รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 230 หาคน
เมื่อได้ยินคำพูดของเลห์แมน เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งสวมหน้ากากอยู่ก็หัวเราะออกมา
“อะไรจะบังเอิญขนาดนี้”
หลังจากหยุดไปอึดใจเธอก็พูดเสริม
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าภารกิจของคุณนั้นเกี่ยวข้องกับ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ จำเป็นต้องให้พวกเราออกไปที่อื่น”
เมื่อเห็นไมตรีจิตจากทีมนักล่าซากอารยะลึกลับ เลห์แมนก็คลี่ยิ้มออกมา
“ถ้าหากพวกคุณต้องการละก็ ผมก็มีภารกิจเกี่ยวกับ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ อีกหลายเรื่องเลยล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างกระตือรือร้นทันที
“มีอะไรบ้างเหรอ”
ฉันก็แค่พูดตามมารยาทไปอย่างนั้นเอง… เลห์แมนถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
เรื่องของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ นั้น เขาเชื่อว่ามีฝีมือดีไม่สู้มีเส้นสายดี
เจี่ยงไป๋เหมียนแอบหัวเราะ ระหว่างที่สั่งหลงเยว่หงกับไป๋เฉินให้ทำอาหารต่อไป เธอก็พูดกับเลห์แมน
“ไหนลองว่าภารกิจของคุณมาสิ แต่ยังไม่ได้บอกว่าพวกเราตกลงจะรับงานนะ”
ฟู่… เลห์แมนถอนใจโล่งอก
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ตอนที่ผมยังเป็นพนักงานของวิสาหกิจทหารแห่งหนึ่งของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ผมเคยได้รับความช่วยเหลือจากนักล่าซากอารยะคนหนึ่ง
“ชื่อของเขาคือลาร์ส อายุน้อยกว่าผมนิดหน่อย ยิงปืนแม่นมาก ต่อสู้ก็เก่ง เขาเป็น ‘นักล่าอาวุโส’
“ต่อมาพวกเราก็ได้เจอกันบ่อยครั้ง เขาช่วยผมไว้เยอะมาก ผมเองก็มอบหมายภารกิจให้เขาไปไม่น้อย ทำให้ชีวิตเขานับได้ว่าไม่เลว…”
หลังจากเท้าความเรื่องในอดีตแบบย่อๆ ไป สุดท้ายเลห์แมนก็พูดว่า
“สรุปก็คือเขาเป็นเพื่อนรักของผม”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเขา” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
หลงเยว่หงที่กำลังช่วยไป๋เฉินทำอาหารอยู่พลันหูกระดิกขึ้นมาทันที
เรื่องนี่ดูท่าทางน่าสนใจแฮะ…
สีหน้าของเลห์แมนค่อยๆ กลายเป็นเคร่งเครียดขึ้น
“เขาหายตัวไป
“ราวๆ หนึ่งปีก่อน เขาหายตัวไปในชุมชนศิลาแดง”
“ก่อนจะหายตัวไป เขาได้พูดอะไรกับคุณบ้างหรือเปล่า” คนที่ถามประโยคนี้ออกมานั้นไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียน แต่เป็นซางเจี้ยนเย่าที่กำลังใช้มือหนึ่งกอดอกส่วนอีกมือหนึ่งลูบคาง
นี่ถ้าหากว่ามีไปป์ยาสูบอยู่ในมือด้วยละก็ เขาจะเลียนแบบท่าทางของนักสืบชื่อดังจากในละครวิทยุได้เหมือนเปี๊ยบ
เลห์แมนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ
“ก่อนหน้านั้นชุมชนบ้านเกิดของเขาถูกโจมตี น้องสาวเขาที่รอดชีวิตมาได้ถูกลักพาตัวไปเป็นทาส
“เขาพยายามตามหาน้องสาวมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเขามาบอกผมด้วยความดีใจมากว่าได้พบเบาะแสแล้ว ยืนยันได้ว่าน้องสาวถูกขายมาที่ชุมชนศิลาแดง และนอกจากนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเธอน่าจะกลายเป็นคนรับใช้ของ ‘นาวาบาดาล’ ไปแล้ว
“ผมคิดว่าการไถ่ตัวคนออกมาจาก ‘นาวาบาดาล’ ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเท่าไหร่ ก็เลยบอกเขาไปว่าขอเพียงแค่ยืนยันได้ว่าน้องสาวเขาอยู่ที่นั่นจริงๆ ผมจะช่วยเหลือเรื่องวัตถุปัจจัยให้เขาเอาไปไถ่ตัวน้องสาวเอง
“จากนั้นเขาก็รีบออกเดินทางมายังชุมชนศิลาแดง สหายผมบอกว่าเขามาถึงแล้ว แต่ว่าสองสามวันหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาอีกเลย
“เขาหายตัวไปแบบนี้แหละ”
เมื่อเล่าจนมาถึงส่วนท้าย น้ำเสียงของเลห์แมนก็หม่นหมอง
“คุณสงสัยว่าการหายตัวไปของเขาเกี่ยวข้องกับ ‘นาวาบาดาล’ สินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้น
“บางทีเขาอาจเกิดข้อพิพาทกับใครในชุมชนศิลาแดง ก็เลยถูกฆ่าปิดปากอย่างเงียบๆ ถูกมัดกับก้อนหินแล้วจับถ่วงทะเลสาบก็ได้” ซางเจี้ยนเย่าเสนอความเป็นไปได้อย่างอื่น
บนแดนธุลีนั้น นอกจากสถานที่ของกองกำลังหลักแล้ว สถานที่อื่นๆ ล้วนแต่ไร้กฎระเบียบ มีแต่ความวุ่นวาย การฆ่าคนชิงทรัพย์นับได้ว่าพบเห็นอยู่บ่อยครั้ง
เลห์แมนสั่นศีรษะทันที
“ถ้าเป็นที่นิคมอื่น เรื่องนั้นก็อาจเป็นไปได้ แต่ในชุมชนศิลาแดงนี่ พวกคุณก็รู้ว่าชาวชุมชนชอบซ่อนตัวกันขนาดไหน ถ้าไม่ใช่เรื่องพิพาททางการค้าก็ยากที่คนต่างถิ่นจะเกิดข้อพิพาทกับพวกเขาได้ อ้อ ผมยังเขียนจดหมายให้ลาร์สติดตัวไว้ด้วยเพื่อให้ไปหาสหายผมสองสามคน ฝากฝังให้ช่วยดูแลเขาหน่อย”
“อย่างเช่นเฮลเว็กสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่” เลห์แมนไม่ปฏิเสธ
ก่อนเฮลเว็กจะเสียชีวิตก็นับได้ว่าเป็นคู่ค้าทางธุรกิจตัวหลักของเขาในชุมชนศิลาแดง การเรียกเขาสักคำว่าเป็นเพื่อนกันก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปนัก
ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกคึกคักขึ้นมาทันที
“หรือจะเป็นฝีมือเฮลเว็ก
“ความสัมพันธ์ของเขากับภรรยาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ลาร์สมาพักอยู่ที่บ้านเขา แถมยังเป็นนักล่ามากความสามารถ ทั้งสองคนก็เลยพัฒนาความสัมพันธ์ไปอย่างรวดเร็ว แล้วพอเฮลเว็กรู้เข้าก็เลยพลั้งมือฆ่าเพราะบันดาลโทสะ”
ละครวิทยุของบริษัทเดี๋ยวนี้เอาเรื่องแบบนี้มาออกอากาศเป็นปกติแล้วเหรอเนี่ย… หือ ทำไมเรื่องนี้มันฟังคุ้นๆ แฮะ… นี่มันเรื่องแวร์ตูร์เป็นชู้กับเมียเจ้านายแล้วถูกจับได้คาหนังคาเขา เอามาผสมกับสาเหตุที่มุขนายกเรนาโต้ป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ แล้วก็ยำเข้ากับเรื่องที่เฮลเว็กตกใจจนตายในช่องระบายอากาศนี่นา… เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มค่อยๆ เข้าใจที่มาที่ไปเกี่ยวกับแรงบันดาลใจของซางเจี้ยนเย่า
เลห์แมนส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล
“เป็นไปไม่ได้”
“คุณมีหลักฐานอะไร” ซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้าไม่ยอมรับ
เลห์แมนลังเลไปชั่วขณะ แล้วประสานมือเข้าด้วยกัน
“เขาไม่มีทางเป็นชู้กับเทเรซ่า เพราะว่าเขาชอบผู้ชาย”
นี่มัน… เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูพ่อค้าอาวุธที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็ส่งสายตาให้ซางเจี้ยนเย่าเพื่อปรามไม่ให้เขา ‘อนุมาน’ ต่อแล้วพูดอะไรทำนองว่า ‘ผมเข้าใจแล้ว ที่จริงแล้วลาร์สกับเฮลเว็กต่างหากที่เป็นชู้กัน พอเทเรซ่ารู้เรื่องนี้เข้าก็อับอายกลายเป็นโทสะ จากนั้นก็ให้ชายชู้มุขนายกเรนาโต้ช่วยจัดการเชือดมือที่สามทิ้งซะ’
เรื่องที่มันวุ่นวายอีนุงตุงนังและซับซ้อนยุ่งเหยิงแบบนี้อย่าพูดออกไปดีกว่า ไม่งั้นคงทำให้เลห์แมนปวดใจแย่
ซางเจี้ยนเย่าส่งสายตาเศร้าใจกลับมา หุบปากสนิท
เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
“หลังจากนั้นคุณพบเบาะแสอะไรเพิ่มเติมอีกไหม”
เลห์แมนนิ่งไปสองสามวินาทีถึงจะพูดออกมา
“ผมรู้มาว่าเขาไปที่ ‘วีซ่าเทรดดิ้งคอมพานี’ และได้พบกับพ่อบ้านของดิมาร์โก้ที่ชื่ออูลล์ริช
“นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีเบาะแสอะไรอีกแล้ว ผมระดมพวกลูกน้อง อีกทั้งยังว่าจ้างคนจำนวนมากในชุมชนศิลาแดงให้ช่วยตรวจสอบ ‘นาวาบาดาล’ แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย
“ผมยังไปหาอูลล์ริชด้วยตัวเอง แต่เขาบอกว่าพอลาร์สรู้ว่าน้องสาวป่วยและเสียชีวิตไปแล้วก็หายตัวไปเลย ใช่แล้วล่ะ น้องสาวของลาร์สได้เข้าไปใน ‘นาวาบาดาล’ และได้กลายเป็นคนรับใช้อยู่ในนั้น แต่ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นก็ป่วยเสียชีวิต”
เสียชีวิตเพราะป่วย… เจี่ยงไป๋เหมียนพลันนึกถึงคำพูดของวีลก่อนหน้านี้ขึ้นมา
ดิมาร์โก้เป็นคนโหดร้ายมาก ชอบระบายโทสะใส่คนใช้ ไม่ใส่ใจกับชีวิตคน
เลห์แมนมองหญิงสาวที่สวมหน้ากากหลวงจีนรูปงาม หลังจากไตร่ตรองแล้วก็พูดขึ้น
“เมื่อเร็วๆ นี้ผมเพิ่งได้รับข้อมูลมาจากทางเฮลเว็ก
“‘นาวาบาดาล’ ยังมีทางเข้าออกจุดอื่นอยู่ที่ไหนสักแห่งในภูเหล็ก ที่นั่นมีคนเข้าๆ ออกๆ อยู่บ่อยๆ”
ภูเหล็กอยู่ทางทิศเหนือของซากเมือง เป็นที่อยู่ของปีศาจภูเขา อีกด้านหนึ่งของเทือกเขาภูเหล็กมีซากปรักแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในช่วงกลียุค ชื่อว่า ‘เมืองภูเหล็ก’
นี่สอดคล้องกับข้อมูลที่วีลบอกมา… เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญแล้วถามต่อ
“เฮลเว็กรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
เลห์แมนไม่มีเจตนาปกป้องผู้วายชนม์
“เขารู้เรื่องนี้มาจากอันเฮอบัส ส่วนอันเฮอบัสก็ได้ยินมาจากพวกปีศาจภูเขาอีกที”
นั่นสินะ อันเฮอบัสกับปีศาจภูเขาลักลอบทำการค้ากัน… เดี๋ยวนะ… ‘นาวาบาดาล’ มีทางออกอยู่ที่ไหนสักแห่งในภูเหล็ก และที่นั่นต้องอยู่ไม่ไกลจากที่อยู่ของปีศาจภูเขาแน่นอน ถ้าดิมาร์โก้ต้องการขายข้อมูลของชุมชนศิลาแดงก็สามารถทำได้โดยเทพไม่รู้ผีไม่เห็น… เจี่ยงไป๋เหมียนเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“พิกัดอยู่ตรงไหน” เธอถามขึ้น
เลห์แมนหยิบแผนที่ฉบับวาดด้วยมือออกมาแล้วชี้ไปที่วงกลมสีแดงบนนั้น
“ที่นี่”
จากนั้นเขาก็อธิบายต่อทันทีว่าสัญลักษณ์ต่างๆ บนแผนที่หมายถึงอะไร เพื่อให้ ‘ทีมเฉียนไป๋’ หาที่หมายได้อย่างแม่นยำ
เมื่อพูดเรื่องนี้จบ เลห์แมนก็หยิบภาพถ่ายออกมาใบหนึ่ง
“ภาพนี้ลาร์สถ่ายก่อนเขาจะหายตัวไปได้ไม่นาน”
เจี่ยงไป๋เหมียนรับภาพถ่ายมา เมื่อมองดูก็เห็นว่าลาร์สนั้นเป็นชายหนุ่มซึ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์
เขามีผมสั้นสีป่าน ดั้งจูมกโด่ง ดวงตาสีฟ้าอ่อน มีเคราบางๆ รอบปาก ลักษณะเฉพาะก็คือปานเล็กๆ สีน้ำเงินอยู่ที่หน้าผาก
ส่วนความสูงนั้นไม่อาจรู้จากภาพถ่ายได้
หลังจากเจี่ยงไป๋เหมียนดูภาพแล้ว เลห์แมนพิจารณาอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา
“ผมไม่ได้ขอให้พวกคุณตอบรับในตอนนี้ แค่หวังว่าในระหว่างที่พวกคุณตรวจสอบ ‘นาวาบาดาล’ ก็ช่วยดูให้สักหน่อย
“ถ้าหากสามารถหาที่อยู่เขาได้ หรือว่าพบเบาะแสที่เกี่ยวข้องได้เมื่อไหร่ ก็มาหาผมเพื่อรับค่าตอบแทนได้ตลอดเวลา”
เป็นคนที่รู้ความมาก… อืม ไม่อย่างนั้นก็คงกลายมาเป็นพ่อค้าอาวุธผู้มั่งคั่งไม่ได้หรอก… ปัญหาเดียวก็คือไอ้ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตัวแบบนี้ เขาจะแสดงออกมาก็เฉพาะกับคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองเท่านั้นแหละ… เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ
“พวกเราจะช่วยดูให้”
“คุณจะให้อะไรเป็นค่าตอบแทน” ซางเจี้ยนเย่าถามแทรกขึ้น
คราวนี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ถลึงตาใส่เขา เพราะนั่นก็เป็นสิ่งที่เธออยากถามเช่นกัน
เลห์แมนเผยรอยยิ้มออกมา
“ก็อย่างเช่นชุดเกราะเสริมแรงทางทหารรุ่นที่ใหม่กว่า แต่อาจจะต้องรออีกสักปีถึงจะมีโอกาสได้มา
“แล้วก็ยังมีแขนกลมัลติฟังก์ชั่นรุ่น T1 ถ้าเป็นอันนี้ก็รอแค่ครึ่งปี อ้อ ไม่ได้รวมค่าปลูกถ่ายนะ
“นอกจากนี้ก็ยังมีรถหุ้มเกราะ รถถัง ปืนใหญ่สารพัดชนิด…”
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างเงียบๆ จนจบแล้วเอ่ยปากเตือนประโยคหนึ่ง
“คุณอย่าเพิ่งคาดหวังอะไรมากนะ”
* * * * *
เมื่อส่งเลห์แมนกลับไปและกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ขับรถจี๊ปตรงไปยังภูเหล็กทางทิศเหนือ
“นี่จะเป็นกับดักหรือเปล่า” ในระหว่างทางหลงเยว่หงก็พูดขึ้นด้วยความระวังตัวอยู่บ้าง
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะขึ้นมา
“ตัดเรื่องที่ว่ามีเหตุผลอะไรถึงจะมาจัดการกับพวกเราไปก่อนก็แล้วกัน ต่อให้มีจริงๆ ก็เถอะ ความแข็งแกร่งของทีมเราตอนนี้น่ะ ยกระดับขึ้นมาแล้ว ตอนนี้กลายเป็นทีมที่สามารถถล่มนิคมคนเร่ร่อนได้จริงๆ แล้ว”
หลงเยว่หงรู้ว่าที่หัวหน้าทีมพูดถึงก็คือชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร ทำให้เขารู้สึกเป็นสุขสุดๆ
ในระหว่างที่พูดคุยกัน พวกเขาใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงเดินทางมาตามแผนที่ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงภูเหล็ก พบกับทางออกของ ‘นาวาบาดาล’ ที่ซ่อนอยู่เชิงเขา
ที่แห่งนี้เป็นหุบเขา ด้านในมีเส้นทางสายเล็กๆ นำไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ทางเข้าของ ‘นาวาบาดาล’ อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ให้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ เข้าไปทันที แต่ไปหาที่สูงเพื่อให้สะดวกต่อการเฝ้าสังเกตแล้วซ่อนตัวคอยจับตาดูทางเข้าถ้ำเอาไว้
เวลาผ่านไปทีละนาที ทีละวินาที ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง หลงเยว่หงนั่งยองรอจนแทบทนไม่ไหว
เขาหันหน้าไปมองซางเจี้ยนเย่าที่ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ ถามอย่างไม่จริงจัง
“นายไม่เบื่อบ้างหรือไง”
“ตอนนี้ฉันเป็นก้อนหิน ก้อนหินไม่มีความรู้สึก ไม่มีการเบื่อ” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่หันมามอง
“…” หลงเยว่หงอดสวนกลับไปประโยคหนึ่งไม่ได้ “ก้อนหินพูดไม่ได้สักหน่อย”
“ฉันกำลังแสดงเป็นก้อนหินพูดได้” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
โง่จริง… ฉันนี่มันโง่ชะมัด… หลงเยว่หงด่าตัวเองในใจประโยคหนึ่ง แต่ก็รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ดีกว่านั่งรอเฉยๆ
แล้วในตอนนี้เองก็มีสองคนออกมาจากถ้ำ พวกเขาแบกกระสอบหนักๆ ออกมาด้วย