รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 267 คืบหน้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดเปี่ยมอารมณ์ของเจี่ยงไป๋เหมียน ไป๋เฉินซึ่งกำลังขับรถอยู่ก็พูดอย่างครุ่นคิด
“เรื่องที่จางเก้ามองเห็นมังกรงั้นเหรอ…
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นกับ ‘นิกายมังกรพยับ’ อาจมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่างใช่ไหม”
“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเบาๆ “ตอนนี้ฉันพอจะประเมินเบื้องต้นได้แล้วว่าภาพหลอนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นสร้างขึ้นมาน่ะ มันมาจากความรู้ความเข้าใจและสิ่งที่ตัวเขาเคยพบเจอมาเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความทรงจำหรืออารมณ์ของเราแม้แต่นิดเดียว อย่างมากสุดเขาก็เพียงแค่ปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างให้สอดคล้องกับปฏิกิริยาของเป้าหมายเท่านั้น
“ตัวอย่างเช่นถ้าเธอดูหนังผีแล้วรู้สึกหวาดกลัวขนหัวลุก งั้นภาพหลอนที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นสร้างก็จะทำให้เธอมุ่งไปในทิศทางแบบนั้น”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็หันกลับไปมองหลงเยว่หงซางเจี้ยนเย่า แล้วกล่าวหยอกล้อประโยคหนึ่ง
“ไม่อย่างนั้นภาพหลอนที่พวกโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ นั่นเห็นก็คงไม่ใช่แค่พวกสัตว์กลายพันธุ์ สัตว์ป่าหิวโซ แล้วก็พวก ‘คนไร้ใจ’ ธรรมดาทั่วไปหรอก ควรจะต้องเห็นเป็นพวกเราโจมตีใส่อย่างดุร้ายเกรี้ยวกราดต่างหาก
“อืม… แต่ก็ยังตัดความเป็นไปได้ที่พวกนั้นจะโกหกทิ้งไม่ได้เหมือนกัน แต่ฉันรู้สึกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องโกหกน่ะ ตอนนี้ทุกคนก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน ถ้าไม่รีบแก้ปัญหาเรื่อง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นให้เร็วที่สุด ไม่ว่าใครก็มีโอกาสตายได้ทั้งนั้น นอกเสียจาก… นอกเสียจากพวกเขาจะถูกควบคุม กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว”
ซางเจี้ยนเย่าฟังแล้วก็ส่ายหน้า
“พวกเขาไม่ได้โกหก”
“รู้ได้ไง นายไม่ได้ใช้พลังสักหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความขบขัน
ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะ…
ซางเจี้ยนเย่าตอบตามจริง
“ถึงแม้เขาจะฆ่าคนปล้นทรัพย์ ฉุดคร่าข่มขืน สมควรถูกจับแขวนคอ แต่ก็เป็นคนมีมารยาท”
“…” ณ วินาทีนี้ หลงเยว่หงไม่รู้ว่าจะเริ่มกระแนะกระแหนเขาจากจุดไหนดี
ที่เจ้าหมอนั่นมันมีมารยาทก็เพราะนายเป็นคนสอนไม่ใช่หรือไงยะ… ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะด่าแกมหัวเราะ สิ่งของบางอย่างในกระเป๋าเธอก็ดังขึ้นพร้อมกับสั่น
จากนั้นเธอก็หยิบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเท่าฝ่ามือออกมา
หน้าจอ LCD สีดำที่ด้านหน้าของเจ้าสิ่งนี้มีภาพหุ่นยนต์สองตัวยืนพิงกันกะพริบขึ้นมา
นี่ก็คือโทรศัพท์มือถือนั่นเอง
เนื่องจากทาง ‘สวรรค์จักรกล’ ได้สร้างสถานีฐานสำหรับรับส่งสัญญาณ รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขึ้นมาในทาร์นัน ดังนั้นอุปกรณ์สื่อสารชนิดนี้จึงสามารถใช้งานได้โดยตรง
แน่นอนว่าโทรศัพท์มือถือทั้งสี่เครื่องที่เกอนาวามอบให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ นั้นย่อมเป็นรุ่นที่ ‘สวรรค์จักรกล’ ผลิตขึ้นมาเองทั้งสิ้น พวกมันไม่เคยซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เหลือมาจากโลกเก่า
เจ้าเมืองทาร์นันและกัปตันยามจักรกลผู้นี้ย่อมรู้เช่นกันว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นสามารถแทรกแซงสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่ส่งอิทธิพลต่อหุ่นยนต์ได้ ทว่าการเลิกกินเพราะกลัวสำลัก ก็เท่ากับเป็นการตัดขาดการติดต่อประสานงานระหว่างทีมที่รับผิดชอบป้องกันในแต่ละพื้นที่ไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเขารู้สึกว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้
จะสื่อสารด้วยการตะโกนก็คงไม่ได้อยู่ดี
เพราะเสียงเองก็สามารถถูกบิดเบือนและดัดแปลงได้เช่นกัน!
เมื่อภารกิจสิ้นสุดลง ผู้ที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการสามารถเลือกได้ว่าจะคืนโทรศัพท์หรือจะเก็บกลับไปโดยหักออกจากรางวัลค่าตอบแทน
ปัญหาเดียวก็คือเมื่อออกจากทาร์นันไปแล้ว ฟังก์ชันหลักของโทรศัพท์มือถือที่ใช้โทรออกรับสายก็จะถูกยกเลิกไปโดยปริยาย สามารถใช้ได้เพียงแค่การเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่เอาไว้อ่านนิยายกับเล่นเกมง่ายๆ เท่านั้น
ต่อให้ไปยังสถานที่ซึ่งมีสถานีฐานรับส่งสัญญาณอย่างเช่นเมืองหญ้าไพร ก็ต้องไปลงทะเบียนกับหน่วยงานที่รับผิดชอบและได้รับอนุมัติเสียก่อนถึงจะสามารถใช้โทรออกรับสายได้อีกครั้ง
แม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนจะไม่เคยใช้โทรศัพท์มือถือมาก่อนก็ตาม แต่ด้วยมันสมองอันปราดเปรื่อง รวมถึงประสบการณ์เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ จึงทำให้หลังจากที่เธองมไปไม่กี่นาทีก็พอจะประเมินได้อย่างคร่าวๆ ว่าจะใช้โทรออกรับสาย อ่านนิยายเล่นเกมได้อย่างไร
ในเวลานี้เธอใช้นิ้วโป้งปัดหน้าจอแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“ฮัลโหล”
“ผมเกอนาวา” เสียงทุ้มนุ่มหูของผู้ชายที่ให้ความรู้สึกเป็นเสียงสังเคราะห์เล็กน้อยดังมาจากปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์
เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยรอยยิ้ม
“มีข่าวดีจะบอกใช่ไหม”
“ใช่” เกอนาวาตอบยืนยัน
สำเร็จ!… มืออีกข้างของเจี่ยงไป๋เหมียนกำหมัดทันทีพร้อมกับขยับเล็กน้อย
เมื่อซางเจี้ยนเย่าเห็นปฏิกิริยาของเธอ เขาก็หันไปทางหลงเยว่หงแล้วยื่นมือขวาออกไป
หลงเยว่หงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่อยากแสดงท่าทีว่าตนเองเข้าใจเจ้าคนที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชคนนี้
ทว่าภายใต้สายตาจับจ้องอย่างไม่ยอมเลิกราของซางเจี้ยนเย่า สุดท้ายเขาก็ต้องยื่นมือขวาออกไปตบกับฝ่ามือของอีกฝ่ายจนได้
แล้วคำพูดต่อมาของเกอนาวาก็ส่งมายังหูของเจี่ยงไป๋เหมียน
“เมื่อครู่ ‘ซอร์สเบรน’ ตอบกลับว่า
“รอให้เรื่องนี้จัดการแก้ไขเรียบร้อยโดยที่พวกคุณมีส่วนร่วมลงแรงด้วย ก็สามารถถามคำถามที่พวกคุณต้องการทางโทรศัพท์ได้ จำกัดเวลาอยู่ที่ห้านาที”
ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังเอาศีรษะมาแนบเพื่อแอบฟังจนแทบจะชนศีรษะเจี่ยงไป๋เหมียนก็สูดหายใจเข้าลึก
“นี่มันยากไปหน่อยมั้ง เวลาแค่ห้านาที พวกเราจะคิดคำถามทันได้ยังไง”
“…” เกอนาวาที่ปลายสายอีกด้านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “นี่รวมกับเวลาที่ตอบกลับด้วย”
“น้อยเกินไปแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าไม่มีทีท่าว่าอับอายในความเข้าใจผิดของตนเองแม้แต่น้อย
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกเหมือนเกอนาวาถูก ‘วาทศิลป์’ ของซางเจี้ยนเย่าชักจูงเข้าแล้ว
“…” เกอนาวานิ่งเงียบงันไปอีกครั้งก่อนจะตอบ “นี่เป็นการตัดสินใจของ ‘ซอร์สเบรน’ ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้”
“ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณมาก!” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นว่าภารกิจหลักมีความคืบหน้าก็รู้สึกเบิกบานขึ้นมา
“ขอบคุณครับ” ซางเจี้ยนเย่าพูดตาม
จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็วางสายเก็บโทรศัพท์ทันทีก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“แปลกแฮะ
“ทำไม ‘ซอร์สเบรน’ ถึงไม่ยอมให้เข้าพบ รีบปฏิเสธคำขอทันที แถมยังยืนกรานไม่ให้ต่อรองอีกต่างหาก แต่กลับไม่ปฏิเสธเรื่องการโทรคุยกัน”
นี่เป็นคำถามเชิงชี้นำตามปกติของเธอ
“หรือจะเป็นเพราะ ‘ซอร์สเบรน’ มีอะไรพิเศษ ถ้าเจอหน้ากันอาจจะทำให้ความลับนี้รั่วไหล” ตอนนี้หลงเยว่หงนับได้ว่าเป็นนักล่าซากอารยะที่มีประสบการณ์และความรอบรู้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สมองกลสักเครื่องจะมีอะไรพิเศษ มันก็ไม่ควรมองเห็นได้จากภายนอกไม่ใช่หรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามแทนการตอบ
หลงเยว่หงไม่รู้จะตอบเช่นไร แต่ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่เป็นมนุษย์”
“งั้นเขาก็ใช้รูปลักษณ์ของซูเปอร์คอมพิวเตอร์คุยกับเราก็ได้นี่ ส่วนตัวเองก็ไปหลบอยู่ไกลๆ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตรวจจับได้” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้วิธีคิดของซางเจี้ยนเย่าแย้งกลับไป
หลงเยว่หงได้ยินแล้วก็งุนงงไปชั่วขณะ
“ถ้าอย่างนั้นมันจะต่างอะไรกับการคุยโทรศัพท์”
“ก็ไม่ต่างน่ะสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมา “ดังนั้นมันก็เลยแปลกมาก”
ไป๋เฉินขบคิดแล้วพูดขึ้น
“ถ้า ‘ซอร์สเบรน’ ยอมให้เจอ งั้นจะเจอกันที่ไหน”
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย
“‘ซอร์สเบรน’ ไม่น่าจะเคลื่อนที่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเคลื่อนย้าย
“ดังนั้นการไปเจอกัน ก็คงต้องเป็นที่สำนักงานใหญ่ของ ‘สวรรค์จักรกล’”
เมื่อหลงเยว่หงฟังถึงจุดนี้ก็กระจ่างขึ้นมาทันที
“งั้นความหมายของหัวหน้าก็คือ… สิ่งที่เป็นความลับนั่นก็คือเมืองที่ ‘สวรรค์จักรกล’ ตั้งอยู่สินะ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันสงสัยจริงๆ เชียว เมืองที่โดยหลักแล้วทำแค่ผลิตหุ่นยนต์ออกมาเนี่ย มันซุกซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่…”
ระหว่างที่พวกเขาสนทนาหารือกัน รถจี๊ปก็ขับมาถึงหน้าสมาคมนักล่า
ผู้ที่จัดการเรื่องเขตป้องกันก็คือประธานสมาคมนักล่าท้องถิ่น กู้ป๋อ
เมื่อเทียบกับเกอนาวาที่ได้รับมอบหมายให้มายังทาร์นันเพียงไม่กี่ปี กู้ป๋อผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และกรำศึกมานานกว่าสี่สิบปีจึงย่อมมีความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเกอนาวาผู้รวบรวมความรู้ไว้จนเต็มท้องย่อมไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่คิดจะแบกรับเรื่องราวทั้งหมดมาจัดการด้วยตัวเอง ตัดสินใจแบ่งปันความเชื่อมั่นให้กับ ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ เหล่านี้อย่างเต็มที่
ที่ชั้นสองของสมาคมนักล่า หน้าห้องหมายเลข 1
เจี่ยงไป๋เหมียนมองกระจกเงาสองบานที่แขวนห้อยไว้กับประตูไม้สีน้ำตาลแดง กระจกบานหนึ่งสูงบานหนึ่งเตี้ย มุมปากเธอยกเล็กน้อย
“รู้สึกเหมือนชาวเมืองทาร์นันนี่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนเลยแฮะ…”
ทุกคนต่างก็พกพากระจก ทุกบ้านต่างก็แขวนกระจก
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ซางเจี้ยนเย่าเคาะประตูอย่างมีมารยาท
เสียงกู้ป๋อดังออกมาทันที
“เชิญเข้ามาได้”
กู้ป๋อยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำที่ทำจากผ้าขนสัตว์ ถือกระบอกเก็บความร้อนสีเงิน ร่างเล็กผอมบางของเขาพิงอยู่กับพนักเก้าอี้
เมื่อเห็นพวกเจี่ยงไป๋เหมียนเดินเข้ามาและแยกย้ายหาที่นั่งกันเสร็จ กู้ป๋อก็ปัดผมหงอกซึ่งมีอยู่หรอมแหรมให้ตรงก่อนจะพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ยังดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ล่วงเกินพวกคุณ ไม่งั้นคงถูกทุบตีจนย่ำแย่แล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้อยู่ด้วยในตอนที่ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงมาสนทนากับกู้ป๋อ และหลังจากนั้นก็ได้ฟังเพียงแค่ประเด็นสำคัญเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำได้เพียงแค่ถามด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะคะ”
กู้ป๋อจิบน้ำในกระบอกเก็บความร้อนก่อนจะคลี่ยิ้มตอบกลับมา
“ผลงานของพวกคุณเมื่อคืนนี้เกินความคาดหมายของผมไปไกลโขเลยเชียว
“ไปอยู่ในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากภาพหลอนมากที่สุดขนาดนั้น ไม่เพียงแต่ตัวเองจะอยู่รอดปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนเท่านั้น แม้แต่คนอื่นๆ ก็ยังได้รับการดูแลจนมีผู้รอดชีวิตมากมายขนาดนี้ ถ้าไม่มีฝีมือจริงคงทำแบบนี้ไม่ได้หรอก”
ก่อนหน้านี้ที่โรงพยาบาลทั่วไปทาร์นัน พวกเจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้รับรู้จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายอย่างละเอียดแล้ว
ที่นั่นบอกมาว่านอกจากกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ แล้ว มีชาวเมืองเพียงสองคนเท่านั้นที่ถูกยิงแล้วเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดเกินขนาด ส่วนคนที่เหลือนั้นไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิต
เมื่อเทียบกับโศกนาฏกรรมที่จางเก้าเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในทีมนักล่าซากอารยะทีมนั้น นี่ก็นับได้ว่าไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับที่ว่าเราจะทุบตีคุณล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้สนใจประเด็นที่กู้ป๋อแอบชื่นชมโดยนัยแม้แต่น้อย สนใจเพียงแค่ต้องการถามเรื่องนี้ให้กระจ่าง
หลงเยว่หงกระแอมออกมา ส่วนกู้ป๋อรู้สึกพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็พยายามฝืนยิ้ม
“ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยแหละน่า พ่อหนุ่มไม่ต้องสนใจหรอก”
“อย่างนั้นเหรอ…” ซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าทีว่าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนยังคงเกาะติดประเด็นนี้ไม่ปล่อย เธอคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่จริงจัง
“ประธานกู้ คนที่ยอดเยี่ยมอย่างคุณยังจะกลัวถูกพวกเราทุบตีอีกหรือไง”
“เปล่า เปล่า เปล่า” กู้ป๋อส่ายหน้า “ผมก็แค่คนธรรมดาๆ เท่านั้นแหละ แถมเมื่อคืนนี้ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตกอยู่ในภาพหลอน”
พูดถึงตรงนี้เขาก็มองดูทุกคนโดยรอบ พลางหัวเราะฮิฮะก่อนจะพูดออกมา
“ถึงแม้ว่าบนแดนธุลีนั้นมีคนแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีจำนวนจำกัด การจะได้พบเจอย่อมนับเป็นเรื่องสุดแสนยากเข็ญ
“สมัยตอนที่ผมกับมู่ซา… หมายถึงยายเฒ่าคนนั้นน่ะ ยังอายุน้อย เป็นหนุ่มเป็นสาวกันอยู่ พวกเราถูกจัดเป็นคนแข็งแกร่งท่ามกลางคนธรรมดา โดยนับจากประสบการณ์ ความรอบรู้ การแม่นปืน สมรรถภาพร่างกาย และประสิทธิภาพการต่อสู้ เรื่องพวกนี้ยังพอถือว่าใช้ได้อยู่บ้าง นั่นแหละถึงทำให้พวกเรารอดชีวิตมาได้จนปูนนี้ และได้ตัวตนของนักล่าแบบนี้
“ที่จริงแล้วถ้าเป็นที่อื่น พวกเราคงตายแบบไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นไปนานแล้วล่ะ ดีที่ทาร์นันค่อนข้างปลอดภัย ซากเมืองรอบๆ ก็ไม่ได้มีอันตรายมากนัก ถ้าเจอปัญหาใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ก็ยังมียามจักรกลช่วยจัดการให้”
พูดจบกู้ป๋อก็หยิบกระบอกเก็บความร้อนขึ้นมาจิบอีกคำ
“พวกเราในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ดีนัก แค่จะหาอาหารเติมกระเพาะให้อิ่มก็ยังยากเลย ไม่เหมือนทุกวันนี้หรอก ไม่แน่ว่าวันดีคืนดีก็อาจมีพ่อค้าของเถื่อนลักลอบนำเข้าน้ำยาปรับปรุงพันธุกรรมเข้ามา หรือไม่ก็มีใครมีโอกาสติดตั้งแขนจักรกลขึ้นมาก็ได้
“ผมน่ะเทียบกับพวกคุณไม่ได้หรอก ไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลยล่ะ”
ในขณะที่เขาพูดประโยคครึ่งหลังออกมานั้นก็ส่งสายตามองดูคนทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าตัวเองนั้นเกิดผิดยุคผิดสมัย
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้ เธอเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“ประธานกู้ คุณเป็นนักล่าซากอารยะมานานแค่ไหนแล้วเหรอคะ”
“ตอนที่ฉันเริ่มเป็นน่ะ สมัยนั้นสมาคมนักล่ายังไม่เกิดเลย” กู้ป๋อตอบด้วยรอยยิ้ม
เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็รีบเอ่ยปากถามตัดหน้าเจี่ยงไป๋เหมียน
“งั้นคุณรู้จักนักล่าที่ชื่อตู้เหิงหรือเปล่า”
* * * * *