ผมทำใจไม่ได้หรอก
“ในเมื่อตัวตนมนุษย์ชั้นรองของผมถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ต่อให้มีคนรู้แค่ไม่กี่คนก็เถอะ ผมก็ยังรู้สึกเหมือนเปลื้องผ้าออกไปเดินอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อผมต้องพยายามทำเป็นกล้าหาญ ซื่อสัตย์ ยุติธรรม พอคิดว่าที่นี่มีคนรู้ว่าผมเป็นมนุษย์ชั้นรอง มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นตัวตลกที่กำลังแสดงเรื่องน่าขันอยู่”
เขาหยุดไปอึดใจ น้ำเสียงทุ้มต่ำลงเล็กน้อย
“และนอกจากนี้ผมก็อดคิดไม่ได้ ถ้าเกิดวันหนึ่งผู้แจ้งเตือนซ่งเอาเรื่องผมไปบอกมุขนายกคนใหม่ล่ะ ถ้าเกิดวันดีคืนดีแวร์ตูร์ได้เหล้ามาจากพวกค้าเหล้าเถื่อนแล้วดื่มจนเมาไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็พลั้งปากพูดเรื่องนี้ออกมา…
“สุดท้ายแล้วมันก็จะค่อยๆ พัฒนาไปในทำนองที่ว่าผมจะเกิดความคิดว่า ถ้าหากผู้แจ้งเตือนซ่งกับแวร์ตูร์ไม่อยู่ในโลกนี้ งั้นก็จะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิด อย่างนั้นก็จะไม่มีความเสี่ยงอีก”
หานวั่งฮั่วถอนหายใจ หัวเราะเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง
“ความคิดร้ายนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ผมควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลมดีกว่า”
เมื่อพูดกันมาจนถึงจุดนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่อาจเกลี้ยกล่อมเขาได้อีก ทำได้เพียงแค่พูดขึ้น
“พวกเราจะทำเต็มที่เพื่อสืบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนที่คุณจะจากไป”
หานวั่งฮั่วผงกศีรษะเล็กน้อย
“ในเมื่อผู้แจ้งเตือนซ่งไม่ได้คิดร้าย งั้นผมก็คงไม่ต้องรีบหนีแล้วล่ะ ยังอยู่ต่อได้อีกสักสองสามวัน จะได้จัดการเรื่องที่ยังคั่งค้างด้วย เหอะ เหอะ นี่ก็รวมถึงข้อมูลของ ‘สวรรค์จักรกล’ ที่สัญญาไว้ว่าจะรวบรวมให้พวกคุณด้วยน่ะ”
* * * * *
หลังจากอำลาหานวั่งฮั่วและกลับมาถึงรถจี๊ปแล้ว หลงเยว่หงก็เหลียวหน้ากลับไปมองบ้านหลังเล็กที่ประตูยังเปิดคาไว้ ถอนใจออกมาจากใจจริง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าตัวตนของ ‘มนุษย์’ มีความสำคัญมากถึงขนาดนี้”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“บรรพบุรุษของมนุษย์ชั้นรองพวกนั้นในตอนนั้นก็ยังเป็นมนุษย์ปกติอยู่ แต่พอเกิดภัยพิบัติขึ้นจนทำให้เกิดการกลายพันธุ์และโลกเก่าถูกทำลายไป ชะตากรรมของพวกเขาและทายาทรุ่นหลังก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
“ฉันรู้สึกนับถือหานวั่งฮั่วมากที่เขาไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมเช่นนั้น พยายามจะยืนหยัดขัดขืนจนถึงที่สุด”
ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังเอนพาดหน้าต่างรถมองดูบ้านหลังเล็กที่ค่อยๆ ห่างออกไปทุกขณะก็พลันพูดขึ้นมา
“ให้เขากลับไปบริษัทด้วยดีไหม”
“จะลองดูก็ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แย้ง “เดี๋ยวบ่ายนี้ฉันจะรายงานกลับไปก่อน ดูว่าบริษัทจะว่าไงบ้าง เรื่องแบบนี้จะตัดสินใจเองไม่ได้ ไม่งั้นพอพาคนไปถึงหน้าประตูแล้วเกิดเขาไม่ให้เข้า จะเป็นเรื่องยุ่งยากซะเปล่าๆ”
ถึงแม้ว่าพนักงานของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จะมีไม่น้อยที่เมินเฉยและมีอคติกับมนุษย์ชั้นรอง แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้มีความรู้สึกเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง
สำหรับบรรดากองกำลังใหญ่บนแดนธุลีนั้น เรื่องที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ยอมรับกลุ่มมนุษย์ชั้นรองเข้าเป็นเมืองบริวารก็เป็นที่เปิดเผยล่วงรู้ไปทั่วอยู่แล้ว
นอกจากนั้นหากพูดกันอย่างเฉพาะเจาะจงแล้ว พนักงานส่วนใหญ่ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เองก็ไม่ถือว่าเป็นมนุษย์สายพันธุ์ ‘บริสุทธิ์’ เช่นกัน ในเมื่อคนบางกลุ่มเชื่อว่าการปรับปรุงพันธุกรรมเป็นการละเมิดกฎธรรมชาติ ดังนั้น ‘ผู้ถูกเลือก’ เองจึงมีสถานภาพที่ไม่ต่างจากมนุษย์ชั้นรองเท่าไหร่
หลังจากพูดเรื่องนี้จบไปแล้ว จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มขึ้นมา
“ฉันเจอเรื่องน่าสนใจมาเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรเหรอ” หลงเยว่หงช่วยไว้หน้า ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ มองดูกระจกหลัง
“หานวั่งฮั่วบอกตลอดว่าตัวเองเห็นแก่ตัว การกระทำต่างๆ ที่ดูดีนั่นก็มีจุดประสงค์เพื่อทำให้ตัวเองดูเหมือนมนุษย์”
ตอนนี้ไป๋เฉินที่กำลังขับรถก็พูดเรียบๆ แทรกขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“เขาเกิดมาเป็นคนเร่ร่อนแดนร้าง เป็นมนุษย์ชั้นรองที่ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ การที่สามารถมีชีวิตอยู่รอดจนมาเข้าร่วมกับชุมชนศิลาแดงได้ย่อมไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นคนดีอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่องแน่”
คำพูดเช่นนี้ ไป๋เฉินเองก็ใช้ประเมินตัวเองด้วยเช่นกัน เพียงแค่ตัดคำว่า ‘ชั้นรอง’ ออกจากคำว่า ‘มนุษย์ชั้นรอง’ เท่านั้นเอง
“ฉันเข้าใจ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงออกว่าเข้าใจเป็นอย่างดี “ตอนแรกเขาต้องมีพวกคำคุณศัพท์จำพวก ‘ดุร้าย’ ‘เจ้าเล่ห์’ กำกับเอาไว้แน่นอนอยู่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้พวกนายก็รู้สึกเหมือนกันใช่ไหมล่ะว่าหลังจากที่แกล้งทำเป็น เอ่อ… ‘อัศวิน’ มานาน ทัศนคติที่เขาใช้ตัดสินเรื่องราวต่างๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฮื่อ… ก็อย่างเช่นที่บอกว่า ‘ความคิดร้ายนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ควรตัดไฟตั้งแต่ต้นลมดีกว่า’ น่ะ”
หลงเยว่หงนึกทบทวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถามด้วยความสงสัย
“การเสแสร้งแกล้งทำสุดท้ายก็กลายเป็นของจริงสินะ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา “นี่สามารถใช้เป็นพิมพ์เขียวในงานวิจัยแบบง่ายๆ เรื่องพฤติกรรมนั้นสามารถแปรเปลี่ยนจิตใจได้ยังไง”
“แล้วนี่ไม่ดีเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าที่ถอดหน้ากากออกแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตา
“ถ้าไม่ใช่เรื่องดี ฉันก็คงไม่คิดจะรายงานกลับไปที่บริษัทหรอกว่าพอจะเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปในรายการสังเกตและศึกษาได้หรือเปล่า”
พูดถึงตรงนี้เธอก็หันหน้าไปถามไป๋เฉิน
“เสี่ยวไป๋ ตอนนั้นเธอติดต่อกับทางบริษัทได้ไงน่ะ”
ไป๋เฉินลังเลไปชั่วขณะ
“ก็… ยื่นใบสมัครไปน่ะ…”
“หือ” เจี่ยงไป๋เหมียนตกตะลึง
ซางเจี้ยนเย่าจินตนาการฉากนั้นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“บริษัทไปตั้งบูธอยู่ริมถนนในเมืองหญ้าไพร แขวนป้ายผืนใหญ่เขียนไว้ว่า ‘จุดรับสมัครงานผานกู่ชีวภาพ’ อย่างนั้นสินะ”
เดิมทีเจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะด่าไปสักคำว่าคิดอะไรไร้สาระ ทว่าเธอก็กระดากที่จะพูดออกไปเพราะตัวเองก็คิดภาพแบบนั้นอยู่ในหัวเหมือนกัน
ไป๋เฉินสั่นศีรษะ
“ตอนนั้นฉันเข้าร่วมกับทีมนักล่าซากอารยะทีมหนึ่งเพื่อจะไปรับภารกิจที่ต้องใช้หลายคนช่วยกันทำ
“หลังจากทำภารกิจเสร็จไปสองสามงาน หัวหน้าทีมก็มาหาฉัน ถามว่าอยากเข้าร่วมกับ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ หรือเปล่า
“รอจนตรวจสอบเบื้องต้นผ่านและได้เข้าไปในอาคารใต้ดินแล้ว ฉันถึงจะรู้ว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะมีทีมนักล่าแนะนำฉันให้กับทางบริษัท บอกว่าฉันรู้จักแดนร้างบึงดำค่อนข้างดี
“ดังนั้นทีมนักล่าที่ฉันไปเข้าร่วมในตอนนั้นถึงได้กำหนดคุณสมบัติของสมาชิกใหม่ที่ตามหาให้ตรงกับฉันน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ
“อย่างนี้นี่เอง ฉันยังคิดว่าเธอไปเจอกับทีมที่รับภารกิจของบริษัท จากนั้นกลายเป็นสถานการณ์ไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน[2] เสียอีก”
ในระหว่างที่พูดคุย รถจี๊ปของพวกเขาก็แล่นอย่างไม่เร็วไม่ช้า ตรงไปยังโบสถ์นิกายตื่นตัวซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของซากเมือง
* * * * *
[1] คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอว (站着说话不腰疼) หมายถึง หากไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่อาจเข้าใจได้
[2] ไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน (不打不相识) หมายถึง ได้รู้จักกันเพราะมีเรื่องขัดแย้งหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน