รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 231 ผู้ตาย
คนทั้งคู่ที่ออกมาจากถ้ำนั้นแต่งกายด้วยเครื่องแบบสีเขียวมะกอก สะพายปืนกลมือเอาไว้ทั้งสองคน ดูแล้วน่าจะเป็นยามของ ‘นาวาบาดาล’
พวกเขาเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ ก็แบกกระสอบหนักเดินลึกเข้าไปในหุบเขา
เพียงไม่นานพวกเขาก็เจอพื้นดินที่ค่อนข้างนุ่ม จากนั้นก็หยิบพลั่วออกมาจากกระสอบ
เจี่ยงไป๋เหมียนส่งสายตาให้ลูกทีม แล้วพาพวกเขาลงจากที่สูงอย่างเงียบเชียบ ไปยังจุดที่อยู่ไม่ห่างจากยามของ ‘นาวาบาดาล’ ทั้งสองคนมากนัก
“ไปได้” จากนั้นเธอก็ลดเสียงพูดกับซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าไม่ปัดความรับผิดชอบ เขาถือปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ รีบออกจากที่ซ่อนตัวแล้วตะโกนใส่ยามของ ‘นาวาบาดาล’ ทั้งสองคนที่กำลังขุดหลุมอยู่
“พวกคุณถูกล้อมไว้แล้ว!”
ยามทั้งสองตกใจสะดุ้งโหยง รีบโยนพลั่วทิ้งพร้อมกันแล้วแยกย้ายไปหาที่กำบังทันทีเพื่อหลบการยิงในระลอกแรก
ทว่าพวกเขาเพิ่งจะทำเพียงแค่ขั้นตอนแรกเสร็จ ก็พลันเห็น ‘ปากกระบอก’ ปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ สีดำทะมึน รวมทั้งปืนยิงลูกระเบิดที่พร้อมยิงได้ทุกขณะ
ระหว่างที่ความคิดกำลังวิ่งพล่าน พวกเขาก็หยุดการกระทำ ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาประสานไว้ที่ท้ายทอย นั่งยองลงไปช้าๆ
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงเดินเข้ามาหาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องกลัว พวกเรามาที่นี่เพื่อทำความรู้จักกันเท่านั้นแหละ”
ยามทั้งสองคนของ ‘นาวาบาดาล’ เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน พอมองเห็นปืนไรเฟิลจู่โจมในมือซางเจี้ยนเย่าก็พลันก้มหน้าลงเงียบๆ
พวกเขาทั้งสองคนเป็นคนเชื้อชาติแม่น้ำแดง คนหนึ่งผมสีน้ำตาล อีกคนหนึ่งผมบลอนด์ คนหนึ่งดวงตาสีฟ้า อีกคนดวงตาสีน้ำตาล มีเคราด้วยกันทั้งคู่ หน้าตาไม่มีจุดเด่นเป็นพิเศษ ถ้าหากต้องการหาลักษณะเด่นออกมาให้ได้จริงๆ ก็คงบอกว่าคนหนึ่งจมูกโตนิดหน่อย อีกคนคิ้วค่อนข้างดกสักหน่อย
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มออกมา
“พวกคุณดูสิ
“ผมไม่ได้ยิงพวกคุณสักหน่อย แถมยังคุยด้วยแบบสุภาพและใจเย็น
“แล้วก็ไม่ได้บอกให้พวกคุณวางอาวุธ ยอมให้ผมฆ่าแกงแต่โดยอีกด้วย
“ดังนั้น…”
พอได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ยามทั้งสองคนก็พลันรู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างเป็นมิตรและดูเหมือนว่าจะมาที่นี่เพื่อมาทำความรู้จักจริงๆ
“ก็น่าจะบอกกันก่อน ทำเอาพวกเรากลัวจนฉี่แทบเล็ด” ยามคนที่จมูกโต ผมน้ำตาลตาฟ้า ค่อนข้างกล้ากว่าเล็กน้อย เขารีบยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“คุณชื่ออะไร” ซางเจี้ยนเย่าแสดงไมตรี
ยามคนนั้นตอบอย่างเป็นกันเอง
“เรียกผมว่าโจเซฟก็ได้ ส่วนเขาชื่อพอล
“แล้วคุณล่ะ”
“จางชวี่ปิ้ง” ซางเจี้ยนเย่าใช้ภาษาแม่น้ำแดงพูดชื่อปลอมของตัวเอง
“พวกคุณเป็นคนภาษาธุลีเหรอ” โจเซฟได้ยินชื่อที่ถูกแปลก็ถามออกมาอย่างเป็นอันเข้าใจได้
“มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องแบ่งเขาแบ่งเรา แบ่งเป็นคนพวกนั้นคนพวกนี้หรอก” ซางเจี้ยนเย่าเน้นความคิดเห็นของตนเอง
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเดินมาถึงหน้ากระสอบแล้วนั่งยองลงไป
เธอค่อยๆ ดึงปากกระสอบเปิดอย่างระวัง ทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
นี่เป็นศพมนุษย์ศพหนึ่ง
เขาสวมชุดอย่างเป็นทางการสีดำ เส้นผมมีผมหงอกแซมเล็กน้อย มีรอยเลือดอยู่บนหน้าอก
“พ่อบ้านคาร์ล!” เจี่ยงไป๋เหมียนจำศพนี้ได้ทันที
นี่คือคาร์ล หนึ่งในสามพ่อบ้านของดิมาร์โก้ รับผิดชอบเรื่องธุรกิจค้าอาวุธ
เขาเพิ่งจะพูดคุยกับผู้แจ้งเตือนซ่งเหอเมื่อเช้า บอกว่าพวกเขาไม่ได้ขายข้อมูลให้กับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา ในตอนนี้ผมที่หวีอย่างประณีตของเขากลายเป็นยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง
เพิ่งจะผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็กลายเป็นซากศพเย็นชืดไปเสียแล้ว
“พ่อบ้านคาร์ล…” หลงเยว่หงทวนคำด้วยความประหลาดใจ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าที่อยู่ในกระสอบจะเป็นศพของเขา
ตอนแรกเขายังคิดว่าเป็นคนรับใช้ที่ดิมาร์โก้โกรธเสียอีก
แต่ถ้าจะพูดให้ตรงความหมาย พ่อบ้านเองก็เป็นคนรับใช้เช่นกัน
“พ่อบ้านคาร์ลตายได้ยังไง” ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยถามยามของ ‘นาวาบาดาล’ ทั้งสองคนที่ตอนนี้ได้สร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกันเรียบร้อยแล้ว
ในครั้งนี้เขาไม่ได้ทำการ ‘สร้างเพื่อน’ โดยตรง แต่ใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อจำลองผลของการเป็นมิตรของผู้แจ้งเตือนซ่งเหอ
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ตรวจสอบคร่าวๆ ไปแล้ว ยืนยันในเบื้องต้นได้ว่าคาร์ลเสียชีวิตเพราะกระสุนที่หน้าอก
โจเซฟจมูกโตมีสีหน้าหม่นหมอง
“ถูกมิสเตอร์ดิมาร์โก้ฆ่าน่ะ”
“ทำไมล่ะ” หลงเยว่หงโพล่งถามออกมา
เขาจำได้ว่าพ่อบ้านคาร์ลเป็นคนที่มีจิตใจซื่อสัตย์คนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าทั้งๆ ที่เป็นสาวกนิกายตื่นตัว แต่เพื่อช่วยดิมาร์โก้ดำเนินธุรกิจค้าอาวุธ เขาจึงเลือกไม่ซ่อนตัว
พอลคิ้วหนากับโจเซฟมองหน้ากันแล้วพูดอย่างลังเล
“หลังจากได้พบกับผู้แจ้งเตือนนิกายตื่นตัวเมื่อตอนสายแล้ว พ่อบ้านคาร์ลก็ต้องการพบกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้
“ตอนนั้นมิสเตอร์ดิมาร์โก้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง ต้องรอให้ตอนบ่ายก่อนถึงจะอนุญาตให้เข้าไปได้
“พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน รู้แค่ว่าต่อมาพวกเขาก็ทะเลาะกัน มิสเตอร์ดิมาร์โก้โมโหก็เลยชักปืนออกมายิงพ่อบ้านคาร์ลตาย”
เจี่ยงไป๋เหมียนลุกขึ้นยืนในเวลาเดียวกับที่ซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าเป็น ‘นักสืบชื่อดัง’ เอ่ยถามออกมาตามบทบาท
“ตอนที่ทะเลาะกัน พวกคุณเห็นกับตาหรือเปล่า”
โจเซฟส่ายหน้า
“จู่ๆ พวกเราก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังออกมาจากข้างใน กว่าจะเปิดประตูเข้าไปเพื่อปกป้องมิสเตอร์ดิมาร์โก้ เขาก็ยิงพ่อบ้านคาร์ลตายไปแล้ว
“เรื่องที่ว่าทะเลาะกันนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาเล่าให้ฟัง”
อย่าบอกนะว่าพอพ่อบ้านคาร์ลคุยกับผู้แจ้งเตือนซ่งเสร็จก็รีบกลับไปที่ ‘นาวาบาดาล’ เพราะนึกอะไรออก และเริ่มสงสัยว่าดิมาร์โก้ขายข้อมูลเกี่ยวกับมุขนายกเรนาโต้ให้ปีศาจภูเขาจริงๆ จากนั้นก็พยายามจะไปขอคำอธิบายแต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ดิมาร์โก้โกรธก็เลยถูกยิงตาย… แต่ว่านี่มันไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ของคาร์ลสักเท่าไหร่… ในใจเจี่ยงไป๋เหมียนผุดการคาดเดาต่อเนื่องเป็นชุด
แล้วทันใดนั้นเธอก็พลันคิดถึงรายละเอียดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างเฉียบไว จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“ตอนที่มิสเตอร์ดิมาร์โก้คุยกับพ่อบ้านคาร์ล ไม่มีคนอื่นอยู่ข้างๆ เลยใช่ไหม”
ในคราวจำเป็นจริงๆ ถึงค่อยเรียกให้ยามเข้ามาช่วย
โจเซฟตอบ
“ใช่ นอกจากว่ามีเรื่องที่ต้องสื่อสารกัน ไม่งั้นมิสเตอร์ดิมาร์โก้จะไม่ให้ใครอยู่ในห้อง เขาไม่ชอบน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าเดาะลิ้นขึ้น
“เขาสมกับเป็นสาวกดีเด่นของนิกายตื่นตัวจริงๆ”
เมื่อหลงเยว่หงได้ฟังคำอธิบายนี้ก็พบความขัดแย้งบางอย่าง
ในฐานะสมาชิกของนิกายตื่นตัว ตอนที่ดิมาร์โก้อยู่คนเดียวก็ย่อมไม่กลัวถูกคนอื่นจู่โจมอยู่แล้ว แต่นี่กลับให้ยามทุกคนอยู่นอกห้อง นี่มันเลินเล่อเกินไปแล้ว!
“บางทีเขาอาจจะศรัทธา ‘ธชียมโลก’ แค่ในนามก็ได้” ไป๋เฉินรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้และสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
ยามคิ้วหนาชื่อพอล รีบปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่ มิสเตอร์ดิมาร์โก้เป็นสาวกที่เคร่งมาก
“เขาสวมหน้ากากอยู่เสมอ ปีที่แล้วก็สวมทุกวัน นอกจากตอนนอนแล้วเขาก็ไม่ถอดออกเลย”
ซางเจี้ยนเย่าท้วงขึ้นทันที
“คุณรู้ได้ไงว่าตอนนอนเขาถอดหน้ากาก”
พอลลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ผม… ผมคิดเอาเองน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าลูบคางแล้วถามต่อ
“เขาขึ้นเตียงกับผู้หญิงบ้างไหม เอ่อ… ผู้ชายก็รวมด้วยนะ”
“มีสิ เขามีผู้หญิงหลายคน” ถึงแม้โจเซฟจะรู้สึกว่าคำถามฟังดูทะแม่งทะแม่ง แต่ก็ยังตอบออกมาตามตรง
ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงหัวเราะออกมา
“งั้นตอนที่เขากำลังทำเรื่องอย่างว่า ได้ถอดหน้ากากด้วยหรือเปล่า”
โจเซฟกับพอลมองหน้ากันแล้วพยายามนึกทบทวน
ผ่านไปครู่หนึ่งพอลก็พูดขึ้น
“ผมได้ยินพวกสาวใช้ที่เคยขึ้นเตียงกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้บอกว่าบางครั้งก็สวม แต่บางครั้งก็ไม่ได้สวม”
“ใช่ ใช่” โจเซฟนึกถึงข่าวลือบางเรื่องขึ้นมา “ช่วงปีแรกๆ มิสเตอร์ดิมาร์โก้ไม่ได้สวมหน้ากากบ่อยนักหรอก แต่ช่วงหลังนี้เหมือนว่าจะสวมบ่อยขึ้น”
“เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
“ผมไม่รู้” โจเซฟกับพอลสั่นศีรษะพร้อมกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ
“เมื่อเร็วๆ นี้ตอนที่เขาคุยกับมุขนายกเรนาโต้ ได้สวมหน้ากากไว้หรือเปล่า”
“สวม สวม ช่วงหนึ่งปีมานี้ เขาสวมทุกวันเลย” โจเซฟตอบเต็มปากเต็มคำ
ช่วงหนึ่งปีมานี้… เจี่ยงไป๋เหมียนพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ลาร์ส เพื่อนของเลห์แมนหายตัวไปร่วมหนึ่งปีแล้ว!
เรื่องนี้มันชวนให้สับสนมากขึ้นทุกที… เจี่ยงไป๋เหมียนลอบถอนใจ ส่วนซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“การแสดงของดิมาร์โก้กับบรรพบุรุษเขาเป็นไงบ้าง”
การแสดงอะไร… โจเซฟกับพอลรู้สึกงุนงง
เจี๋ยงไป๋เหมียนกลอกตา ถอนหายใจแล้วพยายามฝืน ‘อธิบาย’ ออกมา
“ดิมาร์โก้กับบรรพบุรุษของเขาปกครอง ‘นาวาบาดาล’ ยังไงน่ะ”
โจเซฟกับพอลมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครเอ่ยปากพูด
ซางเจี้ยนเย่ามองพวกเขาแล้วยิ้มออกมา
“แถวนี้ไม่มีใครสักหน่อย”
โจเซฟราวกับได้รับการสนับสนุน จึงสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะพูด
“ทั้งมิสเตอร์ดิมาร์โก้ ทั้งบรรพบุรุษของเขา เรียกได้ว่าในตัวมีสายเลือดความโหดร้ายไหลเวียนสืบทอดกันมาเลยล่ะ
“พ่อแม่ผมก็เป็นคนของ ‘นาวาบาดาล’ เหมือนกัน คนหนึ่งเป็นยาม อีกคนเป็นสาวใช้ พวกเขาเล่าให้ผมฟังว่าทุกปีจะมีคนรับใช้จำนวนมากถูกฆ่าตายด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แล้วก็เอาไปฝังอยู่ในหุบเขานี้แหละ มีเพียงแค่คนจำนวนน้อยที่โชคดีรอดตายมาได้”
“พ่อแม่คุณเป็นคนโชคดีนั่นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามอย่างให้ความร่วมมือ
โจเซฟส่ายหน้าช้าๆ
“เปล่า มิสเตอร์ดิมาร์โก้กับบรรพบุรุษแทบไม่เคยฆ่าพวกยามกับครอบครัวเลย มีเพียงแค่ไม่กี่ปีในช่วงแรกๆ เท่านั้น ตอนนั้นมิสเตอร์ดิมาร์โก้เสียลูกชายไป มียามสองสามคนถูกฆ่าตายเพราะทำให้เขาโกรธ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติน่ะ ต่อให้พวกยามทำอะไรผิดก็ยังได้รับโอกาสอีกสองสามครั้ง”
“เขาเสียใจจนอารมณ์แปรปรวนสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนประเมินออกมาโดยไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ “เกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ดิมาร์โก้เสียลูกชายไป”
โจเซฟย้อนนึก
“ถึงแม้มิสเตอร์ดิมาร์โก้กับบรรพบุรุษจะเป็นคนโหดร้าย แต่ก็รักใคร่ชีวิตที่เกิดใหม่มาก
“ตั้งแต่ปู่ของเขาเป็นต้นมา เจ้าของ ‘นาวาบรรพกาล’ ทุกรุ่นจะมีคู่นอนพร้อมๆ กันมากมายหลายคน มีลูกหลายคน และจะเลือกคนที่โดดเด่นที่สุดมารับช่วงสืบทอด ‘นาวาบาดาล’ ต่อ
“และนอกจากนั้นก็ยังเชียร์ให้ยามกับสาวใช้อยู่กินกัน มีลูกด้วยกัน”
“ทั้งหมดเลยเหรอ…” ซางเจี้ยนเย่าถามทวน
โจเซฟผงกศีรษะ
“ใช่ แบบนั้นเลย อย่างน้อยก็ตามที่พ่อแม่เล่าให้ผมฟังน่ะ”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“ความโหดร้ายของเขาทำให้ความไม่พอใจค่อยๆ สั่งสมมาเรื่อยๆ หลังจากที่พ่อของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ป่วยหนัก พวกคนรับใช้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเริ่มก่อจลาจลขึ้น
“นี่ทำให้ญาติของมิสเตอร์ดิมาร์โก้ตายไปหลายคน จนสุดท้ายเหลือรอดมาได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
“หลังจากปราบจลาจลเสร็จ มิสเตอร์ดิมาร์โก้ก็กลายมาเป็นเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ จากนั้นก็หาคู่นอนจากฝ่ายในมาหลายคน แต่ใครจะรู้ ผ่านไปหลายปีกลับมีลูกเพียงแค่สามคนเท่านั้น ในจำนวนนี้เขารักถนอมลูกคนสุดท้องที่สุดราวกับแก้วตาดวงใจ สุดท้ายกลับกลายเป็นคราวเคราะห์ เด็กคนนี้เกิดป่วยตายไปเมื่อสามปีก่อน
“ในช่วงระหว่างนั้นมิสเตอร์ดิมาร์โก้แทบไม่ต่างจากคนเสียสติเลย”
……….