รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 239 “เทพจุติ”
รถออฟโรดกับรถกระบะอีกสองคันที่เหลืออยู่ท้ายขบวนรีบเบรคจนฝุ่นดินฟุ้งกระจาย ทำให้หยุดรถได้เฉียดฉิวทันเวลาพอดี
ตอนนี้โจรสองสามคนที่รอดชีวิตมาจากรถคันที่สองรีบผลักประตูรถเปิดออกแล้วพุ่งม้วนตัวกลิ้งไปกับพื้นหาที่กำบัง
ถึงแม้ว่าการก้มมุดหลบอยู่ในรถต่อไปน่าจะทำให้รอดพ้นจากการยิงของมือปืนอีกฝ่ายได้ก็ตาม ทว่าเมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเห็นรถคันหน้าถูกระเบิดถล่มกระจุยคาตา ทำให้รู้ตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวรถไม่อาจใช้เป็นเครื่องป้องกันได้อีกต่อไป แต่เป็นโลงศพที่รอบรรจุต่างหาก
ที่บริเวณต้นน้ำซึ่งกลุ่มโจรกำลังรวมตัวกันอยู่นั้น นอกจากเชลยที่ถูกจับตัวไว้ โจรทุกคนต่างก็ลุกพรวดขึ้นมารีบหาที่กำบัง จากนั้นก็เล็งไปยังตำแหน่งหัวมุมหุบเขาที่ถูกบังอยู่
พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นโจรมากประสบการณ์ ถึงแม้พบกับเรื่องไม่คาดฝันแต่ก็ยังแสดงถึงความมีระเบียบแบบแผน
และในตอนนี้ ที่มุมอับสายตาของหุบเขาก็มีเสียงเพลงดังขึ้น
ตามด้วยดนตรีที่มีจังหวะกลองเร่งเร้าเข้มข้นจนทำให้ฮึกเหิมเลือดลมระอุ
ท่ามกลางเสียงกลองก็มีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏต่อสายตากลุ่มโจร
เขาสูง 175 เซนติเมตร ลำคอ หน้าอก หน้าท้อง ล้วนถูกปกป้องไว้ด้วยเกราะโลหะสีดำ แขนขามีโครงโลหะหุ้มเอาไว้ มองเห็นกล่องพลังงานขนาดใหญ่ด้านหลังอย่างเลือนลาง แว่นป้องกันที่ส่วนศีรษะเรืองแสงสีแดง
ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทางทหาร!
ในห้วงความคิดของทั้งหัวหน้าโจรและพวกโจรสิบกว่าคนที่มีความรู้มากสุดในกลุ่ม เกิดคำนี้ผุดวาบขึ้นพร้อมกัน
นี่ทำให้ความหวาดกลัวในใจพวกเขาปะทุออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
วินาทีถัดมา เสียงห้าวของผู้ชายก็ดังจากหุบเขาที่มีควันลอยอยู่เต็ม
“ฝุ่นจากม้าศึกตลบฟุ้งทางเหนือของเจียงซาน…[1]”
หลงเยว่หงกระโดดลอยตัวขึ้นกลางอากาศทันทีท่ามกลางเสียงดนตรีประกอบ
นี่ทำให้ลูกกระสุนทั้งหมดซึ่งพุ่งตรงไปยังตำแหน่งเดิมของเขาล้วนแต่พลาดเป้าหมายไปทั้งสิ้น
ในขณะที่เสียงเพลงดังกึกก้อง หลงเยว่หงที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศก็ยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งลดต่ำลง
ข้างที่ยกขึ้นมานั้นคือมือซ้ายที่ถือปืนกลเบา ส่วนที่ลดต่ำลงก็คือมือขวาที่ติดตั้งปืนยิงลูกระเบิด
เสียงปืนยิงปังๆๆ ดังระรัวเป็นชุด ตัวถังรถถูกกระสุนเจาะเป็นรูพรุน กระจกรถแตกกระจาย กดดันจนทำให้กำลังหลักของพวกโจรที่อยู่ห่างออกไปไม่กล้าชะโงกหน้าโผล่ออกมา
ในระหว่างที่กราดยิงด้วยปืนกลเบาอยู่นั้น ปืนยิงลูกระเบิดก็ถูกยิงออกมา ลูกระเบิดลอยไปตกที่ช่องว่างระหว่างรถคันที่สองและสาม
ตูม!
ลูกบอลเพลิงลูกที่เล็กกว่าเมื่อครู่ระเบิดออก กลืนกินร่างของพวกโจรไปหลายคน
ตูม!
ระเบิดอีกลูกหนึ่งพุ่งลอยออกไปหล่นใส่กระจกหน้ารถคันที่สี่ ระเบิดมันจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสียงกรีดร้องก่อนหน้านี้เงียบกริบลงในทันที
“ผืนธงมังกร เสียงอาชา ตวัดดาบราวเกล็ดน้ำแข็ง…”
ทันทีที่เสียงระเบิดสงบลง เสียงห้าวดุดันของผู้ชายก็กลับมาครอบครองพื้นที่บริเวณนั้นอีกครั้ง
ระหว่างที่เพลงกำลังขับร้องอยู่ หลงเยว่หงก็ทำตามแผนที่วางไว้ เขายืมกำลังจากผนังหินกระโดดไปยังต้นลำธาร
กำลังหลักของกลุ่มโจรพยายามหยุดยั้งเขา ถึงขนาดใช้ปืนยิงระเบิดใส่ แต่ด้วยความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ทำให้เขาหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
นี่ทำให้หลงเยว่หงซึ่งค่อนข้างประหม่าอยู่บ้าง รู้สึกผ่อนคลายลงไปมาก
ความแข็งแกร่งของชุดเกราะเสริมแรงทางทหารนั้นแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนในการต่อสู้ลักษณะนี้
กระโดดไปมาสองสามครั้งเขาก็ร่นระยะห่างจากกลุ่มกำลังหลักของพวกโจร จากนั้นก็ใช้ปืนกลเบาในมือซ้ายกราดยิงอีกครั้ง
เมื่อได้เห็นศัตรูในชุดเกราะเสริมแรงเป็นดุจดั่งเทพผีปีศาจ ตอนนี้หัวหน้าโจรก็ถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ
เขานั่งยองอยู่ด้านหลังรถออฟโรดของตนเองที่เสริมด้วยแผ่นเหล็กหนาหลายชั้น ตะโกนเสียงดังออกมา
“ถอย!”
แผนถอนตัวนั้นนับเป็นเรื่องปกติ โจรกลุ่มนี้ค่อนข้างมีชื่อในย่านนี้ ไม่ใช่พวกกเฬวรากทั่วไปที่มาจับกลุ่มรวมตัวกัน ลูกสมุนโจรหลายคนที่มีปืนยิงระเบิดและปืนกลมือชะโงกออกมาจากที่ซ่อนตัว คอยยิงใส่ศัตรูที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางเสียงปังๆๆ เปรี้ยงๆๆ ตูมๆๆ ที่ดังขึ้นในแต่ละครั้ง ดอกไม้โลหิตพ่นกระฉูดจากร่างโจรมากมาย บ้างก็ล้มลงกลายเป็นซากศพไม่สมบูรณ์
ส่วนทางด้านหลงเยว่หงที่มีความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ได้ใช้การกระโดด ความรวดเร็ว และปฏิกิริยาตอบสนองเหนือมนุษย์ จึงทำให้รอดพ้นอันตรายไร้รอยขีดข่วน
แม้ว่าบางครั้งอาจจะมีกระสุนสองสามนัดที่หลบไม่ทัน แต่เขาก็ยังสามารถลงไปนั่งยอง เอี้ยวตัวยกมือขึ้นมา แล้วใช้โครงโลหะกับเกราะสีดำเพื่อป้องกันอันตรายได้
ทว่าการสละชีพของโจรเจ็ดแปดคนนั่นก็ได้สร้างโอกาสให้กับโจรคนอื่นๆ เช่นกัน พวกมันต่างรีบคว้าอาวุธวิ่งเข้าไปในรถ จากนั้นก็ขับบึ่งตรงไปยังต้นลำธารซึ่งเป็นทางออกอีกแห่งหนึ่งของหุบเขา
รถเคลื่อนตัวออกไปโดยทิ้งวัตถุปัจจัยและเชลยบางส่วนที่นำติดไปด้วยไม่ทันเอาไว้เบื้องหลัง
“เป็นไง อิจฉาไหมล่ะ ไว้กลับไปเมื่อไหร่จะหาให้เธอสักชุดก็แล้วกัน” ที่หัวมุมของผนังหินผา เจี่ยงไป๋เหมียนที่สวมชุดลายพรางสีเทาถามออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้ไป๋เฉินที่อยู่ในตำแหน่งซุ่มยิงข้างตัว
เธอถือปืนบาซูก้าด้วยท่าทีเกียจคร้าน
ถึงแม้ไป๋เฉินจะไม่ได้ตอบคำ แต่นั่นก็คือการตอบรับโดยปริยาย
เธอกำลังหมายหัวศัตรูทุกคนที่สามารถคุกคามหลงเยว่หงได้
การมีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเป็นตัวล่อเป้าอยู่แนวหน้า ทำให้แนวหลังค่อนข้างผ่อนคลายไม่น้อย
ซางเจี้ยนเย่าถือปืนไรเฟิลจู่โจมตะโกนบอกพวกโจรที่ยังเหลือรอดอยู่ให้นั่งยองประสานมือไว้ที่ท้ายทอย
เขาวางลำโพงสีดำก้นสีน้ำเงินตัวเล็กเอาไว้ที่อีกด้านหนึ่งของผนังหินเพื่อไม่ให้มันถูกลูกหลงจากการสู้รบ
สำหรับเจ้าคู่หูตัวน้อยนี้ ซางเจี้ยนเย่าค่อนข้างใส่ใจดูแลมันมาก
เจี่ยงไป๋เหมียนเบนหน้าไปเล็กน้อยเพื่อเหลือบมองไป๋เฉิน จากนั้นก็ใช้ปืนบาซูก้ายิงออกไปด้วยท่าทางเฉื่อยชา
ตูม!
รถคันที่อยู่กลางขบวนของกลุ่มโจรระเบิดเป็นลูกบอลเพลิงสีแดงฉาน
‘มัจจุราช’ เลือกมัน!
รถที่ตามหลังมารีบหักเลี้ยวหลบ ขับอ้อมวิ่งไปยังทางออกหุบเขาโดยไม่คิดจะเหลียวกลับมามองดูแม้แต่น้อย
ในตอนนี้กระสุนที่ยิงกดดันหลงเยว่หงไม่หลงเหลืออีกแล้ว เขายกแขนขวาที่ติดตั้งปืนยิงระเบิดขึ้นมา คิดอยากจะยิงใส่ขบวนรถกลุ่มโจรสักสองสามนัด
ด้วยความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง’ เขาซูมภาพเข้าไปจนมองเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกของพวกโจร
หลงเยว่หงลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ยิงออกไป
ในที่สุดขบวนรถของกลุ่มโจรก็แล่นออกไปจากหุบเขาอย่างรวดเร็ว
“อย่าไล่ตามสุนัขจนตรอก!” เจี่ยงไป๋เหมียนตะโกนออกมา
เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องที่หลงเยว่หงรามือในครั้งสุดท้าย เพราะเธอเองก็รู้สึกว่าในเมื่อศัตรูเลิกดิ้นรนต่อต้านไปแล้ว จะใจอ่อนสักนิดก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
หานวั่งฮั่วต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะ ‘เป็นมนุษย์’ ดังนั้นพวกเขาที่ฟ้าประทานความเป็นมนุษย์มาให้ตั้งแต่เกิดจึงไม่ควรเย็นชาอำมหิตและหยิ่งผยอง
แต่แน่นอนว่าความตื่นตัวระแวดระวังก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่
* * * * *
หลังจากพวกโจรขับรถแล่นไปอย่างไม่คิดชีวิตได้ระยะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าศัตรูที่น่าหวาดผวาพวกนั้นไม่ได้ไล่ตามมา พวกเขาก็ค่อยๆ ชะลอรถลง เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย
“พวกมันมาจากไหนกันนะ” หัวหน้าโจรหอบหายใจพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
ทีมซึ่งดูเหมือนแกะน้อยที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นปีศาจเขาโง้งพ่นไฟได้!
นี่ถ้าหากรู้ก่อนว่าพวกนั้นมีอุปกรณ์เกราะเสริมแรงทางทหารละก็ เขาจะรีบปั้นหน้าส่งยิ้มให้อย่างไม่ลังเล และพยายามเอาอกเอาใจอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
แต่กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว พวกกลุ่มโจรที่กำลังพักอยู่ไม่มีเวลาแม้แต่จะหลบหนี ต้องทิ้งศพเอาไว้เกลื่อนกลาดเป็นค่าตอบแทน
ในตอนนี้โจรซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับก็พูดขึ้นอย่างขวัญหนีดีฝ่อและค้างคาใจ
“ลูกพี่ เหมือนว่าพวกนั้นจะมี… จะมีกันแค่สี่คนเท่านั้น”
ในระหว่างการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เขาพอจะสังเกตสถานการณ์ได้อย่างคลุมเครือ
“อะไรนะ สี่คน!” หัวหน้าโจรตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็ก่นด่าตัวเอง “นี่ขนาดว่ามีคนสวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเพียงแค่คนเดียวที่ลงมือ ก็ทำพวกเราสาหัสสะบักสะบอมซะขนาดนี้ ถ้าหากว่าอีกสามคนเข้ามาร่วมวงด้วย พวกเราก็คงได้แต่ต้องนั่งยองยกมือประสานท้ายทอย ยอมยกธงขาวสถานเดียว!”
ทีมแบบนี้มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!
แน่นอนว่าถ้าหากกลุ่มโจรของตนไม่สนความเป็นความตาย ก็น่าจะพอมีโอกาสลงมือเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้สักสองสามคน แต่ทว่ากลุ่มโจรไหนเลยจะมีจิตวิญญาณมุ่งมั่นเช่นนั้นได้
หลังจากหัวหน้าโจรตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปสองสามวินาทีเขาก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยค
“ฉันเคยได้ยินมาว่าบนแดนธุลีมีทีมนักล่าซากอารยะกลุ่มเล็กๆ บางกลุ่ม พวกเขาแต่ละคนแข็งแกร่งกันมาก หรือไม่งั้นก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย
“ทีมพวกนั้นสามารถต่อสู้เผชิญหน้ากับทีมจากกองกำลังใหญ่ได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการยังชีพหรือการหาความสำราญใจจึงไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย พวกเขารอนแรมอยู่บนแดนธุลี ออกสำรวจซากเมืองต่างๆ เพื่อค้นหาประตูสู่โลกใหม่
“ทีมเมื่อกี้อาจจะเป็นทีมจำพวกนั้นก็ได้”
หากว่าเป็นแบบนั้นจริง การที่ตนเองจะไปขัดขืนก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไรสักนิด มีแต่จะทำให้ถูกกวาดล้างยกกลุ่มเท่านั้น
สิ่งที่หัวหน้าโจรพูดออกมาในตอนนี้ไม่ใช่ ‘การยกย่องศัตรู บั่นทอนขวัญกำลังใจตนเอง’ แต่เป็นการยกสถานการณ์ที่พ่ายแพ้จนต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนมาแสดงให้เห็นว่าศัตรูนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน เพื่อจะให้การฟื้นฟูจิตใจปลอบประโลมพวกพ้องทุกคนทำได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ก็ยังเป็นการแสดงถึงว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะตนเองที่เป็นผู้นำตัดสินใจผิด ออกคำสั่งพลาด และขี้ขลาดไม่กล้าต่อสู้ แต่เป็นเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก
เมื่อเผชิญกับศัตรูเช่นนี้ การหนีไปให้ไกลย่อมเป็นเรื่องปกติวิสัยอยู่แล้ว
* * * * *
เชลยชายหญิงที่ถูกโจรปล่อยทิ้งไว้ต่างก็มองหลงเยว่หงด้วยความงุนงงและตกตะลึง ราวกับได้เห็นเทพจุติก็ไม่ปาน
เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งจะคิดไปว่าอีกฝ่ายมีรถเพียงแค่คันเดียวกับคนไม่กี่คน ไม่มีทางช่วยเหลือพวกตนได้แน่ แต่ใครจะรู้ เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น พวกกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ที่มีทั้งคนทั้งอาวุธเพียบพร้อมขนาดนั้นกลับถูกอีกฝ่ายที่ใช้เพียงแค่คนเดียวถล่มเสียยับเยินจนต้องรีบเผ่นกระเจิงเพื่อหนี
เอาชีวิตรอด ทิ้งศพไว้เกลื่อนกลาดและพวกพ้องอีกจำนวนหนึ่ง
ชุดเกราะเสริมแรงทางทหารนี่นับว่าเป็นอาวุธสงครามอย่างแท้จริง!
เมื่อความคิดเช่นนี้ผุดวาบขึ้นในใจของแต่ละคน ความคิดอย่างอื่นก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน
‘พวกเขาจะจับเราเป็นเชลยแล้วเอาไปขายหรือเปล่า’
ในหมู่พวกเขามีผู้เฒ่าอายุครึ่งร้อยผมเผ้าขาวหงอกค่อยๆ ยักแย่ยักยันยืนขึ้นมา
เขาสวมเสื้อลินินและกางเกงขายาวสีดำ มือสองข้างถูกมัดไพล่หลังเอาไว้
สายลมหนาวที่พัดผ่านหุบเขา ทำให้เขาหนาวสั่นอยู่บ้างเล็กน้อย
ด้วยร่างกายที่สั่นเทา เขาใช้ดวงตาสีฟ้ามองดูเจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินที่กำลังจับพวกโจรที่ถูกทิ้งเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มพูดแนะนำตัวเอง
“ผมชื่อมีนส์ เป็นผู้จัดการของสือฟางพาณิชย์จาก ‘สมาพันธ์หลินไห่’”
เขาพูดด้วยภาษาแดนธุลีอย่างคล่องปาก
“สมาพันธ์หลินไห่เหรอ…” เมื่อได้ยินคำนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หมดข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมภาษาแดนธุลีของมีนส์ถึงได้ลื่นไหลนัก
‘สมาพันธ์หลินไห่’ นั้นตั้งอยู่ทางใต้ของ ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งอยู่ในลุ่มน้ำทองคำ ส่วนอีกครึ่งอยู่ชายฝั่งตอนใต้
มันเป็นนครรัฐที่ก่อตั้งโดยชาวแดนธุลี ภาษาราชการก็คือภาษาแดนธุลี และแน่นอนว่าสำเนียงพวกเขาย่อมต่างไปจากสำเนียงของพนักงาน ‘ผานกู่ชีวภาพ’
ภายใน ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ก็ยังมีนครรัฐของชาวแม่น้ำแดงและชาวชายฝั่งทะเลด้วยเช่นกัน นับเป็นกองกำลังใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ สามารถผลิตของเลียนแบบที่เป็นผลิตภัณฑ์ระดับต่ำและเก่าแก่โบราณได้ ทว่าผลิตภัณฑ์ระดับสูงนั้นจำเป็นต้องนำเข้า
ทรัพยากรที่พวกเขาขาดแคลนก็คือถ่านหินและโลหะ
คนชายฝั่งทะเลก็คือเชื้อสายแขนงหนึ่งของชาวแดนธุลี มีสีผิวที่คล้ำกว่า ภาษาที่พูดก็ฟังยากกว่าเล็กน้อย
“ใช่แล้ว” มีนส์ตอบคำถามที่เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนคำตอบ และด้วยความช่วยเหลือจากสหายผู้หนึ่งจึงทำให้เชือกที่พันธนาการมือทั้งสองของเขาหลุดออก
หลังจากนั้นร่างเขาก็กระตุกราวกับถูกน้ำร้อนลวก เหมือนว่ากำลังเต้นด้วยท่าทางประหลาดพิกล
หลังจากออกท่าทางช่วงสั้นๆ เสร็จ ชายสูงวัยอายุครึ่งร้อยผมเผ้าขาวหงอกก็เอ่ยปากพูด
“ขอออร่าแห่งเทพอาบชโลมพวกคุณ”
ซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งจะเก็บลำโพงตัวเล็กเสร็จ กำลังขับรถจี๊ปเข้ามาก็ทันได้เห็นฉากนี้เข้าพอดี ดวงตาเขาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา
* * * * *
[1] เพลง 精忠报国 (จิงจงเป้ากั๋ว – จงรักภักดี แทนคุณชาติบ้านเมือง) โดย 屠洪刚 (ถูหงกัง)