รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 258 บาร์
เวลาเย็น ‘ทีมสำรวจเก่า’ ที่ไม่มีเรื่องให้ทำจึงตัดสินใจแวะไปยังบาร์ของทาร์นัน
ทางหนึ่งนั้นก็เพื่อดูว่าพอจะหาข่าวอะไรได้บ้างไหม อีกทางหนึ่งก็เพราะไม่อยากกล้ำกลืนฝืนกินอาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง และธัญพืชอัดแท่งที่พกมาด้วยอีกแล้ว
ขอเพียงแค่มีอาหารปกติขายในบาร์ พวกเขาก็ยอมทุ่มทุนจ่าย ถึงอย่างไรคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กรุ่นล่าสุดที่ใส่อยู่ท้ายรถก็แทบไม่มีมูลค่าอะไร ถึงเอาไปแลกกระสุนก็ได้มาไม่เท่าไหร่
แต่ถึงแม้ในบาร์จะหาอาหารสดไม่ได้ ก็ยังมีอาหารกระป๋อง บิสกิตอัดแข็ง ธัญพืชอัดแท่งรสชาติอื่นๆ ให้เลือกได้ หรือพูดสั้นๆ ก็คืออาหารที่เอามาเองเนี่ย พวกเขากินกันจนเอียนเต็มที
บาร์ในทาร์นันมีอยู่สองแห่ง ตั้งอยู่เยื้องกันใกล้มาก ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่ตรงกลางพอดี หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาเขาก็เอ่ยปากถามหลงเยว่หง
“จะเข้าร้านไหน”
ถึงแม้ว่าหลงเยว่หงจะผ่านแถวนี้มาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยสังเกตจริงจัง เมื่อถูกถามมาเขาก็มองสลับไปมาระหว่างป้ายชื่อร้านทั้งสองแห่ง คือ ‘พิราบไพร’ กับ ‘กรีนเกรป’
“ไปร้าน ‘กรีนเกรป’ ละกัน ชื่อองุ่นเขียวมันฟังแล้วรู้สึกสดชื่นหน่อย”
“ได้ งั้นพวกเราไปร้าน ‘พิราบไพร’ กัน!’ ซางเจี้ยนเย่าพูดออกมาราวกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก
“นายแกล้งเสี่ยวหงอีกแล้ว!” เจี่ยงไป๋เหมียนดุเขาด้วยรอยยิ้มออกมาประโยคหนึ่ง
ขณะที่หลงเยว่หงกำลังรู้สึกว่าได้รับการปลอบประโลมใจก็ได้ยินหัวหน้าทีมพูด “อืม” ออกมา
“ฉันเลือก ‘พิราบไพร’ ก็แล้วกัน ชื่อนี้ฟังแล้วทำให้รู้สึกท้องร้องเลย”
ในตอนที่ออกฝึกภาคสนามครั้งแรก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่เพียงแค่จับกระต่ายเท่านั้น ยังจับนกมาย่างกินอีกด้วย
หลงเยว่หงฟังเจี่ยงไป๋เหมียนก็นึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้น้ำลายสอขึ้นมาทันที
“ได้”
พอเขาพูดขาดคำก็ได้ยินซางเจี้ยนเย่าพึมพำ
“การแกล้งก็ต้องมีรูปแบบวิธีการที่พิถีพิถันอย่างนี้สินะ…”
ซางเจี้ยนเย่ายังพูดไม่ทันจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอามือซ้ายมาวางบนบ่าเขาก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“เข้าไปข้างในกันเถอะ” ซางเจี้ยนเย่าว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที
หลงเยว่หงรู้สึกพูดไม่ออก ได้แต่เดินตามหลังกลุ่มไปต้อยๆ
ประตูของบาร์ ‘พิราบไพร’ นั้นมีสองชั้น ชั้นนอกเปิดโล่ง ส่วนชั้นในเปิดเพียงแค่ช่วงกลางเท่านั้น มันทำจากไม้สีน้ำตาลอ่อน
หลังจากผ่านบานประตูที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ภาพภายในก็ปรากฏต่อสายตาเจี่ยงไป๋เหมียน
กลางร้านเป็นเวทีเต้นรำซึ่งมีโต๊ะกลมและเก้าอี้รายล้อมอยู่ ในขณะนี้ไม่ได้เปิดเพลง มีคนไม่น้อยมารวมกลุ่มนั่งเล่นไพ่โป๊กเกอร์ ทอยเต๋า เล่นไพ่นกกระจอกกันอยู่
เมื่อเดินข้ามเวทีเต้นรำเข้าไปยังเคาน์เตอร์บาร์ ก็จะเห็นโต๊ะสนุกเกอร์ โต๊ะปิงปอง และอุปกรณ์นันทนาการเพื่อการหย่อนใจเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่ง
ในฐานะที่เป็นบาร์แล้ว ร้าน ‘พิราบไพร’ นับได้ว่าค่อนข้างสมบูรณ์พร้อม เว้นเสียแต่ว่าเป็นบาร์ที่ไร้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
“เหมือนกับที่เสี่ยวไป๋พูดไว้จริงๆ ที่นี่เหมือน ‘ศูนย์กิจกรรม’ มาก” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่าฮัมเพลงขึ้นมา
“เธอคือแอปเปิล…”
“เงียบเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบหยุดเขา “ไปถามดูก่อนว่ามีใครเห็นหรือเปล่าว่าพวกนักล่าทีมนั้นกลับกันมาหรือยัง”
ทีมที่พูดถึงก็คือกลุ่มที่ขึ้นเขาไปสืบเรื่องของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นเอง
โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนจัดว่าจะให้ใครไป ซางเจี้ยนเย่าก็เดินตรงไปยังโต๊ะที่คนกำลังเล่นไพ่อยู่
เขาตบบ่าชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งโกนจอนด้านข้างออกแล้วเอ่ยถามอย่างคนคุ้นเคย
“เป็นไงบ้าง ชนะหรือเปล่า”
เมื่อชายหนุ่มหันมาก็พบกับใบหน้าอันไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย ทว่าอีกฝ่ายกลับมีทีท่ากระตือรือร้นประหนึ่งว่าสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เขาเกิดความลังเลขึ้นมาว่าเคยได้พบเจอกันมาก่อนหรือไม่
แต่เนื่องจากเป็นคำถามที่ไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร เขาจึงตอบอย่างกันเองกลับไป
“อย่าพูดเลย ของที่เก็บเกี่ยวมาจากการสำรวจครั้งก่อนนี่แทบจะหมดเกลี้ยงแล้ว”
“สู้ๆ” ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดชั่วอึดใจก่อนจะชักกระตุก เต้นด้วยท่าถูกน้ำร้อนลวก “ขอออร่าแห่งเทพอาบชโลมคุณ”
‘นิกายเตาหลอม’ ในทาร์นันมีสาวกอยู่ไม่น้อย ดังนั้นพวกคนที่กำลังเล่นไพ่อยู่จึงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยปากถามอย่างไม่ตั้งใจออกมาอีกประโยค
“พวกนักล่าที่ขึ้นเขาไปก่อนหน้านี้มีใครกลับมากันยัง”
“ยังเลย” ชายหนุ่มที่กำลังเล่นไพ่อยู่ส่ายหน้า “อาจจะเกิดเรื่องซะละมั้ง”
ซางเจี้ยนเย่าได้รับคำตอบมาก็ผงกศีรษะ มองดูวงไพ่เล่นกันต่ออีกนาทีสองนาทีก่อนจะค่อยๆ เดินกลับมาทางเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ
ในตอนนี้ หนึ่งในวงพนันไพ่กลุ่มนั้นก็เอ่ยถามชายหนุ่มที่ถูกซางเจี้ยนเย่าตบบ่า
“ซาวา คนเมื่อกี้นั่นใครน่ะ ฉันไม่เห็นจะรู้จักเลย”
ชายหนุ่มที่ชื่อซาวานั่งนึกอยู่สองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“ฉันก็ไม่รู้จักเหมือนกัน…”
“อ้าว งั้นทำไมคุยกันเหมือนคนคุ้นเคยกันอย่างนั้นล่ะ” ขาไพ่รอบวงต่างพากันงุนงง
เมื่อครู่นี้คนทั้งสองมีท่าทางประหนึ่งว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันชัดๆ
ซาวารู้สึกงุนงงเช่นกัน สงสัยว่าความทรงจำของตัวเองอาจจะเล่นตลกอะไรหรือเปล่า
ทว่าพวกเขาก็สลัดเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว หันมาจดจ่อกับเรื่องไพ่กันต่อ
ในระหว่างที่กำลังเดินข้ามเวทีเต้นเพื่อไปยังเคาน์เตอร์บาร์ เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยปากถามหลงเยว่หง
“สองสามคนนั่นรู้จักนายงั้นเหรอ
“ทำไมถึงมีท่าทางเหมือนอยากจับนายมาถลกหนังขนาดนั้นล่ะ”
หลงเยว่หงมองไปตามทิศทางที่เจี่ยงไป๋เหมียนบอกก็พบว่าที่วงไพ่นั้นมีผู้ชายสามคนมองเขาด้วยท่าทางจงเกลียดจงชัง
ราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
“อ๋อ ก็ที่ผมเคยเล่าให้ฟังน่ะ ว่าเคยอัดพวกคนท้องถิ่นจนหมดสภาพไปนั่นแหละ” นั่นเป็นปฏิบัติการฉายเดี่ยวครั้งแรกในชีวิตของหลงเยว่หง เขาจึงยังจำได้ขึ้นใจ
“ดูเหมือนพวกเขายังคาใจ ไม่ยอมรามืออยู่นะ” ซางเจี้ยนเย่าใส่ไฟ
เหมือนกับกำลังเชียร์ให้ ‘อัดมันเลย อย่าปล่อยพวกมันไป’
“พวกนั้นยังโมโหอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ถึงยังไงก็ไม่กล้าเข้ามาหาเรื่องฉันละน่า” หลงเยว่หงนั้นเป็นคนดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ซางเจี้ยนเย่ารีบหาเหตุผลมาต่อ
“พวกเขามองนายแล้ว จ้องตาเขม็งเลย!”
ในระหว่างที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ชายสามคนที่เคยถูกหลงเยว่หงอัดจนน่วมนั้น เดิมทีพวกเขาคิดว่ามีสหายร้านใกล้เรือนเคียงและพวกขาไพ่อยู่ที่นี่กันไม่น้อย ก็เลยอยากจะถือโอกาสชำระแค้น ทว่าหลังจากได้เห็นความสูงของซางเจี้ยนเย่ากับสาวๆ ที่มาด้วย จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดไป
แค่มองดูก็รู้แล้วว่าไม่ควรแส่ไปหาเรื่องด้วย
ในขณะนี้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนเดินไปถึงเคาน์เตอร์บาร์แล้ว เห็นบาร์เทนเดอร์กำลังว่างงานนั่งเบื่ออยู่
เมื่อไม่มีเหล้าขาย ก็ย่อมไม่มีคนดื่มเหล้า นี่หมายความว่าไม่มีเรื่องอะไรให้เขาทำมากนัก
“เจ้าของร้านล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเคาะที่เคาน์เตอร์บาร์
บาร์เทนเดอร์หันมามองเธอ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“ผมเองแหละ เจ้าของร้าน
“พวกคุณคิดดูก็น่าจะรู้ จะจ้างคนมาทำไมในเมื่อไม่มีงานอะไรให้ทำ”
เขาอยู่ในวัยสามสิบ สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีกรมท่า หวีผมปัดซ้าย ใบหน้ากร้านแดดกร้านฝน
“ให้เรียกคุณว่าไงดีครับ” ซางเจี้ยนเย่าถามแทนเจี่ยงไป๋เหมียนอย่างมีมารยาท
“ผมชื่อไช่อี้ เรียกว่าอาอี้ก็ได้” เจ้าของบาร์พูดด้วยรอยยิ้ม “ให้ผมช่วยอะไรไหม”
“มีอาหารธรรมดาบ้างหรือเปล่า” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้อำพรางความต้องการของตน
ไช่อี้ส่ายหน้า
“ผมต้องจ้างคนมาช่วยงานสองคน คนหนึ่งเลี้ยงไก่ อีกคนเลี้ยงหมู ถึงจะพอเลี้ยงครอบครัวใหญ่ได้อย่างกล้อมแกล้ม ไม่มีเหลือมาให้ขายหรอก”
พูดถึงตรงนี้เขาก็คลี่ยิ้มออกมา
“พวกคุณเป็นนักล่าซากอารยะสินะ
“ที่นี่ผมจัดแข่งขันประชันฝีมืออยู่เป็นประจำ ใครที่เป็นแชมป์ นอกจากจะได้รางวัลแล้วก็ยังได้ดินเนอร์สุดหรูเพิ่มอีกด้วยนะ เป็นอาหารแบบที่เป็นอาหารน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะปฏิเสธตัดหน้าเจี่ยงไป๋เหมียน
“นั่นมันยุ่งยากไปหน่อย ผมมีวิธีง่ายกว่านั้น”
“วิธีไหน” ไช่อี้เกิดสงสัยขึ้นมา
ซางเจี้ยนเย่าเผยรอยยิ้มสดใส
“จับตัวคุณไว้แล้วรอให้คนในครอบครัวมาไถ่ตัวด้วยแป้งหนึ่งกระสอบ ข้าวสารหนึ่งถุง หมูหนึ่งไก่สี่ ผักกาดขาวอีกหนึ่งเข่ง”
ไช่อี้รีบเอื้อมมือไปแตะที่เอวตามสัญชาตญาณทันที แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“วิธีนี้มีปัญหาอยู่สองข้อ ข้อแรกคือคุณจะเอาชนะยามจักรกลได้หรือเปล่า ข้อสองคือคุณจะจับผมได้ยังไง”
จากนั้นเขาก็ถือโอกาสคุยโว
“สมัยก่อนผมเป็นถึง ‘นักล่าชั้นกลาง’ เชียวนะ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะแต่งกับสาวพื้นเมืองแล้วเอาเงินออมมาเปิดบาร์ที่รวมเอาสารพัดความบันเทิงจากทั่วแดนธุลีเอาไว้ ผมอาจจะได้เลื่อนระดับเป็น ‘นักล่าอาวุโส’ ไปแล้วก็ได้
“พวกคุณอยู่ระดับไหนกันล่ะ”
“นักล่าทางการ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบโดยไม่รู้สึกอับอายแม้แต่น้อย
เมื่อไช่อี้ได้ยินก็ไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้ เขาเปลี่ยนเรื่องถาม
“พวกคุณอยากกินอะไรล่ะ หรือจะเล่นอะไรดี”
ซางเจี้ยนเย่านำคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาจากเป้ยุทธวิธีที่สะพายหลังพลางพูดด้วยสีหน้ารันทด
“คุณดูแล้วก็จัดการได้เลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบเสริมอย่างรวดเร็ว
“จะให้ดีก็ขอเป็นรสชาติที่หายากหน่อย ส่วนที่เหลือห่อกลับให้ด้วย
“พวกเราจะไปเล่นสนุกเกอร์กันก่อนนะ”
ไช่อี้รับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกคุณก็มีช่องทางรับของเหมือนกันนี่
“ได้เลย ไม่มีปัญหา ถึงแม้ผมจะมีของไม่มาก แต่ก็มีหลากหลายชนิด”
หลังจากทำการค้าเสร็จสิ้น หลงเยว่หงก็ถามอย่างสงสัย
“พวกคุณเลี้ยงสัตว์เอาไว้ที่ไหนกันเหรอ ผมมองแล้วไม่เจอเลย”
ไช่อี้ยิ้ม
“เลี้ยงไว้ที่บ้านในเขตไร้คนน่ะ แต่ละคนก็มีบ้านของตัวเอง ในทาร์นันเนี่ย ของไร้ค่าที่สุดก็คือบ้านนี่แหละ”
เขตไร้คนนั้นหมายถึงเขตเมืองบริเวณที่ไม่มีผู้คนพักอาศัยอยู่
เมื่อนึกถึงที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แล้วหลงเยว่หงก็ได้แต่ทอดถอนใจ เพราะหากต้องการให้คนในครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกสักหน่อยก็ต้องเค้นมันสมองและยอมเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ขณะที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ กำลังเดินไปยังบริเวณที่ตั้งโต๊ะสนุกเกอร์ ไช่อี้ก็พลันผุดลุกขึ้นมายืน มองไปยังประตูทางเข้าร้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา พวกเขามีกันทั้งสิ้นสิบสี่คน คนที่เป็นผู้นำนั้นมีผมสีบลอนด์สวมหมวกที่มีเขา
นี่ก็คือกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ นั่นเอง
ไช่อี้ออกไปต้อนรับ พลางพูดอย่างยิ้มแย้ม
“อ้าว ยังไม่ได้ออกไปหรอกเหรอ”
ถึงแม้ว่าที่นี่คือทาร์นัน ทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องถูกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ปล้นก็ตาม ทว่าคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ร้านวุ่นวายโดยไม่จำเป็นต้องละเมิดกฎ ดังนั้นเขาจึงยังต้องระวังไว้ก่อน
จำนวนเป็นต่อ… มีคนมากก็ทำให้คนอื่นหวาดผวาได้
หัวหน้าโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ พานาเนีย พูดด้วยรอยยิ้ม
“ต้องให้พวกพี่น้องได้ปลดปล่อยกันก่อนสิ”
จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปที่ทางขึ้นบันไดของร้านทันที บริเวณนั้นมีโซฟาเก่าๆ หลายตัววางเอาไว้ และมีผู้หญิงหลากหลายเชื้อชาตินั่งอยู่
สถานที่จำพวกบาร์ก็มักจะมีธุรกิจประเภทนี้ควบคู่ไปด้วยอยู่เสมอ
“ไม่มีปัญหา ใครมีเงินจ่ายก็ถือว่าเป็นลูกค้าทั้งนั้น” ไช่อี้พูดไปยิ้มไป
พานาเนียกำลังจะเดินนำเข้าไปเลือก แต่จู่ๆ ก็มีมือมากระตุกที่เสื้อ
“ลูกพี่ ทางนั้น…” น้ำเสียงของลูกน้องโจรที่เป็นเจ้าของมือพูดด้วยความเคร่งขรึมผิดปกติ
พานาเนียมองตามไปก็เห็นหญิงสาวงดงาม ชายหนุ่มร่างสูง ชายฉกรรจ์ที่ถล่มกลุ่มโจรของตนจนแทบยับเยิน และเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่ดูไม่สะดุดตา
ถึงตอนนี้พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าต่างก็มองมาทางพวกเขาอย่างยิ้มแย้มกันหมดแล้ว
มุมปากพานาเนียกระตุก รีบหันหน้าไปพูดกับไช่อี้
“จู่ๆ ท้องไส้ก็ปั่นป่วน เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”
พูดจบเขาก็รีบหันขวับเตรียมพาแก๊งโจรออกไปที่บาร์ฝั่งตรงข้ามทันที
ในตอนนี้จากหางตาเขาก็มองเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ายังคงจ้องมองเขม็งตรงมายังพวกตน
เฮ่อ… พานาเนียถอนใจแล้วยกมือขวาขึ้นมาโบกให้
“ลาก่อน”
“ลาก่อน” ซางเจี้ยนเย่าตอบรับด้วยความพอใจ
เมื่อได้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ทำเอาเจ้าของบาร์ถึงกับตะลึงงันไป
ขณะที่กลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ใกล้จะเดินไปถึงประตูร้านก็พลันเกิดลมกระโชกเข้ามาอย่างแรง
เสียงลมดังหวีดหวิวรุนแรงจนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ฝั่งนี้ของภูเขามีลมแรงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย… เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ท่ามกลางเสียงลมโหมกระหน่ำก็บังเกิดเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ปัง! ปัง! ปัง!