รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 241 สหายอาหาร
มีนส์ได้รับทั้งความช่วยเหลือและการยอมรับจึงต้องการตอบแทนให้ได้ เขารีบพูดกับซางเจี้ยนเย่า
“ถ้าคุณต้องการเข้าร่วม ‘นิกายเตาหลอม’ ของเราจริงๆ งั้นก็เดินทางไปที่ทาร์นันสิ ผมจะเขียนจดหมายแนะนำให้ฉบับหนึ่งเอาไปส่งใต้เท้าหลี่เจ๋อ จะอธิบายให้เขารู้ถึงความเป็นมิตร ความจริงใจ และความช่วยเหลือที่พวกคุณมีให้”
เมื่อเห็นว่าไหนๆ ก็เป็นจุดหมายที่จะเดินทางไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้ส่งสายตาห้ามซางเจี้ยนเย่า ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ
“ได้ ได้” ซางเจี้ยนเย่าตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
ในขณะที่พูดเขาก็รีบหยิบปากกาหยิบกระดาษออกมาเหมือนกับจะบอกว่า ‘เร็วสิ รีบเขียนเดี๋ยวนี้เลย’
มีนส์ถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อครู่นี้เขาพูดไปตามมารยาทเท่านั้นเอง แต่อีกฝ่ายกลับถือเป็นจริงเป็นจังไปเสียได้ แล้วตอนนี้จู่ๆ จะให้เขาเขียนออกมาทันทีได้ยังไง
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบช่วยเขาแก้เก้อ ถามเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“นอกจาก ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ของพวกคุณแล้ว ในทาร์นันยังมีกองกำลังใหญ่แห่งอื่นอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้ว” มีนส์ตอบออกมาโดยแทบจะไม่ต้องคิด “พวกเราอยู่ติดกับ ‘สวรรค์จักรกล’ และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไป ส่วนพวกกองกำลังอื่นนั้นไม่รู้ว่ามีทาร์นันอยู่ด้วยซ้ำ หรือไม่พวกเขาก็ทำการค้าผ่านกองกำลังขนาดกลางขนาดเล็กที่ได้รับการยอมรับจาก ‘สวรรค์จักรกล’ เท่านั้น”
อย่างเช่นชุมชนศิลาแดงกับเมืองหญ้าไพรที่ค่อนข้างพิเศษในเขตอิทธิพลของ ‘ปฐมนคร’ สินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับชุมชนศิลาแดงที่เป็นจุดขนถ่ายสินค้าเถื่อน
เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
“‘สวรรค์จักรกล’ นี่ค่อนข้างระวังตัวมากเลยนะ”
“นั่นนะสิ ที่จริงทาร์นันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเสียหน่อย ก็แค่มีหุ่นยนต์ เครื่องจักร แล้วก็ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มากหน่อยแค่นั้นเอง” มีนส์เองก็ไม่ค่อยเข้าใจถึงสาเหตุที่ ‘สวรรค์จักรกล’ ทำเช่นนี้
ในตอนนี้ลมหนาวในหุบเขาพัดโชยมาพร้อมกับเสียงร้องหวีดหวิว ทำให้มีนส์และคนอื่นๆ จากสือฟางพาณิชย์พากันตัวสั่นสะท้านด้วยความหนาว
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นเข้าก็ร้อง “ไอ้หยา” ออกมาคำหนึ่ง
“จริงสิ มัวแต่คุยกันจนลืมไปสนิทเลยว่าพวกคุณสวมเสื้อผ้ากันแค่ชั้นเดียว”
ตอนที่พวกเขาโดนจับ เสื้อคลุมของพวกเขาถูกพวกโจรยึดไป
พูดจบเจี่ยงไป๋เหมียนก็ใช้คางบุ้ยไป
“ดีที่พวกเสื้อผ้ากับวัตถุปัจจัยมีเหลือเฟือ
“อ้อ พวกคุณช่วยฝังศพนั่นเป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน”
บริเวณนี้มีพวกโจรนอนตายกันเกลื่อนกลาด
และเนื่องจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ มุ่งหน้าลงใต้มาตลอดทาง เวชภัณฑ์จึงเริ่มร่อยหรอ ดังนั้นสำหรับพวกโจรที่อาการสาหัสแต่ยังไม่ได้เสียชีวิตในทันที จึงได้แต่ต้องทำประหนึ่งว่าคนพวกนั้นตายไปแล้ว ไม่อาจยื่นมือไปช่วยอะไรได้
ที่จริงแล้วมีนส์เองก็มีความคิดอยากจะรูดทรัพย์จากซากศพพวกนี้ แต่ก็รู้สึกกระดากเกินกว่าจะเอ่ยปาก
ตามกฎของพื้นที่ตรงกลางระหว่าง ‘สวรรค์จักรกล’ กับ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ นั้น ของพวกนี้นับเป็นสินสงคราม มีเพียงคนที่มีส่วนร่วมเท่านั้นถึงจะเก็บเกี่ยวได้
แต่ที่ทำให้เขารู้สึกคิดไม่ถึงก็คือหญิงสาวผู้งดงามองอาจเบื้องหน้าเขานั้นไม่เพียงจะเต็มใจยกเสื้อผ้าบนซากศพ
เพื่อช่วยเหลือตนกับคนอื่นๆ เท่านั้น ยังมีน้ำใจยกวัตถุปัจจัยที่พวกโจรทิ้งเอาไว้หลังจากหนีเตลิดเผ่นแนบไปอีกด้วย
“นะ… นี่… ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก” มีนส์ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่แล้วก็รีบโบกไม้โบกมือพัลวัน
นี่ไม่ได้เป็นเพราะเขามีคุณธรรมสูงส่ง ไม่คิดจะเอาเปรียบคนอื่น แต่เป็นเพราะกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป หากพวกตนเกิดไปล่วงเกินเข้าหรือทำตัวไม่ดี ก็อาจไม่มีชีวิตรอดออกไปจากหุบเขานี้ก็ได้
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า
“ถ้าขืนพวกคุณยังสวมแบบนี้อยู่ คืนนี้คงได้หนาวตายแน่ แล้วถ้าไม่มีอาหาร ไม่มียานพาหนะ พวกคุณจะกลับไปยังไง
“อ้อ ข้าวของพวกนั้นเป็นวัตถุปัจจัยของพวกคุณใช่ไหมล่ะ”
เธอหมายถึงเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ใส่จนเต็มรถคันหนึ่ง พวกมันเป็นเครื่องบางๆ มีทั้งสีขาวสีดำ สะท้อนแสงเป็นประกายแวววาว
“ใช่” มีนส์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้างั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจเรื่องเสื้อผ้าอาหารกับรถละนะ เพราะเรื่องนี้มันจนปัญญาจริงๆ เอาเป็นว่าคอมพิวเตอร์พวกนั้นถือเป็นของตอบแทนจากพวกเราก็แล้วกัน”
“เยอะเกินไปแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “งั้นทำตามกฎของนักล่าซากอารยะเถอะ สำหรับภารกิจแบบนี้ เราจะรับวัตถุปัจจัย 30% เป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน”
เธอไม่มัวแต่ทำตัวเป็นแม่พระใจกว้างขวางดุจดั่งมหาสมุทร นั่นเป็นเพราะว่าหลังจากนี้ยังจะต้องเก็บรวบรวมพวกวัตถุปัจจัยเพื่อเอาไปแลกกับอุปกรณ์ของเลห์แมนอีก
หลังจากที่ ‘ต่อรอง’ กันอย่างดุเดือด ในที่สุดก็ค่าตอบแทนก็ตกลงกันได้ที่ตัวเลข ‘40%’
เมื่อถึงจุดนี้มีนส์ก็โล่งใจ เรียกเพื่อนพ้องไปจัดการกับศพที่นอนเกลื่อนกลาด
ในตอนที่เขาก้มลงไปนั้นก็พลันอุทานออกมาคำหนึ่ง
“เจอแล้ว อยู่นี่เอง ไอ้พวกไม่รู้จักของดี!”
ซางเจี้ยนเย่าวิ่งเข้าไปหาแล้วเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ของอะไรเหรอ”
มีนส์หยิบถุงผ้าสีฟ้าใบเล็กๆ ขึ้นมา ใช้เพียงแค่มือเดียวก็ยกขึ้นมาได้แล้ว
“ห่อเครื่องเทศของผมน่ะ ข้างในมีแต่ของดีทั้งนั้น!
“นอกจาก ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ของพวกเราแล้ว ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็หาเครื่องเทศเยอะแยะขนาดนี้ไม่ได้หรอก
“ตอนแรกโจรพวกนั้นมันคิดว่าข้างในคงเป็นพวกทองคำ ชิป หรือไม่ก็แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ก็เลยคว้าไปน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยดวงตาสดใส
“ของพวกนี้เอาไว้ใช้ตอนกินใช่หรือเปล่า”
“ถูกต้อง บางอย่างเอาไว้ใช้ทำน้ำซุปเครื่องหม้อไฟ บางอย่างก็เอาไปทำน้ำจิ้ม แต่ละคนเลือกส่วนผสมแตกต่างกันไปตามความชอบของตัวเอง” มีนส์ตอบด้วยน้ำเสียงเจือความศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเห็นว่าที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรอีก เจี่ยงไป๋เหมียนจึงส่งสายตาไปทางหลงเยว่หง
“ถอดชุดเกราะเสริมแรงออกได้แล้วล่ะ แค่คอยระวังตามขั้นตอนปกติก็พอแล้ว”
ต้องประหยัดแบตเตอรี่!
วันนี้ไม่ใช่วันแดดจัด พวกเขาจึงตั้งใจไว้ว่าจะเอาแบตเตอรี่สำรองไปใช้กับรถจี๊ป
หลังจากมองดูหลงเยว่หงถอดชุดเกราะกระดูกเสริมแรงโดยอาศัยความช่วยเหลือจากซางเจี้ยนเย่าแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินไปข้างไป๋เฉิน มองดูพวกโจรที่นั่งยองอยู่บนพื้นแล้วพูดขึ้น
“กลุ่มโจรพวกแกชื่อ ‘จิ้งจอกภูเขา’ งั้นเหรอ”
“ใช่ ใช่” บรรดาลูกสมุนโจรไม่กี่คนนั่นต่างก็รีบยื้อแย่งกันตอบ
“หัวหน้าพวกแกชื่ออะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนถือปืนบาซูก้า ‘มัจจุราช’ ไว้ด้วยมือข้างเดียว ทำเอาพวกลูกสมุนโจร มีนส์ และคนอื่นๆ ถึงกับนิ่งอึ้งจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
แรงช้างชะมัด แถมยังถือด้วยท่าทางสบายสบายอีกต่างหาก!
โจรผมบลอนด์คนหนึ่งได้สติกลับมา รีบตอบคำถาม
“พานาเนีย”
“เขาจะกลับมาไถ่ตัวพวกแกไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนเผยรอยยิ้มจางๆ
ลูกสมุนโจรสองสามคนเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบกลับมาคนละคำ
“มาสิ”
“น่าจะ”
“คงมา”
พวกเขาเคยเห็นเชลยที่ไม่มีคนไถ่ตัวมาหลายรายแล้ว จุดจบคนเหล่านั้นไม่ดีเท่าไหร่ มีทั้งถูกฆ่าทิ้งเพื่อไม่ให้เปลืองอาหาร มีทั้งเก็บไว้ทำเป็นอาหารสำรอง หรือไม่ก็ขายให้กับพวกค้ามนุษย์
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แสดงความเห็นอะไร เธอถามต่อ
“ถ้าพวกแกได้ของมา จะเอาไปแลกเปลี่ยนกันที่ไหน”
“ถ้าไปทาร์นันได้ก็ไปที่ทาร์นัน หุ่นยนต์พวกนั้นทั้งยุติธรรมทั้งน่าเชื่อถือ แถมยังรักษาความสงบความเป็นระเบียบอีกด้วย” โจรผมบลอนด์รีบแย่งตอบก่อนพวกพ้องของตน
ในระหว่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนสอบถามข้อมูล หลงเยว่หงก็ถอดชุดเกราะเสริมแรงเสร็จ ก่อนจะเอากลับไปเก็บไว้ที่เบาะหลังรถจี๊ป
หลังจากนั้นก็สลับหน้าที่กับซางเจี้ยนเย่า คนหนึ่งถือปืนไรเฟิลจู่โจมคอยเฝ้าระวัง อีกคนเดินไปที่ริมลำธารเพื่อตักน้ำแล้วใช้แผงชาร์จพลังแสงอาทิตย์เพื่อต้ม
จนกระทั่งน้ำเดือด แม้หลงเยว่หงจะกระหายแต่ก็ยังอดทนรอให้อุณหภูมิของน้ำลดลงไปพอสมควรก่อนถึงจะกรอกใส่ถุงเก็บน้ำของตัวเองและคนอื่นๆ
หลังจากทำเรื่องต่างๆ เหล่านี้จนเสร็จเขาก็หยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่มลงไปหลายอึก
นี่ทำให้เขารู้สึกถึงความเอร็ดอร่อยของน้ำขึ้นมาทันที รสชาติยอดเยี่ยมเสียจนทำให้รู้สึกเสพติดได้
หลังจากดื่มน้ำเฮือกเดียวหมดไปครึ่งถุง หลงเยว่หงก็เช็ดปากด้วยความพอใจแล้วมองไปรอบๆ
ในตอนนี้มีนส์กับคนอื่นๆ ฝังศพกันเสร็จแล้ว ต่างก็สวมเสื้อคลุมของพวกโจร ห่อตัวเอาไว้จนหนา
ระหว่างที่กำลังปรุงอาหารด้วยถ่านหินและวัตถุปัจจัยที่พวกโจรทิ้งไว้ พวกเขาก็รู้สึกถึงสายตาของหลงเยว่หงที่มองมา
มีนส์ก้มหน้าไปพูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปหาเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ไปกินด้วยกันไหม
“โจรพวกนั้นทิ้งวัตถุดิบเอาไว้ตั้งเยอะ มีทั้งเนื้อแกะทั้งมันฝรั่งแล้วก็อย่างอื่นอีก”
พวกโจรมาที่หุบเขานี้เพื่อเตรียมกินอาหารมื้อเที่ยงกัน
ซางเจี้ยนเย่าส่งสัญญาณทางสายตาให้เจี่ยงไป๋เหมียนก่อน จากนั้นก็ตอบตกลง
“เอาสิ”
“ดีเลย จะได้เห็นศีลของพวกคุณด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม
หลงเยว่หงยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปากโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันทีว่าตนเองไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่าเสียหน่อย
ต่อมาเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ก็เฝ้ามองมีนส์กับคนอื่นๆ แล่เนื้อ เลาะกระดูก ต้มน้ำซุป โรยเครื่องเทศสารพัดสารพัน
ในที่สุดกลิ่นหอมเย้ายวนใจก็ลอยฟุ้งแตะจมูกพวกเขา ถึงแม้ลมหนาวในหุบเขาจะพัดยังไงกลิ่นก็ไม่จางหายไปไหน
เมื่อมีนส์เห็นพวกพ้องของตนจัดการวัตถุดิบจนใกล้เสร็จแล้วก็หันมาถามพวกซางเจี้ยนเย่าว่ากินรสชาติประมาณไหน จากนั้นก็ขอกล่องข้าวพวกเขามาใส่น้ำซุป คัดสรรเครื่องปรุงรสอย่างพิถีพิถันใส่ลงไป
ซางเจี้ยนเย่ารับมาก็รีบหยิบเนื้อแกะฝานที่เพิ่งลวกสุกเอามาคลุกกับน้ำจิ้มแล้วใส่เข้าปาก
“อร่อย… อร่อยสุดๆ!” เขาชมด้วยเสียงอู้อี้
หลงเยว่หงได้ยินแบบนั้นก็ใจเต้นตูมตาม รีบหยิบเนื้อแกะฝานชิ้นหนึ่งใส่ลงไปในหม้อเหล็กที่พวกโจรทิ้งไว้ทันที
แล้วตอนนี้พนักงานหญิงคนหนึ่งของสือฟางพาณิชย์ก็เอาเนื้อแกะของเธอที่เพิ่งลวกเสร็จใส่ลงไปในชามหลงเยว่หง
“ลองดูสิ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร” หลงเยว่หงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
บรรดาพนักงานหญิงของสือฟางพาณิชย์ต่างก็รอนแรมอยู่บนแดนธุลีมานานปี ทั้งยังมีสถานะเป็นนักล่าซากอารยะอีกด้วย ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะถูกพวกโจรข่มเหงย่ำยี แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้หดหู่ซึมเซาอีก
พวกเธอพบว่าผู้ช่วยเหลือที่ราวกับ ‘เทพจุติ’ คนนี้หลังจากถอดชุดเกราะเสริมแรงออกแล้วก็คือชายหนุ่มรูปร่างไม่ต่ำเตี้ย ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ทำให้เกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นในตอนที่ตระเตรียมอาหารมื้อเที่ยงก็พยายามหาโอกาสเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม พูดคุยสนทนาพาทีกับหลงเยว่หง
ยิ่งพวกเธอกระตือรือร้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หลงเยว่หงระวังตัวแจมากขึ้นเท่านั้น ถึงกับอยากจะถามสักคำว่าทำไมพวกเธอถึงไม่ไปหาซางเจี้ยนเย่าบ้าง
ในตอนนี้ทั้งซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาวิชาปรุงหม้อไฟจากมีนส์อย่างจริงจัง
โดยไม่ยอมละสายตาไปมองอื่นแม้แต่น้อย
ในเมื่อชิ้นเนื้อนอนอยู่ในชามแล้ว หลงเยว่หงย่อมไม่อาจเอ่ยปากปฏิเสธได้อีก หลังจากเอาไปชุบน้ำจิ้ม เขาก็ยัดเนื้อแกะฝานชิ้นนั้นเข้าปาก
ความสดนุ่มของเนื้อ ความเค็มของเกลือ และความแปลกใหม่ของรสชาติจากเครื่องเทศสารพัดที่ผสมผสานเข้าด้วยกันได้ปะทุระเบิดขึ้นในปากของหลงเยว่หงอย่างฉับพลัน ทำให้เขาอดเคี้ยวอย่างตะกรุมตะกรามไม่ได้
อาหารเที่ยงมื้อนี้ทำให้ทั้งผู้เหย้าและผู้เยือนต่างก็เบิกบานสำราญใจ เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินนั้นชมชอบมันฝรั่งฝานเหนียวนุ่มมากที่สุด
ในระหว่างนี้พวกเขาก็ยังพูดคุยสนทนากับมีนส์และคนอื่นๆ เกี่ยวกับ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ด้วย ได้รู้ว่ากองกำลังใหญ่แห่งนี้มีวัตถุปัจจัยมากมายเหลือเฟือ ถึงแม้ว่าประชาชนที่เป็นชนชั้นล่างยังคงต้องดิ้นรนขวยขวายเพื่อดำรงชีพ ซึ่งก็ดีกว่าพวกคนเร่ร่อนแดนร้างในนิคมเล็กๆ เพียงแค่ประมาณหนึ่งเท่านั้น แต่ในระดับชนชั้นกลางกลับเริ่มเลือกสรรอาหารคัดสรรเสื้อผ้าที่สวมใส่กันได้แล้ว
มีนส์กับพวกพ้องรอดชีวิตจากปากเสือมาได้ อีกทั้งยังได้กินอาหารอย่างอิ่มหมีพีมันและได้วัตถุปัจจัยกลับคืนมาจนเกือบครบ ดังนั้นหลังจบมื้ออาหารพวกเขาจึงไม่อาจสะกดกลั้นความซาบซึ้งสำนึกบุญคุณไว้ได้อีก พวกเขาพากันเดินเป็นแถวไปยังพื้นที่โล่งริมลำธารเพื่อเต้นสรรเสริญผู้ครองกาล
“เคร่งศาสนากันเสียจริง…” เจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะหัวเราะได้คำเดียวก็พบว่าซางเจี้ยนเย่านั้นออกไปร่วมวงด้วยตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ ทั้งยังเต้นอย่างกลมกลืนเสียด้วย