รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 240 นิกายเตาหลอม
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นการออกท่าทางและได้ยินคำอวยพรของเขา ปฏิกิริยาแรกที่เธอแสดงออกมาก็คือกลับหลังหันไปมองที่หัวมุมของผนังหินผาทันที
และไม่ผิดจากที่คาดไว้แม้แต่น้อย เสียงรถจี๊ปแล่นเข้ามาแล้วจอดห่างออกไปไม่กี่เมตร
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เปิดประตูรีบกระโดดพรวดพราดลงจากรถอย่างว่องไว
เสียงปิดประตูรถดังปัง ซางเจี้ยนเย่าที่สวมเครื่องแบบสีเทาลายพรางเช่นกันก็รีบเดินปรี่ตรงเข้าไปหามีนส์ เอ่ยปากถามขึ้นอย่างกระหายใคร่รู้
“พวกคุณอยู่นิกายอะไร! ศรัทธาผู้ครองกาลองค์ไหน!”
แหม… ทำท่าดี๊ด๊าเหมือนได้เจอพี่น้องต่างพ่อต่างแม่เชียวนะ… ถึงเจี่ยงไป๋เหมียนจะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อเห็นการแสดงออกของซางเจี้ยนเย่าเข้าจริงๆ เธอก็ยังอยากจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าอยู่ดี
ในตอนนี้เธอคิดถึงชีวิตสวมหน้ากากของชุมชนศิลาแดงเหลือเกิน
มีนส์ตกตะลึงไปชั่วอึดใจ แต่หลังจากเห็นรูปลักษณ์ซางเจี้ยนเย่าอย่างชัดเจนเต็มตาแล้วเขาก็ตอบกลับอย่างมีมารยาท
“พวกเรามาจาก ‘นิกายเตาหลอม’ น่ะ ศรัทธาในองค์ ‘ทวารแผดเผา’ ผู้ครองกาลแห่งเดือนแปด”
“ทวารแผดเผา…” ผู้ครองกาลองค์นี้เหมือนไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก เขตทางเหนือไม่ค่อยมีคนรู้จักมากเท่าไหร่… เจี่ยงไป๋เหมียนนึกทบทวนจากสถานการณ์ที่ตนเองรู้มา จากข้อมูลที่ได้รับจากบริษัท และจากเรื่องที่ไป๋เฉินเคยเล่าให้ฟัง
ซางเจี้ยนเย่าถามต่อ
“ที่คุณทำท่าสักการะเมื่อตะกี้ เป็นการเต้นใช่ไหม”
มีนส์ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเจ้าหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ถึงมาซักไซ้ไล่เรียงเรื่องแบบนี้ แต่ก็ยังตอบออกมาตามตรง
“การเต้นเป็นวิธีที่พวกเราทำเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากองค์เทพน่ะ พิธีสักการะของนิกายเราเป็นการเต้นแบบพิเศษ มันเป็นสัญลักษณ์แทนปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาตญาณที่ทุกคนมีเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ผู้ครองกาล”
เป็นความเจ็บปวดที่ถูก ‘ทวารแผดเผา’ ลวกเอาสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนกับหลงเยว่หงอดค่อนขอดในใจไม่ได้
แต่แน่นอนว่าเจี่ยงไป๋เหมียนย่อมไม่แสดงความหยาบคายไร้มารยาทออกมาอยู่แล้ว เธอจึงแสดงความเห็นพ้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ฉันเคยเห็นหนังสือจากโลกเก่าบางเล่มเขียนเอาไว้ว่าในสมัยโบราณ ผู้คนจะใช้การเต้นรำในรูปแบบต่างๆ เพื่อสื่อสารและเอาใจเทพเจ้า ก็เลยกลายเป็นที่มาของพิธีบูชายัญต่างๆ มากมาย”
เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนที่สามารถกำราบพวกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ได้อย่างง่ายดายนั้นค่อนข้างเป็นมิตร มีนส์จึงผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เขามองดูเหล่าสหายเพื่อนพ้องของตนเองแล้วพูดขึ้น
“พวกเราไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้มากนักหรอก ที่เราเลือกเต้นก็เป็นเพราะว่าการเต้นและเปลวเพลิงคือสิ่งที่องค์ผู้ครองกาลโปรดปรานที่สุด
“การแสดงความเคารพสูงสุดและการอวยพรที่ดีที่สุดต่อคนอื่นก็คือการทำท่าสักการะพร้อมกับพูดว่า ‘ขอออร่าแห่งเทพอาบชโลมพวกคุณ’ หรือไม่ก็ ‘ขอมอบการเต้นนี้ให้พวกคุณ’
“แต่ถ้าพูดประโยคหลังก็ต้องทำท่าเต้นสั้นๆ ที่คิดขึ้นมาเองด้วย”
ท่าทางน่าสนใจแฮะ แต่ว่าการที่คนสูงวัยอายุครึ่งร้อยผมเผ้าขาวหงอกอย่างคุณจะเต้นสุดเหวี่ยงขนาดนั้นมันไม่พิลึกไปหน่อยหรือไง… ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ค่อนข้างฝังจำอยู่ในใจเจี่ยงไป๋เหมียน
“อ้อ อ้อ” ซางเจี้ยนเย่าตอบรับด้วยดวงตาเป็นประกาย
วินาทีถัดมาเขาก็ชักกระตุกเลียนแบบท่าทางถูกน้ำร้อนลวก
หลังจากแสดงท่าทางออกไปสองสามท่าเสร็จ เขาก็พูดอย่างจริงจัง
“ขอมอบการเต้นนี้ให้พวกคุณ”
พอพูดจบเขาก็แสดงท่าเต้นพิสดารที่ไม่รู้ว่าไปหัดมาจากที่ไหน
มีนส์กับคนอื่นๆ ต่างพากันงุนงง หลังจากนั้นก็ถามด้วยความแปลกใจ
“คุณเป็นสาวกนิกายเราด้วยเหรอ”
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่ว่ายังไม่ได้รับการอนุมัติจากมุขนายกของพวกคุณนะสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
ฮา ครั้งนี้ไม่เห็นนายถามเลยว่าศีลคืออะไร การเต้นนี่มันมีเสน่ห์น่าหลงใหลขนาดนั้นเลยเรอะ… หลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะเสริมแรงกำลังรับผิดชอบตรวจตราพื้นที่โดยรอบรู้สึกทั้งแปลกใจทั้งขบขัน
“เอ่อ… คิดเอาเองอย่างนั้นเหรอ” มีนส์ไม่อาจเข้าใจความหมายของซางเจี้ยนเย่าได้ชั่วขณะ
ผ่านไปหลายวินาทีถึงจะยิ้มออกมาด้วยความกระจ่าง
“อ๋อ คุณอยากเข้าร่วมนิกายเราสินะ
“ฮ่าๆ พวกเราไม่มีมุขนายกหรอก คนที่ดูแลรับผิดชอบของแต่ละเขตมุขมณฑลก็คือ ‘ผู้อุทิศ’ คนที่หน้าที่เทศน์ประจำวันคือ ‘ผู้สรรเสริญ’ ส่วนสาวกทั่วไปแบบพวกเรานี่เรียกรวมๆ กันว่าเป็น ‘ผู้สำนึกคุณ’”
เจี่ยงไป๋เหมียนจับคู่คำทั้งสามนี้กับตำแหน่งของนิกายอื่นๆ แล้วถามตัดหน้าซางเจี้ยนเย่า
“แล้วเหนือกว่านั้นล่ะ ที่สูงกว่า ‘ผู้อุทิศ’ น่ะ”
“ก็คือ ‘ผู้ลุกไหม้’ คนที่เป็นทูต ส่วนคนที่เป็นตัวแทนแห่งผู้ครองกาลก็คือ ‘นักเต้นเทวะ’ มีนส์ไม่ได้ปิดบังเพราะเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความลับ
“‘นักเต้นเทวะ’… อย่างนั้นเขาก็เป็นนักเต้นเท้าไฟเลยนะสิ” ซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเรื่องที่สนใจทันที
เหมือนว่าเขาอยากจะไปเต้นแข่งขันประชันกับอีกฝ่าย
“ผมยังไม่เคยเจอ ‘นักเต้นเทวะ’ เหมือนกัน” เมื่อสนทนากันมาจนถึงตอนนี้ มีนส์ก็ได้ทำหน้าที่เผยแผ่นิกายตามหน้าที่รับผิดชอบ “องค์ผู้ครองกาล ‘ทวารแผดเผา’ ที่พวกเราศรัทธาก็คือร่างอวตารของประตูสู่โลกใหม่ มีเพียงต้องได้รับการอนุญาตและการปกป้องจากพระองค์เท่านั้นมนุษย์อย่างพวกเราถึงจะผ่านประตูเข้าไปได้ และหลุดพ้นจากแดนธุลีได้รับชีวิตใหม่
“และถ้าหากได้รับความโปรดปรานความชื่นชมจากพระองค์มาเป็นเวลานาน ก็จะได้รับการุณย์แห่งเทพ ได้รับการชี้นำเพื่อเข้าสู่โลกใหม่ได้โดยตรง หรือจะเลือกศรัทธาไปด้วยแล้วก็ค้นหาประตูสู่โลกใหม่ของจริงจากซากเมืองในแดนธุลีไปด้วยก็ได้ พอถึงตอนนั้นผู้ศรัทธาทุกคนที่เดินไปถึงเบื้องหน้าองค์ ‘ทวารแผดเผา’ ก็จะได้รับการไถ่บาป”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ มีนส์ก็กระตุกเหมือนถูกลวกอีกครั้ง แล้วก็สวดภาวนาออกมา
“สรรเสริญประตูสู่โลกใหม่!”
นี่เป็นนิกายที่เอาความเชื่อเรื่องผู้ครองกาลมาผสมเข้ากับตำนานโลกใหม่ได้อย่างกลมกลืนเลย อืม… สาเหตุหลักก็เป็นเพราะคำว่า ‘ประตู’ ในชื่อของผู้ครองกาลนั่นแหละ… เจี่ยงไป๋เหมียนฟังเรื่องที่มีนส์เล่าอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะก็ประเมินและวิเคราะห์ออกมาอย่างรวดเร็ว
นี่ก็คืองานอดิเรกของเธอ
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจถามเรื่องนั้นออกมาเสียที
“ศีลของพวกคุณคืออะไรเหรอ”
“ศีลของพวกเราเกี่ยวข้องกับไฟ” มีนส์แนะนำ
ยิ่งทีมที่แข็งแกร่งทีมนี้ประทับใจ ‘นิกายเตาหลอม’ มากเท่าไร ตัวเขากับพวกพ้องก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น
การพูดถึงเรื่องศีลมหาสนิททำให้มีนส์ซึ่งเคยติดต่อกับนิกายมาหลายแห่งรู้สึกภาคภูมิใจ เมื่อเขาเห็นซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ มีสีหน้างุนงงอยู่บ้าง ก็รีบแนะนำอย่างกระตือรือร้นทันที
“ศีลของพวกเรา ในโลกเก่าเรียกว่า ‘หม้อไฟ’ น่ะ”
ดวงตาซางเจี้ยนเย่าเป็นประกายขึ้นมา
มีนส์ยิ้มแล้วพูดต่อ
“เปลวเพลิงคือความโปรดปรานของผู้ครองกาล เราใช้ไฟเพื่อให้ผู้ครองกาลพึงพอใจ
“ทางใต้ของ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ของเรามีเครื่องเทศมากมายหลายชนิด มีพริกปลูกไว้ด้วย ก็เลยทำให้เราเอามาใช้ทำเครื่องน้ำซุปหม้อไฟได้
“หลังจากใช้ถ่านหินหรือถ่านไม้จุดไฟต้มจนหม้อไฟเดือด เราก็จะค่อยๆ ใส่พวกชิ้นเนื้อที่หั่นเตรียมไว้ เครื่องในเอย มันฝรั่งเอย แล้วก็หน่อไม้เขียวฝานเอย เอาลงไปต้ม…
“ส่วนประกอบโดยเฉพาะเจาะจงก็ขึ้นอยู่กับว่ารอบตัวมีวัตถุดิบอะไรบ้าง ไม่ว่าจะยากดีมีจนยังไงก็กินได้ตามที่ตัวเองมี
“ถ้าหากอยู่ในแดนร้าง ไม่มีเครื่องน้ำซุปหม้อไฟ ขอเพียงแค่ต้มน้ำได้ก็รับศีลได้แล้ว”
หลงเยว่หงที่อยู่ด้านข้าง ฟังไปฟังมาก็อดกลืนน้ำลายไปอึกหนึ่งไม่ได้
ดีที่ปากเขาแห้งอยู่ก็เลยไม่มีน้ำลายให้กลืน
‘นิกายเตาหลอม’ ต่างจากนิกายอื่นราวฟ้ากับดิน นี่มันกลุ่มพันธมิตรรวมพลคนสายกินใช่ไหมเนี่ย ขนาดฉันเองก็ยังหวั่นไหวเลย… อืม ดูท่าแล้ว ‘สมาพันธ์หลินไห่’ คงมีอาหารเหลือเฟือเลยสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปชำเลืองมองไป๋เฉิน เห็นเธอยังวุ่นอยู่กับพวกสมุนโจรที่ถูกจับตัวไว้
เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้ฟังคำอธิบายของมีนส์จนจบก็ถามออกมาตรงๆ
“ถ้างั้นผมจะเข้าร่วมกับนิกายคุณได้ยังไง”
มีนส์รู้สึกยินดีมาก เขาพูดออกมาอย่างยิ้มแย้ม
“ขอแค่ได้เจอกับ ‘ผู้อุทิศ’ สักคน เอ่อ… หรือ ‘ผู้สรรเสริญ’ ก็ได้ เท่านี้ก็สามารถให้เขาชี้นำให้กลายเป็น ‘ผู้สำนึกคุณ’ ได้แล้วล่ะ
“อ้อ ‘ผู้อุทิศ’ ที่อยู่ใกล้ที่สุดตอนนี้อยู่ที่ทาร์นันน่ะ”
ทาร์นัน… นั่นมันที่หมายพวกเรานี่นา… จุดทำการค้าภายนอกของ ‘สวรรค์จักรกล’ เนี่ยนะ… เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความแปลกใจ
“คนใน ‘สวรรค์จักรกล’ ก็ศรัทธา ‘ทวารแผดเผา’ ด้วยเหรอ”
มีนส์สั่นศีรษะ
“ที่เราเจอในทาร์นันก็มีแต่หุ่นสมองกลเท่านั้นแหละ พวกเขาไม่ได้นับถือศาสนาอะไรทั้งนั้น
“ใต้เท้าหลี่เจ๋อในทาร์นันคอยดูแลเหล่าบรรดาพ่อค้ากับพวกนักล่าของ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ อยู่น่ะ นอกจากเขาแล้วก็ยังมีนักบวชจากนิกายอื่นๆ ด้วย”
พูดถึงตรงนี้มีนส์ก็อธิบายเพิ่มอีกประโยค
“‘สมาพันธ์หลินไห่’ ของพวกเรากับ ‘สวรรค์จักรกล’ ตั้งอยู่ใกล้กัน มีความสัมพันธ์ด้านการค้ามายาวนาน คนในทาร์นันอย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็มาจาก ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ของเรานี่แหละ”
“พวกคุณก็มาจากทาร์นันงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนจับประเด็นสำคัญได้อย่างเฉียบไว
“ใช่” มีนส์ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้
เขาถอนใจพูดขึ้น
“พวกเราอยู่ทาร์นันกันมาพักหนึ่งแล้ว การค้าก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยหมดแล้ว ทุกคนอยากกลับบ้านกันเต็มแก่แล้วล่ะ
“ผมคิดว่าในหน้าหนาวไม่ค่อยมีคาราวานการค้าเท่าไหร่ พวกคนเร่ร่อนที่จะออกจากนิคมก็มีไม่มากนัก เมื่อไม่มีเหยื่อให้ปล้น พวกโจรก็ต้องลดความถี่ที่ออกปล้น หลบอยู่อย่างเงียบๆ เรียบๆ ร้อยๆ จนจบฤดูหนาว ผมก็เลยถือโอกาสใช้ประโยชน์จากเรื่องที่ตอนนี้อากาศยังหนาวอยู่ ออกเดินทางข้ามภูชีลาร์กลับไปที่ ‘สมาพันธ์หลินไห่’
“แต่ใครจะไปรู้ สุดท้ายกลับไปเจอพวกกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ เข้าให้…”
เดิมทีมีนส์กำลังจะพูดว่า ‘จิ้งจอกภูเขา’ เป็นกลุ่มโจรมีชื่อและค่อนข้างแข็งแกร่งในเขตภูชีลาร์ แต่พอนึกถึงว่าเมื่อครู่นี้พวกนั้นถูกเล่นงานจนยับเยินอยู่ฝ่ายเดียว จึงตัดสินใจไม่พูดถึงดีกว่า
สำหรับกลุ่มคนที่อยู่ต่อหน้าตนเองในขณะนี้ พวกกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ไม่มีค่าให้พูดถึงแม้แต่น้อย
หลังจากได้ยินคำตอบของมีนส์ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“บางทีการคิดในมุมกลับก็ได้ผลดีจริงๆ นั่นแหละ การทำสิ่งตรงข้ามนับได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาวิธีหนึ่งเหมือนกัน
“แต่ข้อควรพิจารณาก็คือ ถ้าหากเรื่องราวไม่เป็นอย่างที่คุณคาดไว้ อย่างนั้นคุณจะมีความสามารถมากพอและเตรียมการรับมือกับสิ่งไม่คาดคิดเอาไว้หรือเปล่า”
เธอเพิ่งจะพูดขาดคำ ไป๋เฉินที่ด้านข้างก็ถามขึ้นมา
“ทำไมพวกคุณถึงต้องรีบกลับไป ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ด้วยล่ะ คนที่เคยรอนแรมอยู่บนแดนธุลีต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าช่วงฤดูหนาวน่ะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด”
มีนส์ลังเลที่จะตอบอยู่บ้าง
เขามองดูเหล่ามิตรสหายแล้วนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ
“เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีเหมือนกัน
“พวกพนักงานของ ‘สวรรค์จักรกล’ ในทาร์นันมีแต่หุ่นสมองกลทั้งนั้น พวกมันไม่ต้องกินอาหารก็เลยไม่เคยคิดเรื่องเพาะปลูก อาหารที่พวกคาราวานกับพวกนักล่ากินก็ล้วนแต่เป็นของที่เอาติดตัวมาเองทั้งนั้น หรือไม่ก็จัดทีมออกไปสำรวจพื้นที่รอบๆ นอกจากนี้ก็ยังมีพวกกองกำลังที่เห็นโอกาสทางธุรกิจก็เลยจัดหาอาหารมาขายเป็นการเฉพาะด้วย
“แต่พวกของที่พกพาเคลื่อนย้ายได้สะดวก หลักๆ ก็จะเป็นอาหารกระป๋องกับบิสกิตนั่นแหละ”
มีนส์หยุดไปชั่วขณะแล้วพูดด้วยสีหน้าขมขื่น
“พอต้องกินอาหารกระป๋องกับบิสกิตติดต่อกันสักเดือนสองเดือน ทุกคนก็คิดถึงอาหารที่บ้านกันแทบขาดใจ”
เดิมทีเขาคิดว่าการพูดเรื่อง ‘ไร้เหตุผล’ เช่นนี้คงจะถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่แท้ แต่กลับผิดคาด ทีมที่แข็งแกร่งทรงพลังที่อยู่เบื้องหน้าเขานี้ นอกจากคนที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงจึงทำให้มองไม่เห็นสีหน้าแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่แสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจออกมาทั้งสิ้น
“พูดมาแบบนี้ ทาร์นันก็นับว่าไม่ใช่สถานที่ดีอะไรจริงๆ นั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้
ซางเจี้ยนเย่าเองก็ถอนหายใจด้วยเช่นกัน