รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 251 หลี่เจ๋อ
สภาพจิตใจพังทลายถึงขีดสุดจนทำให้เสียสติ… เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังคิดจะแทรกตัวเข้าไปข้างในก็พลันพบว่าฝูงชนเริ่มถอนตัวแยกย้ายกันแล้ว
ด้านตรงข้ามมียามจักรกลสวมเครื่องแบบสีเขียวเข้มปรากฏกายขึ้นมาสองตัว
พวกมันมีความสูงพอๆ กับเกอนาวา แสงสว่างจากดวงตาก็เป็นสีน้ำเงินเรืองรอง นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนผู้ที่นับว่าตนเองไม่เคยมีปัญหาการแยกแยะใบหน้ากลับไม่สามารถระบุได้ว่าพวกหุ่นเหล่านี้ตัวไหน
เป็นตัวไหนกันแน่ และยิ่งกว่านั้นพวกชิ้นส่วนเสริมต่างๆ ที่แต่ละตัวมีไม่เหมือนกันนั้นก็ล้วนแต่อยู่ในร่มผ้าทั้งสิ้น
ยามจักรกลทั้งสองตัวเข้าไปหิ้วปีกชายที่อยู่กลางถนนคนนั้น พาเดินไปยังสุดปลายถนน
ชายคนนั้นสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวโคร่งสีขาวน้ำเงิน ผมดำยาวยุ่งเหยิงปรกลงมา มีตอหนวดเคราสีเขียวครึ้มรอบปาก ในดวงตาแสดงความรู้สึกของอาการวิตกจริตชนิดหนึ่ง
ในขณะที่ถูกลากตัวไป เขาก็ยังคงตะโกนไม่หยุดหย่อน
“ตายหมดแล้ว! ตายกันหมด!”
ถนนที่แต่เดิมนั้นคึกคักมีชีวิตชีวาพลันเงียบสงัดไป จนกระทั่งชายคนนั้นถูกยามจักรกลพาไปที่อื่น หายลับไปต่อหน้าฝูงชน ทุกคนถึงมีสติกลับมา จากนั้นก็พากันพูดคุยสนทนาเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่ปรากฏตัวขึ้นในเขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้
แม้จะเรียกว่าเขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้ก็ตาม ทว่าจริงๆ แล้วมันอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทาร์นัน เพียงแต่ว่าผู้คนที่นี่คุ้นกับการใช้เทือกเขาภูชีลาร์เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบ
เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดสายตามองไปโดยรอบก็เห็นว่าผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนนั้นไม่ได้แสดงความหวาดกลัววิตกกังวลใดๆ ออกมา ราวกับพวกเขามองว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ยามจักรกลสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
‘สวรรค์จักรกล’ ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยมั่นคงและวางใจได้ทุกอย่างเลยสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจอย่างเงียบงัน แล้วก็แอบติดตามซางเจี้ยนเย่าต่อไป
* * * * *
เวลา 22.00 น. ณ ห้องหมายเลข ‘221’ โรงแรม ‘ฝันนิทรา’ สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่ออกไปปฏิบัติภารกิจได้กลับมารวมตัวอีกครั้ง
“ดีมาก กลับมากันครบหมดแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนกวาดตามองทุกคนโดยรอบแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
คำพูดประโยคนี้ของเธอนั้นเน้นชมเชยหลงเยว่หงเป็นหลัก
โดยไม่รอให้หลงเยว่หงมีโอกาสพูดถ่อมตัว เธอก็พูดเสริมขึ้นอีกประโยค
“เอาละ ไหนเล่าให้ฟังสิว่าได้เรื่องอะไรกันมาบ้าง งั้นก็เริ่มจาก… อืม… เสี่ยวไป๋ก็แล้วกัน”
แม้ว่าไป๋เฉินจะต้องคอยเฝ้าจับตาดูหลงเยว่หงไว้ แต่ในระหว่างที่เขากำลังสอบถามเพื่อรวบรวมข้อมูลอยู่นั้นเธอก็ไม่ได้ปล่อยให้ทักษะการสังเกตของตัวเสียเปล่าไป
“ทาร์นันมีบาร์สองแห่ง แต่ขายแค่เหล้าผลไม้ แถมยังมีจำนวนจำกัดด้วย
“สภาพข้างในคล้ายกับ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ของบริษัท ส่วนใหญ่เป็นพวกคนท้องถิ่น พวกนักล่าซากอารยะที่ไม่อยากออกไปเสี่ยงอันตรายในช่วงหน้าหนาว แล้วก็คนของคาราวานการค้าต่างๆ มานั่งเล่นไพ่ พูดคุย ร้องเพลง เต้นรำ…”
เห็นได้ชัดว่าปริมาณผลผลิตจำพวกข้าวของทาร์นันไม่พอจะสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตสุรา ต่อให้ผลิตออกมามากเพียงใดก็ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการอยู่ดี พวกคาราวานต่างถิ่นยอมจ่ายราคาแพงขึ้นเพื่อซื้อสินค้าเนื่องจากไม่มีใครยอมลุยน้ำข้ามภูเขามาที่นี่เพื่อขายเหล้าเพียงแค่สิบยี่สิบถัง บนแดนธุลีมีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดาดดื่นอย่างเมืองหญ้าไพร เพราะส่วนใหญ่นั้นมีอาหารไม่เพียงพอ
ดังนั้นสำหรับชาวเมืองทาร์นันแล้ว พวกผลไม้ป่าตามฤดูกาลบนภูชีลาร์ที่รสชาติย่ำแย่จนไม่สามารถนำมาทำอาหารได้โดยตรงและมีอายุการเก็บรักษาสั้น ก็พอจะกล้อมแกล้มนำมาทำเป็นเหล้าผลไม้ได้
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าดวงตาเป็นประกาย เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“ความบันเทิงของที่นี่นับว่ายังมีความหลากหลายอยู่บ้าง
“แต่น่าเสียดายที่เหมือนจะไม่มีรายการวิทยุนะ”
ทุกๆ วันหยุดพักผ่อนที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น ใน ‘ศูนย์กิจกรรม’ จะจัดกิจกรรมพิเศษซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่งานเต้นรำบอลรูม บาสเก็ตบอล ชักเย่อเท่านั้น นี่เพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิตให้เหล่าพนักงาน
หลงเยว่หงฟังแล้วก็ช่วยเสริม
“แต่ก็มีสื่อบันเทิงจากโลกเก่าอยู่เหมือนกัน
“ผมเห็นชาวเมืองที่นี่มีหลายคนที่มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ข้างในมีสื่อบันเทิงของโลกเก่าอยู่บ้างไม่มากก็น้อยล่ะ”
สภาพการณ์เช่นนี้ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ไม่อาจเทียบได้แม้แต่น้อย
พนักงานธรรมดาจะไปมีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้านได้ยังไง
“สำหรับที่นี่แล้ว พวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ค่อยมีราคาค่างวดจริงๆ ถ้าเป็นเมืองหญ้าไพรนะ ขุนนางบางคนยังไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้เลย” เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงความเห็นออกมา
แต่แน่นอนว่าเมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหญ้าไพรกับ ‘สวรรค์จักรกล’ แล้ว พวกขุนนางที่ไม่มีคอมพิวเตอร์นั่น หลักๆ แล้วเป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าคอมพิวเตอร์ไร้ประโยชน์เสียมากกว่า
ของพวกนี้ช่วยเรื่องการเพาะปลูกทำฟาร์มได้หรือไง
รอจนไป๋เฉินเล่าถึงสิ่งที่รวบรวมมาได้จนหมดแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปถามซางเจี้ยนเย่า
“นายล่ะ ได้อะไรมาบ้าง”
อย่าบอกนะว่าได้เต้นอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ร้องเพลงจนหนำใจ ปีกไก่ทอดก็เลิศรส… เมื่อพูดจบประโยค เจี่ยงไป๋เหมียนก็เสริมขึ้นในใจอีกหนึ่งประโยค
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“นิกายที่จัดคนมาร้องเพลงอยู่ริมถนนคือ ‘นิกายมังกรพยับ’ กราบไหว้บูชาเทพี ‘มายาฉาย’ ผู้ครองกาลแห่งเดือนสิบเอ็ด
“พวกเขาเชื่อว่าโลกเราในตอนนี้เป็นภาพลวงตาขนาดใหญ่ที่ผู้ครองกาล ‘มายาฉาย’ ใช้สำหรับทดสอบมนุษย์ ร่างที่แท้จริงของ ‘เทพแห่งภาพลวง’ องค์นี้ก็คือมังกรพยับในตำนานโบราณ มีเพียงการสรรหาสารพัดวิธีการเพื่อทำให้พระองค์พอใจ ถึงจะหลุดพ้นจากโลกมายาอันทุกข์เข็ญ ตื่นจากฝันรำพันพบพานโลกแท้จริงอันสวยสดงดงาม ซึ่งนั่นก็คือโลกใหม่…
“พวกเขาเรียกเหล่าสาวกผู้ศรัทธาที่ได้รับการุณย์แห่งองค์เทพี ‘มายาฉาย’ ว่า ‘ทายาทมังกร’”
โอ้ ไม่เลวนะเนี่ย ไปร้องเล่นเต้นกินแล้วยังไม่ลืมภารกิจ… เจี่ยงไป๋เหมียนพลันรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาทันที จึงรีบถามออกมา
“แล้วนายไม่สนใจเหรอว่าศีลมหาสนิทของ ‘นิกายมังกรพยับ’ คืออะไร”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ผมกลัวว่าตัวเองจะลังเลน่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนจุ๊ปาก
“ที่จริงไม่ต้องกังวลก็ได้ นายลองคิดสิ พวกเขาบอกว่าโลกในตอนนี้ก็คือภาพลวงตาขนาดใหญ่ งั้นยังต้องมีศีลอีกเหรอ เป็นของปลอม เป็นภาพลวงตาทั้งนั้นแหละ”
“นั่นสินะ…” ดูเหมือนซางเจี้ยนเย่าจะเริ่มคล้อยตาม
แต่เขาก็ถามขึ้นมาอีก
“งั้นพวกเขาไม่ต้องกินอาหารไม่ดีกว่าเหรอ จะได้ ‘หิวจนทนไม่ไหว’ ต้องตื่นขึ้นมาจากฝัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนเกือบจะตอบคำถามนี้ไม่ได้ ดีที่เธอมีไหวพริบยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีจินตนาการบรรเจิดด้วย
“เราเคยเจอ ‘ม้าฝันร้าย’ ไม่ใช่หรือไง อดตายในฝันก็ทำให้อดตายขึ้นมาได้จริงๆ ใช่ไหมล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าใช้หมัดขวาทุบลงบนฝ่ามือซ้าย
“ผมเข้าใจแล้ว”
จากนั้นเขาก็เล่าเรื่อง ‘คันชั่งเกียรติยศ’ ต่อ
ส่วน ‘นิกายเตาหลอม’ นั้นทุกคนต่างก็ได้ฟังมีนส์พูดถึงมาก่อนแล้ว เขาจึงไม่ได้เล่าซ้ำ
จบจากซางเจี้ยนเย่าก็เป็นรอบของหลงเยว่หง เขานึกทบทวนข้อมูลที่ตนเองได้พูดคุยกับคุณตาคุณยายคนท้องถิ่นหลายๆ คน
“แม็กซิเมียน… ‘สวรรค์จักรกล’ ประกาศรางวัลตามหาตัวมนุษย์คนหนึ่งมาหลายปี… นี่เขาทำอะไรกันแน่ หรือว่ามันเกี่ยวข้องกับการวิจัยที่สำคัญมากของโลกเก่า” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาโดยสันนิษฐานจากข้อที่ว่าแม็กซิเมียนเป็นนักวิทยาศาสตร์
“ก็เป็นไปได้” หลงเยว่หงเสนอขึ้นมา “หัวหน้า พรุ่งนี้ผมอยากไปเยี่ยมเยียนกู้ป๋อ ประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่นสักหน่อย เขาน่าจะรู้เรื่องอยู่ไม่น้อย”
เพราะคืนนี้เขาคงไม่มีทางหาบ้านของกู้ป๋อเจอเป็นแน่
“ได้สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนชมด้วยความพอใจ “ไม่เลว นายเริ่มมีความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรๆ เองแล้ว นี่ก็หมายความว่านายมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น อื้อ พรุ่งนี้นายกับเสี่ยวไป๋จับคู่กันไปเยี่ยมเยียนประธานกู้ป๋อ ส่วนฉันกับซางเจี้ยนเย่าจะไปที่โบสถ์ของ ‘นิกายเตาหลอม’ ไปหา ‘ผู้อุทิศ’ หลี่เจ๋อดูหน่อย”
ในเมื่อมีจดหมายแนะนำของมีนส์แล้ว ถ้าไม่ใช้โอกาสสร้างความสัมพันธ์และเก็บข้อมูลก็เสียของเปล่าๆ
ท้ายสุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็เล่าเรื่องของผู้รอดชีวิตที่เสียสติ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เจอมา
* * * * *
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลังจากกินมื้อเช้าอย่างง่ายๆ แล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็แบ่งเป็นสองกลุ่ม แยกย้ายมุ่งหน้าไปยังจุดหมายของตน
โบสถ์ของ ‘นิกายเตาหลอม’ อยู่ทางใต้สุดของถนนเส้นเมื่อคืน ดูเหมือนว่าถูกดัดแปลงมาจากโรงงานเล็กๆ แห่งหนึ่งของโลกเก่า
มันเป็นอาคารตั้งอยู่โดดเดี่ยว ผนังด้านนอกเป็นโลหะสีดำ บานประตูทาด้วยสีแดงเพลิง มองในแว่บแรกก็เหมือนเป็น ‘เตาหลอม’ หน้าตาแปลกพิกล
เมื่อเดินจนกระทั่งสุดทาง เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าก็เห็นป้ายบอกทาง และรู้ชื่อถนนที่ตนกำลังอยู่ในขณะนี้จากป้ายบอกทางที่เป็นรอยด่างดำ
‘ถนนเลียบน้ำ’
ประตูโบสถ์เตาหลอมปิดสนิท ประหนึ่งว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไป ทว่าเจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าฟังมีนส์เล่าว่านี่เป็นการจำลองความรู้สึกถึง ‘เตาหลอม’ เป็นหลัก ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันคนเข้าไป
เจี่ยงไป๋เหมียนเหยียดมือซ้ายออกไปผลักเปิดประตู พลันรู้สึกถึงคลื่นความร้อนพวยพุ่งออกมาปะทะ
นี่ช่างตรงข้ามกับลมหนาวเสียดกระดูกที่อยู่ภายนอกอย่างสิ้นเชิง
เจี่ยงไป๋เหมียนแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าหลังคาทรงโค้งนั้นอยู่สูงมาก มีท่อสีเทาอ่อนกับโลหะสีดำยืดยาวออกไปตามเสาและกำแพงในตำแหน่งต่างๆ
“มันทำให้เกิดความร้อน” ซางเจี้ยนเย่าวางฝ่ามือบนท่อโลหะสีดำข้างประตู
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนประเมินออกมา
“ข้างในน่าจะเป็นน้ำร้อนไหลอยู่ หรูหราชะมัด!”
เธอเชื่อว่านี่เป็นการทำเลียนแบบระบบทำความร้อนของโลกเก่า
นี่ทำให้อนุมานได้ว่าน่าจะมีหม้อต้มขนาดใหญ่และกองถ่านหินอยู่ด้านหลังโบสถ์
แม้ว่าเรื่องที่โบสถ์กับสิ่งของพวกนี้มีความเกี่ยวข้องกันจนทำให้รู้สึกตงิดใจแปลกๆ อยู่บ้าง เหมือนเป็นรูปแบบของระบบอุตสาหกรรมที่น่าอัศจรรย์ แต่เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนนึกถึงชื่อของนิกายว่าคือ ‘เตาหลอม’ ก็พอจะเข้าใจได้อยู่
“กรุณาปิดประตูด้วย” มีเสียงหนึ่งดังมาจากหน้าห้องสวดมนต์
นั่นสิ ถ้าปล่อยความร้อนระบายออกข้างนอกมากไป ก็จะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ… เจี่ยงไป๋เหมียนบังเกิดความเข้าใจใหม่ขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดประตูของ ‘นิกายเตาหลอม’ ถึงถูกปิดเอาไว้ตลอดเวลา
ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัยในขณะที่ปิดประตู
“ถ้าเป็นฤดูร้อน ที่นี่ยังจะเปิดระบบทำความร้อนไว้อยู่หรือเปล่า”
เจี่ยงไป๋เหมียนนึกภาพตามก็พลันรู้สึกร้อนระอุขึ้นมาทันที
“ไม่ได้เปิด การออกแบบด้านสถาปัตยกรรมของที่นี่ทำให้ความร้อนของฤดูร้อนไหลเวียนอยู่ภายใน ไม่เล็ดลอดออกไปข้างนอก ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในเตาหลอมได้โดยตรง”
เขามีอายุประมาณสี่สิบปี สวมชุดคลุมยาวสีแดงเพลิง มีลักษณะของชาวแดนธุลี ผิวสีเข้มเล็กน้อย โหนกแก้มค่อนข้างสูง ผมเปียกปอน หน้าผากชุ่มเหงื่อ
“ขอถามหน่อย ใต้เท้าหลี่เจ๋ออยู่หรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างมีมารยาท
ชายชุดคลุมแดงผ่อนลมหายใจ
“ผมเองแหละ หลี่เจ๋อ เป็น ‘ผู้อุทิศ’ ของโบสถ์”
“คุณร้อนบ้างไหม” ซางเจี้ยนเย่าถามด้วยความสงสัย
หลี่เจ๋อผงกศีรษะ
“ร้อนสิ ร้อนมาก แต่ก็รู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกสบายมากเช่นกัน รู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งสกปรกในร่างถูกแผดเผาด้วยเตาหลอม”
เมื่อเห็นพวกเจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกงุนงง หลี่เจ๋อก็ชี้ไปที่ประตูที่อยู่ด้านข้าง
“ผมเพิ่งเสร็จพิธีมิสซามาน่ะ ที่นั่นก็คือห้องทำพิธีมิสซาของเรา”
“พวกคุณจัดพิธีมิสซากันในห้องพิเศษเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปิดบังความสงสัยและอยากรู้อยากเห็นของตน
หลี่เจ๋อคลี่ยิ้ม
“ถูกต้อง พิธีมิสซาของเราค่อนข้างมีเงื่อนไขพอสมควร เราต้องราดน้ำลงบนหินที่เผาไฟจนร้อนแดงก่ำในห้องที่ปิดมิดชิด มองดูไอน้ำที่ระเหยออกมา
“อ้อ นี่ก็คือออร่าของทวยเทพที่พระองค์ประพรมให้พวกเรา
“มันซึมซาบเข้าไปในเสื้อผ้าเรา ซึมซาบเข้าไปในผิวหนังเรา เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและความเหนื่อยล้าภายในร่างให้มลายหายไป…
“หลังจากเสร็จพิธีมิสซาทุกครั้งและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เราจะรู้สึกว่าร่างกายเบาสบาย สดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างมาก นี่เป็นการุณย์แห่งเทพ ทำให้พวกเรารู้สึกเช่นเดียวกับการได้รับศีลในฤดูร้อน”
“…” ยิ่งเจี่ยงไป๋เหมียนฟังมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งมีสีหน้าประหลาดพิกลมากขึ้นเท่านั้น
เธอรู้สึกคันปากอยากถามออกไปว่านิกายพวกคุณในสมัยโลกเก่านี่มีปูชนียสถานหรือไม่ และถ้ามี มันเรียกว่า ‘ซาวน่า’ หรือเปล่า