รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 266 คำเตือนของโจวเยว่
ณ อารามหนานเคอ
เมื่อบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับเกอนาวาแล้ว ในระหว่างที่รอให้ ‘ซอร์สเบรน’ ตอบกลับมา ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง
นี่เป็นเพราะเกอนาวาบอกเอาไว้ว่าเจ้าอารามโจวเยว่ยังมีคำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับคนที่เข้าร่วมปฏิบัติการอยู่อีก
โจวเยว่ยังคงสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวมีเชือกป่านมัดรอบเอว ผมสีดำขลับยาวประบ่า
ด้านหลังเธอเป็นหิ้งสักการะที่เรียบง่ายแบบโบราณและสง่างามเคร่งขรึมน่าเกรงขาม กับสัญลักษณ์ของมังกรยักษ์ที่เกิดจากเศษกระจกฝังติดผนัง สองฝั่งเป็นเก้าอี้มีพนักสีดำเรียงไว้เป็นทิวแถว
ในขณะนี้มีเหล่าสาวกเข้ามาสวดอธิษฐานมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดนั่งลง ทั้งหมดล้วนยืนเว้นระยะ ยกสองแขนขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับเอนร่างท่อนบนพร่ำสวดภาวนา
เมื่อกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็หันมาสบตากับซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
ในครั้งนี้มีมนุษย์จริงๆ อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว… เรื่องวุ่นวายเมื่อคืนนี้คงทำให้ทั้งพวกชาวเมืองทั้งพวกคนต่างถิ่นกลายเป็นการศึกประชิดรีบกอดขาพระ รีบไปหาผู้ครองกาลที่ตนศรัทธาเพื่อหวังว่าจะได้รับการอำนวยพรปกป้องคุ้มครองสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนที่ได้รับคำยืนยันกลับมาก็ทอดถอนใจ
ตอนที่เธอเข้ามาถึงที่นี่ก็พบว่าเหล่าสาวกในอารามนั้นมีหลายคนที่มีสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพ ต่างไปจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง
แต่แน่นอนว่าความหมายการผงกศีรษะของซางเจี้ยนเย่านั้นจะเป็นเรื่องเดียวกับที่เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่หรือเปล่านั้น เธอเองก็ไม่อาจรับประกันได้
“ขอพระองค์ทรงโปรดคุ้มครองพวกคุณ!” โจวเยว่กางสองแขน เอนร่างท่อนบน
ถึงจะเป็นพวกจำหน้าคนไม่ได้ แต่ก็ยังมีออร่านักพรตสยบผีอยู่เต็มเปี่ยม… ในใจเจี่ยงไป๋เหมียนเพิ่งจะมีความคิดนี้วาบขึ้นมา เธอก็ได้ยินซางเจี้ยนเย่าเอ่ยปากถามขึ้น
“ทำไมคุณถึงไม่ร้องเพลงล่ะ”
ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าร่วมการร้องเพลงประสานเสียงของ ‘นิกายมังกรพยับ’ มาแล้ว
เดิมทีนั้นโจวเยว่ต้องการตรงเข้าประเด็นเลย แต่เมื่อเจอคำถามนี้เข้าไปก็ทำให้ถึงกับชะงักพูดไม่ออกทันที
ทว่าในฐานะที่เป็นสาวกที่ยึดถือในเรื่อง ‘สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย’ จึงสามารถปรับความคิดได้อย่างรวดเร็ว เธอตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม
“การร้องเพลงคือวิธีที่ทำให้องค์เทพีพอพระทัย ไม่ใช่พิธีกรรมระหว่างสาวกผู้ศรัทธา”
ราวกับซางเจี้ยนเย่ากำลังรอคอยคำตอบประเภทนี้อยู่แล้ว จึงรีบพูดประโยคที่จำเอาไว้ทันที
“สรรพสิ่งเป็นมายา จะจริงจังไปไย”
“นั่นสิ…” โจวเยว่ครุ่นคิดแล้วก็ผงกศีรษะ
เมื่อได้รับคำยืนยันกลับมา ซางเจี้ยนเย่าก็รีบเสนอแนะกลับไป
“ผมรู้จักเพลงหนึ่ง น่าจะเหมาะกับพวกคุณ”
พูดแล้วเขาก็ร้องขึ้นมา
“จะเป็นผู้สืบทอดมังกรตลอดไป… ”
“เป็นทายาทต่างหาก” โจวเยว่แก้คำ
เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มหมดความอดทนเมื่อเห็นว่าบทสนทนาของทั้งคู่เริ่มออกทะเลไปไกล จึงรีบฝืนยิ้มพูดแทรกขึ้นมา
“เจ้าอารามโจว เจ้าเมืองเกอนาวาพูดว่าคุณมีเรื่องบางอย่างจะบอกพวกเรา”
“อ๋อ…” โจวเยว่นึกขึ้นได้ในทันที “งั้นพวกคุณก็คือนักล่าซากอารยะที่จัดการกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ด้วยกันกันฉันเมื่อคืนนี้สินะ พวกคุณตกลงเข้าร่วมกับปฏิบัติการปกป้องทาร์นันแล้วใช่ไหม”
ตกลงว่าไอ้ที่คุยกันมาตั้งนานเนี่ย คุณเพิ่งจะจำพวกเราได้งั้นเรอะ… เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วแทบกระอัก
ความรู้สึกเหยียดหยามลักษณะนี้วาบขึ้นในใจหลงเยว่หงกับไป๋เฉินเช่นกัน ต่างกันเพียงแค่ความรุนแรงของอารมณ์เท่านั้น
ฟู่… เจี่ยงไป๋เหมียนระบายลมหายใจแล้วตอบคำของโจวเยว่
“เป็นการชั่วคราวน่ะ เรายังต้องรอคำตอบที่ชัดเจนจากเจ้าเมืองเกอนาวาก่อน
“แต่ไม่ว่ายังไง พวกเราก็ยังคงรับหน้าที่ป้องกันพื้นที่บางส่วนอยู่แล้วล่ะ ถึงยังไงมันก็คือการป้องกันตัวเองด้วยล่ะนะ”
หากว่า ‘ซอร์สเบรน’ ไม่ปรารถนาจะพูดคุยทางโทรศัพท์ เช่นนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่มีทางให้สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ เข้าร่วมปฏิบัติการโจมตีอย่างแน่นอน เธอรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายขนาดนั้น ถึงอย่างไรในทาร์นันก็เต็มไปด้วยพยัคฆ์ซ่อนมังกรซุ่ม มีนิกายทรงพลังอยู่มากมาย ไม่ขาดแคลนผู้แข็งแกร่งอยู่แล้ว
“เข้าใจแล้ว” โจวเยว่ตอบด้วยสีหน้า ‘ฉันไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น’
จากนั้นเธอก็คลี่ยิ้มออกมาจนทำให้ดวงตาหยีแทบมองไม่เห็น
“หลักๆ ที่ฉันอยากจะบอกพวกคุณมีอยู่สองเรื่อง”
“เชิญว่ามาเลย” ครั้งนี้เป็นซางเจี้ยนเย่าที่เป็นนายมารยาทเป็นผู้ตอบ
โจวเยว่ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“เมื่อคืนนี้พอกลับมาแล้วฉันก็คิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ยืนยันเรื่องหนึ่งได้…
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลัวการส่องกระจกเงา”
“ส่องกระจกเงา…” ถึงแม้เจี่ยงไป๋เหมียนพอจะเดาได้ว่าจุดอ่อนของอีกฝ่ายนั้นเกี่ยวข้องกับกระจก แต่ก็ยังแปลกใจเมื่อได้ยินเช่นนี้
เดิมทีเธอเข้าใจว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลัวพวกวัตถุสะท้อนแสงแวววาว แต่คาดไม่ถึงว่านั่นคือกลัวการ ‘ส่องกระจก’ ต่างหาก
กลัวเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกงั้นเหรอ… การคาดเดานี้วาบขึ้นในใจเจี่ยงไป๋เหมียน
หลงเยว่หงแอบค่อนแคะโจวเยว่อยู่ในใจ
เห็นชัดๆ ว่ารู้เรื่องนี้มาเป็นชาติแล้วแต่ยังจะทำเป็นพูดว่าเพิ่งจะคิดได้ เลยเพิ่งจะยืนยันได้…
แหม ช่างโกหกตาใสมาก นั่นสินะ… ก็สรรพสิ่งเป็นมายานี่นา จะจริงจังไปทำไมล่ะ
“ถูกต้อง” โจวเยว่ให้คำตอบยืนยัน “ดังนั้นจะให้ดีพวกคุณก็ควรพกกระจกติดตัวไว้สักสองสามบาน เวลาเจอภาพลวงตาก็เอากระจกออกมาส่องดูรอบๆ”
“อย่างนี้นะเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าหันหลังไปทำอะไรสักอย่างแล้วหันกลับมา
มีกระจกขนาดเท่าฝ่ามือมัดติดอยู่กับหน้าผากเขา
ระหว่างทางที่มาอารามหนานเคอ ‘ทีมสำรวจเก่า’ แวะซื้อกระจกมาด้วยหลายบาน
“…” โจวเยว่ถึงกับตกตะลึงรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายจนทำให้ลืมวิธีพูดไปชั่วขณะ
ขณะที่พวกเจี่ยงไป๋เหมียนกำลังคิดว่านี่เป็นอีกวิธีที่ซางเจี้ยนเย่าทำให้ผู้คนรู้สึกอยากกุมขมับ โจวเยว่ก็ทำตาโต
“ทำไมฉันไม่เคยคิดถึงวิธีนี้มาก่อนนะ
“เมื่อคืนเลยต้องส่ายเอวจนปวดหลัง ยอกระบมไปหมดแล้ว”
ครั้งนี้เป็นคราวของพวกเจี่ยงไป๋เหมียนบ้างที่รู้สึกหมดคำพูด
จากนั้นไม่กี่วินาทีถัดมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอ่ยปากเตือน
“ถ้าผูกไว้ที่หัว งั้นป่านนี้คุณก็คงคอเคล็ด ปวดคอมึนหัวแย่แล้วล่ะ”
“นั่นสินะ” หลังจากลองคิดๆ ดูแล้วเธอก็รู้สึกว่ายอมปวดหลังดีกว่า
จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“ยังมีอีกเรื่อง ก็คือพวกคุณจะเอาการกระทำของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ เมื่อคืนนี้มาเป็นมาตรฐานการวัดความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้
“ในตอนค่ำคืนของทาร์นันน่ะ มีของจำพวกกระจกมากเกินไป เลยทำให้ความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปเยอะมาก”
หลังจากนิ่งเงียบเพื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เธอก็พูดเสริม
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ระดับนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีอะไรพิเศษอยู่อีกก็ได้
“สรุปก็คือพวกคุณต้องระวังให้มาก”
“ขอบคุณครับ” ซางเจี้ยนเย่าเป็นตัวแทนกลุ่มเอ่ยคำขอบคุณจากใจจริง
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเจือรอยยิ้ม
“พวกเราไม่เอาชีวิตมาล้อเล่นหรอก”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ” โจวเยว่ร้อง “เอ่อ” ออกมาคำหนึ่ง “พวกคุณไม่ต้องเสี่ยงอันตรายออกไปค้นหารอบๆ หรอก เพียงแค่คอยระวังป้องกันไว้ก็พอแล้วล่ะ ‘ผู้ปกป้องมายาฝัน’ ของนิกายเราคนหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางมานี่”
แล้ว… จะหลงทางไหมนั่น… หลงเยว่หงนึกเรื่องที่โจวเยว่เคยบอกไว้ขึ้นมาได้ รู้สึกว่านิกายพวกเขานี่มีคำว่า ‘ไม่น่าเชื่อถือ’ เขียนแปะหราอยู่กลางหน้าผากไว้อย่างชัดเจน
คำถามที่เขาตะขิดตะขวงใจจะเอ่ยปากถามนี้ ดีที่มีซางเจี้ยนเย่าช่วย ‘ถามแทน’ ให้เรียบร้อย
“แล้วถ้าเขาหลงทางล่ะ จะทำยังไง”
โจวเยว่หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองคำ
“คนที่กำลังมาเนี่ย เป็นประเภทที่ไม่มีวันหลงทางเด็ดขาด”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สานต่อหัวข้อสนทนาที่จะขยี้และตอกย้ำซ้ำเติมบาดแผลผู้คนต่ออีก เธอเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“เจ้าอารามโจว เรื่องภาพลวงตาของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่น คุณพอจะมีวิธีการหรือมีหนทางอะไรที่จะรับมือบ้างไหม”
โจวเยว่ตอบอย่างครุ่นคิด
“ทำมากก็ผิดมาก ทำน้อยก็ผิดน้อย”
“งั้นก็หมายความว่าถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะไม่ผิดเลยสินะ” ซางเจี้ยนเย่าถามอย่างให้ความร่วมมือ
“เปล่า” โจวเยว่ส่ายหน้าสั่นศีรษะ “ภาพลวงตานั้นเป็นเรื่องของเท็จในจริง จริงในเท็จ ถ้าคุณไม่ทำอะไรเลย เขาก็จะแฝงเข้ามาในภาพลวงตา เดินมาหน้าคุณ แล้วก็ยิงเจาะกะโหลกคุณ”
หลังจากสนทนาหารือเรื่องภาพลวงตาอยู่ครู่ใหญ่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็อำลาแล้วออกจากอารามหนานเคอไปยังโรงพยาบาลทั่วไปทาร์นัน
คนที่พวกเขาต้องการเจอก็คือพวกคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้… พวกเศษเดนของกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’
หลังจากได้รับการอนุมัติจากหุ่นยามจักรกลด้วยใบคำร้องของเกอนาวา พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าก็ได้พบกับพานาเนีย
หัวหน้ากลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ถูกโกนหัวจนเกลี้ยง ไม่หลงเหลือผมสีบลอนด์ไว้อีก ศีรษะถูกผันด้วยผ้าพันแผลสีขาวจนคล้ายมัมมี่
เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทว่ากลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ที่แข็งแกร่งกลับแทบจะล่มสลายจนหมดสิ้น
ยิ่งกว่านั้น เรื่องที่พวกเขาพบพานก็ยิ่งพิลึกพิลั่นอัศจรรย์พันลึกกว่าเรื่องใดๆ
เรื่องที่พวกกลุ่มนักล่าซากอารยะที่แข็งแกร่งก่อนหน้านี้ได้เผชิญมายังพอจะอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ เข้าใจได้ ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พานาเนียได้พบเจอเมื่อคืนนี้ เรียกได้ว่าทะลุเกินกว่าจะนึกฝันไปไกล
เมื่อพานาเนียได้ยินเสียงเปิดประตูก็เงยหน้าขึ้นมา
ทันใดนั้นรูม่านตาเขาก็เบิกกว้างทันที รีบผุดลุกขึ้นนั่งพลางละล่ำละลักเอ่ยปาก
“ฉะ… ฉัน… ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
“ฉันไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ด้วย”
“ไม่ต้องตกใจ” เจี่ยงไป๋เหมียนปลอบเขาด้วยรอยยิ้ม
“อย่างมากสุดพวกเราก็แค่อัดนายจนยับ ไม่ถึงกับฆ่าแกงหรอกน่า” ซางเจี้ยนเย่าพูดสนับสนุน
หลงเยว่หงข้องใจกับตรรกะในคำพูดของซางเจี้ยนเย่าจึงเอ่ยปากถามขึ้น
“ทำไมล่ะ”
หัวหน้าโจรผู้นี้ทำเรื่องเลวร้ายไร้คุณธรรมมาไม่น้อย การฆ่าเขาเท่ากับเป็นการผดุงความยุติธรรมแทนฟ้าไม่ใช่หรือไง
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ทาร์นันห้ามต่อสู้กันเอง ห้ามทำร้ายคนอื่นเกินขอบเขต”
แหม… ฉันก็คิดว่านายเกิดจิตเมตตาสงสารซะอีก… หลงเยว่หงพบว่าที่แท้ตนเองนั้นยังไร้เดียงสาเหลือประมาณ
หลังจากทั้งคู่ ‘คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ’ กันเสร็จ ก็ทำให้พานาเนียสงบลงได้ เขากวาดสายตามองดูทุกคนแล้วเอ่ยถามขึ้น
“พวกคุณ มีธุระอะไร”
“ก็แค่อยากถามพวกนายหน่อย ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเข้าประเด็นทันที
สีหน้าของพานาเนียเผยความหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิดได้ออกมาอีกครั้ง
“พอ… พอออกจาก ‘พิราบไพร’ มาแล้วพวกเราก็คิดจะเข้าไปที่ ‘กรีนเกรป’ ที่อยู่อีกฝั่ง
“แต่จู่ๆ จอนนี่เกิดปวดฉี่ขึ้นมา เขาเลยคิดจะไปหามุมเหมาะๆ เพื่อยิงกระต่าย พวกเรา… พวกเราก็เลยยืนรออยู่กลางถนน”
“ทำไมถึงไม่เข้าไปรอใน ‘กรีนเกรป’ เลยล่ะ” ไป๋เฉินถาม
เธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่าพวกทีมต่างๆ เวลามีเหตุการณ์ลักษณะนี้พวกเขาน่าจะทำเช่นไร
ว่ากันโดยปรกติแล้ว พานาเนียควรจะพูดกับจอห์นนี่ว่า ‘ฉี่เสร็จแล้วแกก็รีบตามมานะ’ มากกว่าจะยืนออรออยู่กลางถนนเป็นกลุ่มใหญ่
น้ำเสียงพานาเนียอ่อนลงเล็กน้อย
“ผม… ผมกลัว… กลัวพวกคุณจะตามออกมาน่ะ
“มีคนเยอะหน่อย จะได้อุ่นใจหน่อย”
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อ
พานาเนียนึกทบทวนแล้วเล่าออกมา
“จอนนี่ไปแล้วก็หายไปเลย พวกเราตามหาตลอดทางแต่กลับกลายเป็นว่าไปเจอสัตว์ป่าเป็นฝูง บ้างก็กลายพันธุ์ บ้างก็หิวโซ แถมยังมีพวก ‘คนไร้ใจ’ อีกด้วย
“เราต่อสู้กับพวกมันอย่างดุเดือด ล้มตายไปหลายคน สุดท้ายพวกหุ่นยามจักรกลก็มาถึงแล้วคุ้มกันพวกเราจนกลับไปถึงห้องตัวเอง
“ในตอนนั้นพวกเราเหนื่อจนแทบหมดสภาพ คิดว่ามีพวกยามจักรกลคอยจัดการเรื่องต่อให้แล้วก็เลยถอดเสื้อผ้าเข้านอนสบายใจ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าผลัดกันถามรายละเอียดบางอย่างด้วยมุมมอง ‘ปกติ’ และ ‘อปกติ’ จากนั้นก็ปล่อยหัวหน้าโจรที่กำลังอยู่ในสภาพวิหคหวาดเกาทัณฑ์ เอาไว้ แล้วออกจากห้องผู้ป่วยไป
ก่อนที่พวกเขาจะออกไป พานาเนียก็ยกมือขวาขึ้นมาโบกตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ
“ลาก่อน”
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มออกมาพลางตอบกลับอย่างมีมารยาท
“ลาก่อน”
จนกระทั่งสอบถามสมุนโจรที่เหลืออยู่จนหมดสิ้นและกลับไปถึงรถจี๊ปแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เอ่ยปากพูดทันที
“เจ้าอารามโจวยังมีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่…”