รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 245 เกอนาวา
เมื่อเห็นว่ากล้องวงจรปิดพูดได้ไม่ยอม ‘พูดคุย’ กับเขา ซางเจี้ยนเย่าจึงเดินกลับมาข้างเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยความผิดหวัง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูกลุ่มโจรที่ตะลึงงันอยู่แล้วเธอก็หัวเราะเหอะๆ ออกมา
“พวกนายกำลังจะไปไหนกันเหรอ”
ในช่วงเวลานี้เธอรู้สึกอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าตัวเองเหมาะที่จะรับบทจอมวายร้ายจริงๆ
หัวหน้ากลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ พานาเนียฝืนยิ้มออกมา
“พวกเรากำลังว่าจะไปเยี่ยมเยียนผู้การเกอนาวาสักหน่อยน่ะ เขาเป็นเจ้าเมืองทาร์นันแล้วก็เป็นกัปตันของยามจักรกลด้วย”
เขาเอ่ยชื่อนี้ออกมาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มทันที
“แหม บังเอิญจริง พวกเราเองก็กำลังจะไปเยี่ยมเยี่ยนเจ้าเมืองเกอนาวาอยู่เหมือนกัน”
พูดจบเธอก็ชี้ไปที่ยอร์เกนเซ่นกับพวก ทำราวกับว่าเธอเพิ่งเคยเจอกลุ่มโจรตรงหน้าเป็นครั้งแรก แล้วก็เจตนาพูดออกมาประโยคหนึ่ง
“เราจับโจรพวกนี้ได้ระหว่างทาง เตรียมจะเอาไปส่งมอบให้กับเจ้าเมืองเกอนาวาจัดการน่ะ”
พานาเนียรู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ พยายามกล้ำกลืนเพลิงที่ลุกโหมอยู่ในใจฝืนยิ้มออกมา
“นั่นสินะ ที่ทาร์นันก็มีคุกอยู่ด้วยจริงๆ”
เขาแสร้งทำเป็นไม่เคยรู้จักพวกเจี่ยงไป๋เหมียนมาก่อน รวมถึงยอร์เกนเซ่นกับลูกน้องคนอื่นๆ ด้วย
เขากลัวว่าถ้าตนเองยอมรับว่าโจรสามสี่คนนั่นเป็นพรรคพวก จะถูกกลุ่มนักล่าที่อยู่เบื้องหน้าลงไม้ลงมือโดยตรง จากนั้นก็ค่อยสร้างหลักฐานโดยอ้างว่าเป็นการจับกุมโจร หรือไม่ก็รายงานกับกล้องวงจรปิดสมองกลของ ‘สวรรค์จักรกล’ เพื่อขอให้หุ่นยนต์ที่เป็นผู้รักษากฎระเบียบในท้องที่ลงมือจับกุม
พานาเนียไม่เคยมีประสบการณ์กับทั้งสองเรื่องนี้มาก่อน ไม่ทราบว่าหุ่นสมองกลของ ‘สวรรค์จักรกล’ จะดำเนินการกับเรื่องนี้อย่างไร จึงไม่กล้าเสี่ยง
ยอร์เกนเซ่นกับพวกมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ยังดีว่าที่นี่ไม่ต้องให้พวกเขาเอ่ยปากอะไร
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดอะไรอีก เธอกวาดตามองพานาเนียกับพวกโจรคนอื่นแล้วยิ้มให้
“ในเมื่อพวกเราต่างก็จะไปเยี่ยมเยียนเจ้าเมืองเกอนาวา งั้นเชิญพวกคุณก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพวกเราไว้รอทีหลังก็ได้”
เสแสร้ง… เสแสร้งชัดๆ! หลงเยว่หงแอบเสียดสีอยู่ในใจ
“นายกำลังนินทาหัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าขวับราวกับจับได้ว่าหลงเยว่หงกำลังทำความผิด
“ปละ… เปล่านะ!” หลงเยว่หงร้องอย่างตะกุกตะกัก
พลังของเจ้าหมอนี่มันเปลี่ยนเป็นอ่านใจได้หรือไงเนี่ย
เมื่อได้ยินคำตอบติดๆ ขัดๆ ของเขา ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะออกมา
“นายติดกับจริงๆ ด้วย!”
ฉันนี่มันโง่ชะมัด โง่จริงๆ… หลงเยว่หงกินปูนร้อนท้อง รีบเถียงเสียงแข็ง
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
การสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งคู่ทำให้พวกโจรรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อพานาเนียที่ตอบสนองต่อคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน
“ไม่รีบ พวกเราไม่รีบ พวกเรายังมีเรื่องอื่นต้องไปทำก่อน”
“แหม เห็นท่าทางคุณเป็นคนป่าคนเถื่อนหยาบกระด้างแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าที่จริงแล้วยังมีมารยาทอีกด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูด ‘ชม’ เขาออกมาประโยคหนึ่งแล้วก็หมุนตัวเดินไปบ้านพักเดี่ยวของเกอนาวา
ภาพพานาเนียผมบลอนด์ยาวเป็นมันเยิ้ม ผิวหน้าหยาบกร้าน ในมือถือหมวกที่มีเขาวัวยื่นออกมา ดูแล้วให้ความรู้สึกของคนป่าคนเถื่อนจริงๆ
หัวหน้าทีมทำตัวไร้มารยาทได้ ทว่าซางเจี้ยนเย่าทำไม่ได้ เขาโบกให้กับพวกกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ พลางพูดว่า
“ไว้เจอกันใหม่!”
จะให้ดีชาตินี้อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย… แม้ว่าพานาเนียจะเกลียดชังเต็มอก อยากล้างแค้นคืน แต่ครั้นย้อนนึกถึงการเผชิญหน้าครั้งก่อนก็รีบสลัดความคิดจะล้างความอัปยศทิ้งไปทันที
ถ้าเป็นแค่เรื่องชุดเกราะเสริมแรงทางทหารเรื่องเดียว เขาก็คิดว่ายังพอจะมีโอกาสอยู่บ้างหากกลุ่มโจรของตนเตรียมการให้ดี แต่ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกกลุ่มนักล่าซากอารยะที่อยู่ตรงหน้านี้มีเพียงคนเดียวที่ลงมือในตอนนั้น ส่วนอีกสามคนที่เหลือเพียงแค่คอยช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แถมยังผ่อนคลายกันมากด้วย ทั้งเดินไปมา ทั้งจับตาเฝ้าเชลย ทั้งเปิดเพลงฟัง
ตราบใดที่ทั้งสามนั่นไม่ได้อ่อนแอกว่าคนที่สวมชุดเกราะเสริมแรงทางทหารคนนั้น การที่กลุ่มโจรของเขาต้องการชำระแค้น นั่นก็เท่ากับว่ารนหาที่ตายชัดๆ
ฉายา ‘จิ้งจอกภูเขา’ ไม่ใช่ได้มาเพราะจับฉลากหยิบชื่อผิดมา แต่เป็นเพราะชื่อนี้มีความนัยถึงความเจ้าเล่ห์เพทุบายและระวังตัว
ระหว่างที่ในใจกำลังคิดเรื่องเหล่านี้ พานาเนียกับพวกโจรก็เห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลาบาดตาคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองพวกเขาไม่วางตา
หัวใจพวกเขาร่วงลงไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง
ขณะที่ความคิดกำลังวิ่งพล่านว่าจะทำยังไงดี พานาเนียก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นมาโบก
“ไว้เจอกัน”
ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวรีบตามเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ไป
“…” บรรดาโจรทั้งหลายต่างพากันอึ้งไป รู้สึกทั้งอัดอั้นและไร้สาระชอบกล
“สบายใจแล้วสิ ทำแล้วสนุกหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเห็นออกมาประโยคหนึ่ง
ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้า
“ตอนนี้ผมเป็นนายมารยาท ต้องรักษามารยาทอย่างเข้มงวด”
มุมปากเจี่ยงไป๋เหมียนกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็ไหลไปตามน้ำ
“พวกเขาคงต้องรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณอาจารย์ซางมากเลยล่ะ”
ไป๋เฉินด้านข้างเหลือบมองพวกเขาอย่างเงียบๆ แล้วตัดสินใจว่าขอไม่มีส่วนร่วมในการสนทนาด้วยเพราะเกรงว่าสภาพจิตใจตัวเองอาจจะติดเชื้อ เกิดความผิดปกติไปด้วยอีกคน
ไม่นานนัก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็นำตัว ‘ทหารรับใช้’ มาถึงบ้านพักเดี่ยวของเกอนาวา เดินผ่านสนามหญ้าที่ยังคงเขียวชอุ่มแม้เป็นฤดูหนาว มาถึงหน้าประตูบ้าน
ที่นี่ไม่มียามคุ้มกัน
“ได้เวลาแสดงมารยาทของนายแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามามองซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าไม่ทำให้ผิดหวัง เขาเดินขึ้นหน้าสองก้าวแล้วกดกริ่ง
เสียงกริ่งดังติ๊งต่อง ติ๊งต่อง บานประตูเปิดออกให้เห็นร่างหุ่นยนต์ตัวหนึ่งปรากฏต่อหน้าพวกเขา
หุ่นยนต์ตัวนี้สูงประมาณ 190 เซนติเมตร โครงโลหะเป็นสีดำเงิน สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ ดวงตาเป็นไฟสีน้ำเงินวูบวาบ
เนื่องจากทั่วทั้งตัวมีเสื้อผ้าห่อหุ้มอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนมองไม่ออกว่ามันมีชิ้นส่วนใช้งานอะไรบ้างและติดตั้งโมดูลอาวุธอะไรเอาไว้
“พวกคุณคือ…” หุ่นยนต์ตัวนี้ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มของผู้ชาย
น้ำเสียงของมันนั้นมีระดับเสียงสูงต่ำขึ้นๆ ลงๆ ราวกับมนุษย์ แต่ก็ยังเจือความเป็นเสียงสังเคราะห์อย่างชัดเจนและไร้ซึ่งอารมณ์
“พวกเราเป็นนักล่าที่เพิ่งเคยมาทาร์นัน ก็เลยแวะมาเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองเกอนาวาน่ะครับ” ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบน้ำเสียงตามปกติของเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม
หุ่นยนต์ร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่ผงกศีรษะเบาๆ
“เป็นผมเอง เชิญเข้ามาก่อนสิ”
แล้วมันก็ถามต่ออีกประโยค
“รับเป็นกาแฟหรือชาดีล่ะ
“พวกมันมาจากเขตภูเขาทางตอนเหนือของ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ น่ะ”
“ขอกาแฟค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนคำนึงถึงว่านอกจากตัวเธอเองแล้ว ลูกทีมทั้งสามของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ น่าจะไม่เคยลิ้มลองรสชาติกาแฟกันมาก่อน เธอจึงเกิดความคิดซุกซน เลือกเป็นเครื่องดื่มชนิดนี้
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ในช่วงตอนสิ้นปี บรรดาพนักงานยังพอหาแลกใบชามาได้บ้าง ถึงแม้ว่าในชุมชนศิลาแดงนั้นใบชาจะเป็นสินค้าส่งออกอย่างหนึ่งที่ลักลอบส่งไป ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเป็นของหายากมากนัก
เกอนาวา หุ่นสมองกลที่สวมเครื่องแบบทหารสีเขียวแก่เบี่ยงตัวเปิดทางให้พร้อมกับตะโกนเข้าไปในบ้าน
“ซูซานน่า ช่วยเตรียมกาแฟให้แปดแก้วด้วย”
“สี่แก้วก็พอครับ พวกเขาไม่ต้องหรอก” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างมีมารยาท
ดวงตาเรืองแสงสีน้ำเงินของเกอนาวามองไปที่ยอร์เกนเซ่นกับพวก แล้วแก้ไขคำพูด
“สี่แก้ว!”
หลงเยว่หงกับไป๋เฉินฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้วก็เกิดความรู้สึกยากอธิบายประการหนึ่ง นี่ถ้าหากว่าใบหน้า ลำคอ มือ ของเกอนาวาถูกปิดเอาไว้จนหมดก็แทบจะรู้สึกว่าเหมือนมีมนุษย์มายืนคุยอยู่ต่อพวกเขาเลยทีเดียว
สมาชิกของ ‘สวรรค์จักรกล’ ตนนี้ ที่เป็นทั้งเจ้าเมืองทาร์นันและกัปตันยามจักรกล ช่างทำตัวเหมือนมนุษย์เกินไปแล้ว
นี่ก็คือหุ่นสมองกลรุ่นล่าสุดจาก ‘สวรรค์จักรกล’ งั้นหรือ… ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็มีความคิดเช่นนี้วาบขึ้นในใจโดยพร้อมเพรียงกัน
หลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว พวกเขาก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น นั่งลงบนโซฟายาว ส่วนพวกยอร์เกนเซ่นยืนอยู่ข้างหลัง
เกอนาวานั่งที่โซฟาเดี่ยว ยกขาขวาขึ้นมาวางพาดบนต้นขาซ้าย
“พวกคุณมีเรื่องอะไรกันเหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มเปิดการสนทนาด้วยเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ เธอชี้ไปที่ยอร์เกนเซ่นกับพวก
“เราเจอโจรพวกนี้ระหว่างทางที่มาทาร์นัน ก็เลยจับตัวไว้น่ะ คิดว่าจะเอามาส่งให้พวกคุณ”
เกอนาวาไม่รู้สึกแปลกใจ ผงกศีรษะรับ
“เดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่ส่งคนพวกนี้ไปเข้าคุกก่อน อีกสองสามวันค่อยพิจารณาคดี”
เมื่อยอร์เกนเซ่นกับพวกได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจ
พวกเขารู้ว่าการตัดสินโทษพวกโจรของทาร์นันไม่เข้มงวดมากนัก โดยเฉพาะพวกที่ไม่เคยก่ออาชญากรรมในเมือง อย่างมากก็แค่ถูกจำคุกสักปีสองปีและถูกบังคับใช้แรงงานในระดับหนึ่ง
ถึงแม้ว่าการสูญเสียอิสรภาพไปสองปีจะทำให้เกิดความลำบากต่อโจรเหล่านี้อยู่บ้าง ยายแก่ที่บ้านก็ไม่ทราบว่ายังจะรอพวกเขาอยู่หรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกฆ่าตายหรือขายให้ไปทำเหมืองอยู่มาก นี่ทำให้พวกเขาพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้
หลังจากสนทนาเรื่องนี้จบแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เปลี่ยนหัวข้อ
“บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของภูชีลาร์มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ปรากฏตัว กองคาราวานการค้ากับกลุ่มนักล่าซากอารยะก็เลยไม่กล้าใช้เส้นทางนั้นกัน”
เกอนาวาขยับลำคอที่ทำจากโลหะ
“ผมเพิ่งจะรู้เรื่องนี้เมื่อตอนค่ำนี่เอง พรุ่งนี้จะส่งพวกยามไปจัดการ
“แต่ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณพวกคุณที่ส่งข่าวแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ”
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยสนทนากันนั้นก็มีหุ่นยนต์สวมกระโปรงยาวสีขาวตัวหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับถือถาด
มาด้วย
ร่างมันเป็นโลหะสีเงิน สูงราว 175 เซนติเมตร รอบคอมีสายสร้อยเพชรแบบโลกเก่าเส้นหนึ่งสวมไว้ ดวงตาเป็นแสงสีน้ำเงินวูบวาบ
บนถาดมีแก้วอยู่ทั้งหมดห้าใบ ส่งกลิ่นหอมของกาแฟเข้มข้นลอยคลุ้งออกมา อีกทั้งยังมีกลิ่นบางอย่างที่เจี่ยงไป๋เหมียนค่อนข้างคุ้นเคย
“สวัสดีค่ะ” หุ่นยนต์สีเงินซึ่งกำลังแสดงบทบาทเป็นผู้หญิงก้มตัวลงหยิบแก้วกาแฟทั้งสี่แก้ววางไว้ข้างหน้าพวกซางเจี้ยนเย่า แล้วเลื่อนอีกหนึ่งแก้วที่เหลือไปให้เกอนาวา
“นี่คือภรรยาผม ซูซานน่า” เกอนาวาแนะนำ
“สวัสดีครับ มาดามซูซานน่า” ซางเจี้ยนเย่าทักทายอย่างมีมารยาท
ซูซานน่ารู้สึกยินดีกับเรื่องนี้มาก
“คุณเป็นคนหนุ่มที่มีมารยาทมาก”
เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็กล่าวทักทาย จากนั้นก็กลับไปมองที่เกอนาวาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พวกเขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าหุ่นสมองกลตนนี้จะดื่มกาแฟยังไง
เกอนาวาใช้มือข้างหนึ่งถือแก้วขึ้นมา ส่วนอีกมือหนึ่งแหย่เข้าไปในปากแล้วหมุนสวิทช์
หลังจากนั้นก็เทของเหลวจากแก้วลงไปเล็กน้อย
ในตอนนี้นี่เองที่เจี่ยงไป๋เหมียนพบว่าของเหลวนั้นข้นหนืดกว่ากาแฟมาก
ในฉับพลันนั้นเธอก็กระจ่างขึ้นมาทันทีว่ากลิ่นที่คุ้นเคยที่ผสมอยู่ในกลิ่นหอมของกาแฟคืออะไร
กลิ่นน้ำมันเครื่อง!
ถึงจะดูเหมือนว่าเกอนาวากำลังดื่มกาแฟ แต่ที่จริงแล้วเขากำลังหยอดน้ำมันหล่อลื่นและบำรุงรักษาเครื่องยนต์อยู่สินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินต่างก็รู้สึกแปลกพิกลจนไม่ทราบว่าจะอธิบายเช่นไร
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้มากนัก เป็นเพราะพวกเขาเคยเห็นอาจารย์เซนจิ้งฝ่าหยอดน้ำมันหล่อลื่นเข้าร่างระหว่างที่กำลังเทศนาอรรถาธิบายหลักธรรมมาแล้ว
แล้วในตอนนี้แสงไฟสีน้ำเงินในดวงตาเกอนาวาก็กะพริบวูบวาบสองสามครั้งอย่างนุ่มนวล
มันถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์
“อร่อยจริงๆ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามควบคุมมุมปากอย่างสุดกำลัง จากนั้นก็หยิบแก้วกาแฟขึ้นยกขึ้นมาจิบเงียบๆ
* * * * *