รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 256 นิกายมังกรพยับ
ด้านหน้าโรงพยาบาลทั่วไปทาร์นัน ภายในรถจี๊ปดัดแปลงสีเขียวขี้ม้า
เจี่ยงไป๋เหมียนในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับเอี้ยวตัวกลับมาถามพวกซางเจี้ยนเย่าด้านหลัง
“พวกนายคิดไงกันบ้าง”
หลงเยว่หงพูดความคิดเห็นของตนเองออกมาก่อนซางเจี้ยนเย่า
“พลังพิเศษของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นน่าจะเป็นการสร้างภาพหลอน ดังนั้นจางเก้าก็เลยเข้าใจว่าเพื่อนตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด มองเห็นเป็นมังกรยักษ์ จึงทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวง ส่งผลให้สภาพจิตพังทลายไปโดยสิ้นเชิง”
หลังจากเขาพูดจบก็พบว่าไม่มีใครเสริมอะไร คำแย้งก็ไม่มี นี่ทำให้รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อยจนต้องเอ่ยปากถามขึ้นมา
“พวกคุณคิดว่าไง”
“จากข้อมูลที่รวบรวมมาจนถึงตอนนี้ นี่นับว่าเป็นไปได้มากที่สุดแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนให้คำตอบยืนยัน
จากนั้นเธอก็ยิ้มแล้วชมเชยออกไปประโยคหนึ่ง
“การวิเคราะห์และประเมินเรื่องต่างๆ ของนายก้าวหน้าขึ้นนะ”
ในตอนที่หลงเยว่หงกำลังรู้สึกปลื้มปริ่มและเก้อเขินอยู่บ้าง ซางเจี้ยนเย่าก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
“หุ่นสมองกลนี่สามารถถูกผลกระทบจากภาพหลอนได้ด้วยเหรอ”
“ถูกต้อง ปัญหาข้อใหญ่สุดในตอนนี้ก็คือทำไมยามจักรกลทั้งสิบตัวนั่นถึงขาดการติดต่อไป” ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนตรึกตรองแล้วพูดขึ้น
“มันก็ต้องดูว่าแก่นแท้พลังพิเศษของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นเป็นอะไร ถ้าหากเขาสร้างภาพหลอนโดยการรบกวนประสาทสัมผัส อย่างนั้นหุ่นสมองกลก็ไม่มีทางถูกหลอกแน่ๆ ถึงยังไงระบบประสาทสัมผัสของพวกมันก็แตกต่างไปจากมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แต่ถ้าหาก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นบิดเบือนข้อมูลของสิ่งแวดล้อมโดยตรง ดัดแปลงสัญญาณที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างภาพหลอน แบบนี้หุ่นสมองกลก็คงไม่อยู่ในข้อยกเว้น”
เธอหยุดไปอึดใจแล้วก็พึมพำกับตัวเอง
“แต่ทำไมจางเก้าถึงมองเห็นมังกรล่ะ
“ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว คนที่ไม่เคยมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนก็ไม่มีทางจะจินตนาการมังกรออกมาได้ด้วยตัวเอง…
“อย่าบอกนะว่านั่นเป็นมังกรที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นสร้างขึ้นมา แต่ว่าเขาจะสร้างมังกรขึ้นมาทำไม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
“ผมรู้ว่าที่ไหนมีมังกร!”
“ที่ไหน” เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะคาดเดาคำตอบได้ลางๆ
“โบสถ์นิกายมังกรพยับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“นายเคยเข้าไปเหรอ” คนที่ถามไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียน แต่เป็นหลงเยว่หง
“เปล่า” ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะแล้วพูดออกมาเต็มปากเต็มคำ “ฉันเดา”
ในขณะที่หลงเยว่หงมุมปากกระตุก เจี่ยงไป๋เหมียนก็ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“สถานที่กราบไหว้บูชามังกรพยับจะมีรูปมังกรอยู่ก็ไม่แปลกหรอก
“ถ้าจางเก้าเป็นสาวกนิกายมังกรพยับ งั้นปัญหาก็เป็นอันคลี่คลาย…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ร้อง “เอ๊ะ” ออกมา
“ที่นิกายมังกรพยับกราบไหว้นี่ เป็นผู้ครองกาลองค์ไหนนะ”
“เทพี ‘มายาฉาย’ ผู้ครองกาลแห่งเดือนสิบเอ็ด” ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ตอบออกมา
“พระองค์ยังมีพระนามอื่นอีกด้วยนี่ ใช่ไหมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
ไป๋เฉินเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็โพล่งขึ้นมาพร้อมกับหลงเยว่หง
“เทพแห่งภาพลวง!”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะว่าเป็นเช่นนั้นจริง
“งั้นนี่ก็ชักจะน่าสนใจขึ้นมาแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างสนใจและจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “พลังพิเศษของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นดูเหมือนจะสร้างภาพลวงตาได้ จางเก้าเองก็มองเห็นมังกร…”
เผียะ!
เธอตบมือฉาดแล้วหันไปพูดกับไป๋เฉิน
“พวกเราไปโบสถ์นิกายมังกรพยับกัน”
หลงเยว่หงรู้สึกกังวลขึ้นมา
“ไปที่นั่นโดยตรงเลย มันจะดีเหรอ”
“งั้นนายคิดจะไปยังไงล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างให้ความร่วมมือ
“ไปหาเจ้าเมืองเกอนาวากันก่อน จากนั้นก็พายามจักรกลไปด้วยสักสองสามตัว” หลงเยว่หงรู้สึกว่าแบบนี้จะปลอดภัยกว่า
“ก็ได้… เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็เลยกล้าเถียงงั้นสินะ!” คนที่พูดประโยคนี้ไม่ใช่เจี่ยงไป๋เหมียน แต่เป็นซางเจี้ยนเย่า
เจี่ยงไป๋เหมียนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะด่าเขาด้วยความโมโห
“นายไปหัดประโยคพวกนี้มาจากไหน จากละครวิทยุหรือไง”
“เปล่า” ซางเจี้ยนเย่าปฏิเสธเสียงแข็ง
เจี่ยงไป๋เหมียนผู้ซึ่งรู้ว่าเขาจะไม่โกหกในเรื่องแบบนี้ ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาโดยพลัน
“งั้นไปจำมาจากไหน”
หลงเยว่หงรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ทว่าก็ไม่รู้ว่ามันไม่ปกติตรงไหน
วินาทีถัดมาเขาก็เห็นซางเจี้ยนเย่าหัวเราะ
“ก็จำมาจากตอนที่ยืนดูเสี่ยวหงถูกแม่ตีก้นน่ะ”
“เชี่ย!” หลงเยว่หงด่าออกมาคำหนึ่ง
นี่คือข้อเสียของการมีเพื่อนนิสัยเสียที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต
มิน่าล่ะ เมื่อกี้ถึงได้รู้สึกคุ้นหูชะมัด!
เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นหัวเราะ ไม่พูดเรื่องนี้ต่อแล้วอธิบายเรื่องก่อนหน้าอย่างคร่าวๆ
“ถ้าพายามจักรกลไปด้วยมันจะทำให้บรรยากาศตึงเครียดได้ง่ายน่ะ อาจเกิดความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น
“จุดประสงค์ของเราก็แค่ต้องการถามว่าจางเก้าเป็นสาวกของนิกายมังกรพยับหรือเปล่าเท่านั้นเอง ต้องไปถามกับ… เอ่อ… อธิการของนิกายมังกรพยับละมั้ง ว่าเขาคิดยังไงกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่เขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้ แล้วก็ปรึกษาดูว่าพอจะมีวิธีไหนที่ทำให้มองทะลุภาพหลอนได้บ้างไหม
“เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นประเด็นอ่อนไหวอะไรนัก ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากหรอก”
“นั่นสินะ” หลงเยว่หงคล้อยตาม
และนอกจากนั้นก็คือในเวลากลางวันแบบนี้ ไม่ว่าที่ไหนก็มีกล้องวงจรปิดพูดได้ติดตั้งอยู่ทุกที่อยู่แล้ว
* * * * *
ศาสนสถานของนิกายมังกรพยับนั้นตั้งอยู่ที่ทางเหนือสุดของถนนเลียบน้ำ มันไม่ใช่โบสถ์ แต่เป็นศาลาธรรมที่ให้บรรยากาศแบบแดนธุลียุคโบราณ เป็นผนังสีขาวปูกระเบื้องสีดำ
ด้านบนมีป้ายชื่อแขวนเอาไว้ เขียนว่า
‘อารามหนานเคอ’
ด้านในของบานประตูไม้สีน้ำตาลที่เปิดออกนั้นเป็นลานกลางเรือน อีกด้านของลานเป็นศาลาธรรมซึ่งมีลวดลายเป็นภาพเมฆมากมาย
ภายในศาลาธรรมนั้น ด้านบนเป็นคานไม้เรียงแนวขวาง ด้านล่างเป็นเก้าอี้มีพนักตั้งเรียงเป็นแถว ด้านในสุดเป็นหิ้งสักการะ ด้านบนหิ้งสักการะมีสัญลักษณ์ของมังกรพยับเป็นเศษกระจกแตกๆ ฝังไว้
ในขณะนี้มีผู้ศรัทธาหลายคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังหลับตาสวดภาวนา
ก่อนที่พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าจะเดินเข้าไปใกล้นั้น นักบวชหญิงของนิกายซึ่งอยู่หน้าหิ้งสักการะก็รีบตรงเข้ามาหา
นักบวชหญิงอายุไม่มากนัก ดูแล้วน่าจะประมาณ 27-28 ปี เธอสวมชุดคลุมยาวสีขาวในสไตล์โบราณของโลกเก่า ที่เอวมีเชือกป่านคาดไว้
ผมเธอนั้นดำเป็นเงางามยาวปรกบ่า ใบหน้าไม่ได้งดงามทว่าให้ความรู้สึกยากอธิบายบางประการ
นักบวชหญิงกวาดสายตามาที่ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ในที่สุดพวกคุณก็มาถึงเสียที”
“หือ” หลงเยว่หงร้องอย่างงุนงงออกมา
เขาจำไม่ได้ว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นได้นัดหมายกับทางนิกายมังกรพยับไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่
อย่าบอกนะว่า… ในระหว่างที่กำลังสงสัยใจอยู่นั้น หลงเยว่หงก็เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
อย่าบอกนะว่าตอนที่ปฏิบัติภารกิจฉายเดี่ยว พอเจ้าหมอนี่กินศีลของนิกายมังกรพยับเข้าไปก็เลยแอบนัดหมายเอาไว้แล้ว
เมื่อนักบวชหญิงผู้นั้นเห็นว่าพวกเจี่ยงไป๋เหมียนมีทีท่าตกตะลึงไป เธอก็ยิ้มให้อย่างผ่อนคลาย
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ถึงจะมาสายไปบ้างก็เป็นธรรมดาแหละ ถึงแม้ ‘มหาพิธีพิภพมายา’ ของนิกายเราจะเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ผู้ปกป้องมายาฝันเองก็ยังมาสาย บางคนถึงกับมาไม่ทันพิธีด้วยซ้ำ
“เอาละ เรามาเริ่มพิธีรับขวัญสู่นิกายกันเถอะ…”
“เดี๋ยวก่อน…” ซางเจี้ยนเย่ารีบขัดอีกฝ่ายขึ้นทันที “ศีลของพวกคุณคืออะไรเหรอ”
“อ้าว ก็บอกพวกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ” นักบวชหญิงถามด้วยความสงสัย “ศีลพวกเรานั้นเรียบง่ายธรรมดามาก เป็นบิสกิตทำเองกับน้ำผึ้งน่ะ”
“น้ำผึ้ง…” ซางเจี้ยนเย่าเริ่มลังเลขึ้นมา
แล้วตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็อดถามขึ้นมาไม่ได้
“เอ่อ… คุณจำคนผิดหรือเปล่า”
นักบวชหญิงชะงักไปชั่วขณะก่อนจะแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน
“เอ่อ… หรือว่าจะจำผิดกันนะ”
เธอหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าลับของชุดคลุมยาวสีขาวแล้วหยิบรูปถ่ายออกมาใบหนึ่ง
“ไม่ใช่พวกคุณจริงๆ ด้วย
“แต่ก็มีสี่คนเหมือนกัน!”
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองแล้วเกือบจะหัวเราะด้วยความโมโห
ในภาพถ่ายใบนั้น นอกจากเรื่องที่ว่าเป็นชาวแดนธุลีสี่คน ชายสองหญิงสองแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหมือนกับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แม้แต่นิดเดียว
โดยเฉพาะชายที่สูงที่สุดในภาพนั้น รูปร่างราวกับกอริลล่า นี่ต้องตาถั่วขนาดไหนถึงจะมองเห็นซางเจี้ยนเย่าเป็นเขาไปได้
ส่วนซางเจี้ยนเย่าเองก็ทำเนียน พูดเออออกับอีกฝ่ายเรื่องเข้าร่วมนิกายกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย!
นักบวชหญิงผู้นั้นก้มมองรูปถ่ายสลับกับเงยหน้ามอง ‘ทีมสำรวจเก่า’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ยืนยันได้แล้วว่าตนเองจำคนผิดไปจริงๆ
เธอแสดงรอยยิ้มกระอักกระอ่วนออกมาพร้อมกับก้มโค้งคำนับจนต่ำ
“ขอโทษนะคะ ฉันจำหน้าคนได้ค่อนข้างแย่ค่ะ”
พูดจบเธอก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าเอนหลังปานกลางพร้อมกับยกมือสองข้างขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังสักการะบางสิ่งในความว่าง
“ขอพระองค์ทรงโปรดพวกคุณ”
นิกายคุณนี่มันอะไรกันเนี่ย คนระดับสูงที่ชอบมาสายกับผู้เผยแผ่ศาสนาที่จำหน้าคนไม่ได้… นี่มันเหยาะแหยะทำอะไรตามใจเกินไปหน่อยแล้ว… เมื่อหลงเยว่หงที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้า ถึงแม้จะคันปากอยากพูดออกมาแต่ก็รู้สึกเกรงใจที่จะบอกออกมาตรงๆ
เขากวาดตามองก็พบว่าหัวหน้าทีมนั้นไม่เพียงแต่จะไม่หัวเราะเยาะออกมา แต่กลับยังเผยสีหน้าครุ่นคิดอีกด้วย
นี่… นี่เป็นการสละของผู้ตื่นรู้งั้นสินะ… ความคิดหลงเยว่หงวาบขึ้นมา ตระหนักได้ในทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนเก็บอารมณ์แล้วถามอย่างจริงจัง
“ไม่ทราบว่าจะให้เรียกคุณว่าอะไรดี”
“ฉันชื่อโจวเยว่ เป็นเจ้าอารามหนานเคอ พวกคุณเรียกฉันว่านักพรตโจวก็ได้” นักบวชหญิงแนะนำตัวเอง
บางทีอาจเป็นเพราะนึกได้ว่าการกระทำเมื่อครู่นี้ของตนเองนั้นดูแล้วค่อนข้างเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือ เธอจึงหัวเราะแห้งๆ ออกมาสองคำ
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย
“จะเอ้อระเหยไปนิด เอื่อยเฉื่อยไปบ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก”
ก่อนเจี่ยงไป๋เหมียนจะตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามออกมาเสียก่อน
“ขอถามหน่อยว่าทำไม ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ พวกนั้นถึงมาช้าเหรอ”
เจ้าอารามโจวเยว่ราวกับดีใจว่าครั้งนี้ไม่ใช่ตนเองที่ทำเรื่องขายหน้าอีก เธอรีบตอบทันที
“บางทีก็หลงทางน่ะ!”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดหัวข้อสนทนาก็กลับ ‘เข้าร่องเข้ารอย’ เสียที เธอจึงเผยลักษณะท่าทางที่สงบนิ่งอ่อนโยนของนักพรตกำราบมาร
“ไม่ทราบว่าพวกคุณมีธุระอะไรเหรอคะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนเรียบเรียงคำพูดแล้วกล่าวออกมา
“เจ้าอารามโจว ไม่ทราบว่าคุณรู้เรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่ปรากฏตัวในเขตภูเขาตะวันตกเฉียงใต้หรือเปล่า”
“ก็พอจะได้ฟังมาบ้างนิดหน่อย ทำไมเหรอ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า” โจวเยว่ตอบราวกับไม่กังวลสิ่งใดแม้แต่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนถามเพิ่มอีก
“แล้วคุณรู้จักผู้รอดชีวิตที่ชื่อจางจิ้นไหม เขาชื่อเล่นว่าจางเก้าน่ะ”
โจวเยว่นึกทบทวนครู่หนึ่ง
“ไม่รู้จักนะ
“ถึงฉันจะจำหน้าคนไม่ค่อยได้ แต่เรื่องชื่อน่ะ ฉันจำแม่นเชียวล่ะ เขาไม่น่าจะเป็นคนของนิกายเรา นอกเสียจากว่าเขาจะมาเข้าร่วมโดยใช้ชื่อปลอม”
“มีความเป็นไปได้น้อยมาก” ซางเจี้ยนเย่าแสดงความเห็นด้วยน้ำเสียงของยอดนักสืบ
แล้วคนที่แอบอ้างชื่อ ‘กู้จือหย่ง’ ไปกินปีกไก่ทอดนั่นเป็นใครยะ… เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาพร้อมกับด่าในใจไปประโยคหนึ่ง
ถึงจะมีคนแบบนี้ไม่มาก แต่รับประกันได้ว่าต้องมีแน่นอน!
จากนั้นเธอก็พูดกับเจ้าอารามโจว
“เรื่องมันเป็นแบบนี้นะ ตอนที่เราสอบถามจางเก้า เขาบอกมาว่าหลังจากเจอกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ แล้ว เขาก็พบว่าเพื่อนตัวเองกลายเป็นสัตว์ประหลาด แถมยังเห็นมังกรด้วย”
“มังกร…” สีหน้าโจวเยว่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมา