รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 250 ดุลยภาพแห่งสรรพสิ่ง
กู้ป๋อ… หลงเยว่หงจำชื่อนี้ไว้ในใจ จากนั้นก็ถามเรื่องอื่นต่อ
คุยกันต่ออีกพักหนึ่งเขาก็กล่าวอำลาอย่างมีมารยาท เตรียมจะกลับไปหาคนอื่นเพื่อปรึกษาหารือ
ห่างจากเขาไปยี่สิบสามสิบเมตร ไป๋เฉินพันผ้าพันคอและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ได้ลอบติดตามเขาไปเงียบๆ แฝงตัวอยู่ในเงามืด กลมกลืนไปกับผู้คนที่สัญจรไปมา
นี่เป็นการจัดเตรียมโดยเฉพาะของเจี่ยงไป๋เหมียน
ใน ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้น คนที่จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์ใน ‘ปฏิบัติการฉายเดี่ยว’ ก็คือซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงสองคน โดยเฉพาะฝ่ายแรกนั้นยิ่งต้องจับตาดูเป็นพิเศษเผื่อเขาไปก่อเรื่องขึ้น ดังนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนจึงให้ไป๋เฉินคอยแอบติดตามหลงเยว่หงเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเขา ในขณะที่ตัวเธอเองนั้นรับผิดชอบจับตาดูซางเจี้ยนเย่า ไม่ให้พ่อแม่พี่น้องชาวทาร์นันต้องเจอเรื่องปวดหัว
ณ ‘ทางแยกของเส้นทางชีวิต’ ที่ซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่ เขามองซ้ายที ขวาที ข้างหน้าที ราวกับภายในใจกำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เหมือนกับว่าเขาตัดสินใจได้แล้ว จึงเลี้ยวขวาไปยังด้านที่ ‘นิกายเตาหลอม’ กำลังเทศน์
อืม… นิกายเตาหลอมไม่ได้มีดีแค่การเต้น ยังมีศีลหม้อไฟด้วย เมื่อเทียบกับนิกายอื่นๆ แล้วมันก็น่าดึงดูดมากกว่าจริงๆ แหละ… เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ห่างออกไปเห็นภาพเหตุการณ์ก็ผงกศีรษะว่าเข้าใจ
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เข้าไปร่วมการเต้นรวมกลุ่ม เขาเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะกลอง บางครั้งก็ร้องตะโกนออกมา
“สรรเสริญท่าน ประตูสู่โลกใหม่!”
เคร่งศาสนาเสียด้วย… เจี่ยงไป๋เหมียนขยับเข้ามาใกล้อีกนิด กลิ่นหอมเย้ายวนของปีกไก่ทอดก็ลอยเข้าจมูก
นี่ทำให้เธอเกิดความข้องใจขึ้นมาในทันที
ไหนบอกว่านอกจากพวกคนท้องถิ่น คนอื่นๆ ที่เหลือในทาร์นันต่างก็ขาดแคลนพวกวัตถุดิบ เลยได้แต่ต้องอาศัยพวกอาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง กับธัญพืชอัดแท่งเพื่อยังชีพไง…
หรือว่าเพื่อการเผยแผ่นิกาย ทาง ‘คันชั่งเกียรติยศ’ จึงยอมหว่านเงินไปซื้อไก่เป็นๆ มาจากชาวบ้านในท้องถิ่นด้วยราคาสูง
ยอมทุ่มทุนจริงๆ…
ในระหว่างที่ความคิดกำลังล่องลอย เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นว่าการเต้นหมู่ของ ‘นิกายเตาหลอม’ ยุติลงชั่วคราว ชายที่เป็นประธานพิธีนำหนังสือปกสีดำขึ้นมา จากนั้นก็พูดเกี่ยวกับความงดงามของโลกใหม่และความยิ่งใหญ่ของ ‘ทวารแผดเผา’
ซางเจี้ยนเย่าฟังไปหลายสิบวินาที จากนั้นก็หยิบหน้ากากลิงที่มีท่าทีเย่อหยิ่งจองหองใบนั้นออกมาจากกระเป๋าเป้ยุทธวิธี
เมื่อสวมหน้ากากเสร็จเขาก็กลับหลังหัน เดินไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างไร้ความตะขิดตะขวง รู้สึกมีความชอบธรรมอย่างเต็มพิกัด
เขาเดินข้ามฝั่งไป
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูซางเจี้ยนเย่าเข้าไปร่วมกลุ่มร้องประสานเสียง ส่งเสียงขับขานบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ไปกับเหล่าผู้ศรัทธาแห่ง ‘มายาฉาย’
ราวกับเขาได้สังเกตมาพักใหญ่แล้ว จึงขับร้องออกมาได้อย่างกลมกลืนไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเพลงหรือทำนองเพลง
นี่นายคิดว่าแค่สวมหน้ากากก็ทำให้กลายเป็นคนอื่นแล้วงั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนอดแอบวิพากษ์เขาในใจไม่ได้
ขณะที่ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมา เธอก็พลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายอาจจะกลายเป็น ‘คนละคน’ ไปแล้วจริงๆ ก็ได้
ทุ่มเทเต็มที่เลยสินะ… เธอถอดทอนใจด้วยความสะเทือนอารมณ์
หลังจากร้องจบไปหนึ่งเพลงและเจ้าหน้าที่นิกายเริ่มเทศน์ไปไม่นาน ซางเจี้ยนเย่าก็ค่อยๆ เดินออกมาอย่างเงียบๆ กลับไปที่กลางถนน
เขาปลดหน้ากากลิงออกอย่างรวดเร็ว ถอนใจโล่งอก
จากนั้นก็เปิดเป้ยุทธวิธีหยิบหน้ากากอีกใบออกมา
เป็นหน้ากากหมูอ้วนรูจมูกบาน
เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับอึ้งไปเมื่อได้เห็นเช่นนี้
ตานี่ไปเอาหน้ากากของเสี่ยวหงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
เตรียมตัวไว้พร้อมสรรพเลยสินะ…
ซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนหน้ากากแล้วเดินตรงไปยังกระทะเหล็กที่ทอดปีกไก่โดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแม้แต่น้อย
แบบนี้ก็คือเสี่ยวหงเป็นคนกินสินะ ไม่ใช่นาย… เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามคาดเดาความคิดของซางเจี้ยนเย่า
เมื่อเดินอ้อมเสาเหล็กที่มีคนยืนอยู่แล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปด้านข้าง พยายามเบียดแทรกฝ่าฝูงชนที่ยืนรออยู่รายรอบอย่างทุลักทุเลจนเข้าไปใกล้กระทะเหล็ก
ผู้ที่รับผิดชอบทอดปีกไก่เป็นชายชราเคราขาวชาวแม่น้ำแดง มีดวงตาสีฟ้า สูงราว 170 เซนติเมตร สวมผ้ากันเปื้อนสีแดง
“พวกคุณมาจากนิกาย ‘คันชั่งเกียรติยศ’ ใช่ไหม” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยภาษาแม่น้ำแดง
หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนศิลาแดงมาช่วงหนึ่ง ภาษาแม่น้ำแดงของซางเจี้ยนเย่าก็ลื่นไหลมากขึ้น
ชายชราเคราขาว ทางหนึ่งก็ใส่ใจอยู่กับกระทะน้ำมัน อีกทางหนึ่งก็ตอบเขาอย่างยิ้มแย้ม
“ใช่แล้วล่ะ”
เขาจำไม่ได้แล้วว่าคืนนี้ทอดปีกไก่ไปกี่กระทะ
“พวกคุณกราบไหว้ผู้ครองกาลองค์ไหนเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าทีราวกับต้องการเข้าร่วม
ถามเสร็จเขาก็ถามต่ออย่างมีมารยาท
“คุณชื่ออะไรครับ”
“เรียกฉันว่าไมค์ก็พอ” ชายชราเคราขาวสวมผ้ากันเปื้อนสีแดงตอบด้วยรอยยิ้ม “พวกเราศรัทธาองค์ ‘คันชั่งทองคำ’ ผู้ครองกาลแห่งเดือนหก พระองค์ควบคุมดุลยภาพของปี เป็นสัญลักษณ์แห่งความสมมาตรและความสมดุล การที่โลกเก่าถูกทำลายก็เพราะสูญเสียสมดุลบางประการ”
เห็นได้ว่าเขานั้นมีประสบการณ์ในการเทศน์อย่างเต็มเปี่ยม ใช้เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคก็สามารถอธิบายถึงองค์เทพและพลังอำนาจของตนได้อย่างกระจ่าง
พูดจบเขาก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วถามอย่างไม่จริงจัง
“คุณมาจากชุมชนศิลาแดงงั้นสินะ”
นอกจากนิคมที่ถูกควบคุมโดยนิกายตื่นตัวแล้วก็ไม่มีที่ไหนอีกที่ผู้คนชอบสวมหน้ากากอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเขตพื้นที่เผยแผ่ศาสนาที่เกี่ยวข้องกับทาร์นันอย่างแน่นแฟ้นมากที่สุดก็คือชุมชนศิลาแดงนั่นเอง
“คุณดูออกด้วยเหรอ” ซางเจี้ยนเย่า ‘ตกใจ’
ไมค์ไม่ทราบว่าเขารู้สึกว่าการปลอมตัวของตนเองสมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่องจริงๆ หรือว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่กันแน่
เขายกมือขึ้นมาชี้ที่ใบหน้า
“แค่ดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ใช่แล้วล่ะ ผมกู้จือหย่งมาจากชุมชนศิลาแดง” ซางเจี้ยนเย่ายอมรับ ‘ที่มา’ ของตนออกมาตามตรง
จากนั้นเขาก็เสริมอีกประโยค
“ผมไม่ได้เป็นผู้ศรัทธาใน ‘ธชียมโลก’”
แหงล่ะ ผู้ศรัทธา ‘ธชียมโลก’ จะถูกปีกไก่ทอดล่อลวงได้เหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนที่ถูกฝูงชนเบียดขนาบอยู่ฝั่งตรงข้ามเหน็บแนมอยู่ในใจ
สิ่งที่เธอเดาไว้เมื่อครู่นี้ถูกเผงเลย
คนที่เลือก ‘คันชั่งเกียรติยศ’ เพราะต้องการปีกไก่ทอดนั้นก็คือ ‘หลงเยว่หง’ ต่างหาก ไม่ใช่ซางเจี้ยนเย่า!
กู้จือหย่งคือชื่อปลอมของหลงเยว่หง
ที่มาของชื่อปลอมนี้ก็คือแม่ของหลงเยว่หงนั้นแซ่กู้ ส่วนพ่อของเขาก็มีคำว่าหย่งอยู่ในชื่อ
เมื่อตอนที่รู้เกี่ยวกับชื่อปลอมนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนต้องพยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิต
“งั้นเหรอ งั้นสนใจเข้าร่วมนิกายพวกเราไหมล่ะ” ไมค์ไม่ปล่อยโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนสาวกนิกาย
“สนใจ” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะโดยไม่มีความลังเล “พวกคุณไปเอาปีกไก่มาจากไหนน่ะ ทาร์นันมีปีกไก่เยอะแยะขนาดนี้เลยเหรอ”
ไมค์กำลังจะตอบคำ ทว่าทันใดนั้นสายตาก็พลันจ้องเขม็ง
เขาช้อนปีกไก่ขึ้นมาใส่ตะแกรงด้วยความชำนาญ
กลิ่นหอมเย้ายวนใจยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้นอีก
“ตาพวกคุณล่ะ” ไมค์พูดกับกลุ่มคนทางซ้ายมือ
กลุ่มคนเหล่านั้นเดินไปเข้าแถวที่หน้าเสา หยิบปีกไก่ทอดชิ้นที่ไม่ได้ร้อนจัดจนลวกมือ
“คนที่เหลือไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวก็มีอีก” ไมค์พูดกับซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ
เมื่อคนกลุ่มนั้นได้รับปีกไก่ไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็กางแขนสวดอธิษฐาน
คนพวกนี้แบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสองกลุ่ม พวกแรกคือ ‘ดุลยภาพแห่งสรรพสิ่ง’ ส่วนอีกกลุ่มก็คือ ‘คันชั่งเกียรติยศ’
ครั้นพอแจกปีกไก่ทอดชุดนี้หมด ไมค์ก็ก้มลงไปหยิบปีกไก่ชุดใหม่ออกมาหย่อนลงไปในกระทะ
หลังจากทำเรื่องพวกนี้จนเสร็จ เขาก็หันหน้ามาตอบคำถามก่อนหน้านี้ของซางเจี้ยนเย่า
“ของพวกนี้เอามาจากข้างนอกน่ะ นิกายพวกเรามีรถบรรทุกห้องเย็นชนิดพิเศษ มีฟาร์มไก่ที่สร้างขึ้นมาเอง”
ฟาร์มไก่… นิกายพวกคุณมันไม่ประหลาดไปหน่อยเหรอ… เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินก็มุมปากกระตุกทันที
นี่เป็นนิกายที่สร้างฟาร์มไก่เพื่อให้เหล่าสาวกได้เพลิดเพลินกับศีลมหาสนิทหรือไงเนี่ย!
ฟังดูแล้วก็เหมือนไม่เป็นภัยต่อชีวิต ไม่เป็นพิษต่อสัตว์ละนะ… เอ่อ ไม่สิ เป็นอันตรายต่อสัตว์ปีก!
ไมค์พูดต่อ
“พวกเราไม่ได้มีทรัพยากรมากขนาดนั้นหรอก มีเพียงแค่พิธีมหามิสซาทุกๆ กลางเดือนเท่านั้นถึงจะให้เหล่าสาวกได้เพลิดเพลินกับศีลได้
“คุณน่ะยังโชคดี เมื่อวานเป็นวันที่นิกายเราจัดพิธีมหามิสซาพอดี ปีกไก่พวกนี้คือชุดสุดท้ายที่เหลือมา เบื้องบนอนุมัติมาเป็นพิเศษให้เอามาใช้เผยแผ่นิกาย”
“อ้อ อ้อ” ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากหมูผงกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วเขาก็ถามขึ้น
“แล้วคำสอนนิกายคุณคืออะไร”
เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่เผยแผ่นิกาย เขาแสดงความเป็นมืออาชีพอยู่เสมอ
สีหน้าของไมค์กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“หัวใจของคำสอนนิกายเราก็คือที่พูดไปเมื่อครู่นี่แหละ มีเพียงแค่สองคำเท่านั้น
“ความสมมาตรและความสมดุล
“พวกเราต้องรักษาความสมดุลในทุกเรื่องที่เราทำ ถ้าพูดในส่วนย่อยคือรักษาความสมดุลของสภาวะของคุณทั้งหมด ความสมดุลของของเหลวในร่างกาย ความสมดุลของอารมณ์ ความสมดุลของตัวเองกับคนในครอบครัว
“หากพูดในส่วนใหญ่ก็คือมีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความสมดุลระหว่างมนุษย์แต่ละกลุ่ม ความสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ชั้นรอง ความสมดุลระหว่างมนุษย์กับผู้ครองกาล…
“ส่วนความสมมาตรก็คือปรากฏการณ์ที่งดงามที่สุดในโลก สิ่งที่ไม่สมมาตรคือสิ่งสกปรกน่าเกลียด…”
ไมค์พูดถึงแนวคิดของ ‘คันชั่งเกียรติยศ’ ออกมาทีละข้อๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ บางครั้งบางคราวก็ส่งเสียงเห็นด้วยสองสามคำ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดเตือนขึ้นโดยเน้นเป็นพิเศษ
“ปีกไก่สุกแล้ว”
“อ๊ะ ใช่ๆ” ไมค์รีบช้อนปีกไก่ขึ้นมาแล้วพูดกับกลุ่มคนที่อยู่ทางด้านซางเจี้ยนเย่า “ตาพวกคุณแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่ารีบนำตั้งแถวที่ต้นเสาหน้ากระทะเหล็ก ความเร็วและความเด็ดเดี่ยวที่เขาแสดงออกมาทำให้ผู้คนถึงกับรู้สึกประหลาดใจ
แล้วเขาก็ได้รับปีกไก่ซึ่งทอดจนกรอบเป็นสีเหลืองทองมาอย่างรวดเร็ว พอกัดเข้าไปคำหนึ่งก็พูดออกมาด้วยน้ำมันเต็มปาก
“อร่อย…”
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นฉากนี้ สีหน้าก็กลายเป็นซับซ้อนขึ้นมา
รอจนกระทั่งกินปีกไก่หมด ซางเจี้ยนเย่าก็ถามอย่างมีมารยาทออกมาหนึ่งประโยค
“ถ้าสาวกไปกราบไหว้ผู้ครองกาลองค์อื่น พวกคุณไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
“ไม่ได้เด็ดขาด!” ไมค์ตอบเสียงแข็ง
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย
“งั้นผมจะกลับไปคิดดูอีกที”
พอพูดจบเขาก็กลับหลังหันเดินเข้าไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนกลางถนนแล้วรีบปลดหน้ากากหมูอ้วนออกปานสายฟ้าแลบ
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าเดินไปยังถนนอีกด้าน เจี่ยงไป๋เหมียนที่เพิ่งจะมองดูปีกไก่หย่อนลงไปในกระทะเหล็กก็รีบกัดฟันตัดใจ เบียดฝ่าฝูงชนออกมา
เธอเดินตามไปได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ ที่ด้านหน้าก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
มีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวอยู่กลางถนน ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใด
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นซางเจี้ยนเย่ารีบเข้าไปดูความคึกคัก ตนเองจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมา รีบเข้าไปใกล้ๆ แล้วใช้ความสูงให้เป็นประโยชน์ ยืนเขย่งเท้ามองเข้าไปดูด้านใน
ที่อยู่กลางวงเหมือนจะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
“นั่นใครเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามชาวมุงที่อยู่ด้านหน้า
ชาวมุงคนนั้นตอบโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา
“เป็นคนที่รอดชีวิตกลับมาจากภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้เมื่อตอนบ่ายน่ะ เขาวิ่งออกมาจากโรงพยาบาล”
“เกี่ยวกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น…” เจี่ยงไป๋เหมียนเชื่อมโยงเรื่องราวได้ในทันที
“ใช่” ชาวมุงด้านหน้าเธอตอบยืนยัน แล้วพื้นที่กลางวงก็เปลี่ยนไป
มีคนถามขึ้นมา
“จางเก้า แล้วคนอื่นๆ ในทีมนายล่ะ”
เกิดความเงียบขึ้นมาอึดใจ แล้วก็มีเสียงแหบแห้งตะโกนขึ้นด้วยความหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก
“ตายแล้ว! ทุกคนตายหมดแล้ว!”
คนที่ถามคำถามเมื่อครู่เอ่ยถามต่อ
“ใครฆ่าพวกเขา ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเหรอ”
เสียงแหบแห้งนั้นเงียบไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะลั่น
“ฉันเอง! ฉันเป็นคนฆ่า!”